“กินมัน!” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ”แต่มันไม่จำเป็นสำหรับข้าอีกต่อไปแล้วขอรับ เพราะมันคงไม่อร่อยเท่าเนื้อแน่”
งูเขียว : …เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าเคยคิดถึงความรู้สึกของพวกข้าบ้างหรือไม่!
เมื่อเห็นงูที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็ย่อตัวลงใช้นิ้วจิ้มตัวมัน เขากล่าวอย่างคุกคามว่า ”ไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้าป้อนให้กิเลนอัคคี!”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของกิเลนอัคคี งูเขียวตัวนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง มันรีบเลื้อยเข้าไปในพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่ามันช่างน่าขันนัก นางจับมือของเด็กชายตัวน้อยเอาไว้พลางสาวเท้าเดินออกไปพร้อมกับเขา ”เจ้าอยากกินอะไรอีกหรือเปล่า” นางถาม
“ข้ากินได้ทุกอย่างขอรับ” บางครั้งองค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ยกตัวอย่างเช่นนิสัยไม่เลือกกินของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ”เจ้าอยากให้ข้าทอดมันฝรั่งให้กินหรือเปล่า”
“มันฝรั่งทอดหรือ” ดวงตาของเด็กชายตัวน้อยเป็นประกาย เขาเกาใบหูตัวเอง และเอ่ยอย่างเบิกบานว่า ”แน่นอนขอรับ!”
เมื่อเห็นเด็กชายเอาแต่เกาที่เดิม เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สั่งให้ข้ารับใช้นำขี้ผึ้งรักษาอาการคันมาให้ จากนั้นนางจึงเอ่ยว่า ”ข้าจะทำมันฝรั่งทอดกรอบให้เจ้าก่อน เจ้าจะได้กินเล่นรอไประหว่างที่ข้าทำอาหารเย็น ดีหรือเปล่า”
“ดีขอรับ!” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ความน่ารักของเขาแทบทำให้หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยละลาย นางเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาพร้อมกับขยับเข้าไปช่วยทายาที่ใบหูของเขา
แม้เขาจะเบะปากและบ่นราวกับเด็กเอาแต่ใจ แต่เด็กชายตัวน้อยก็ยอมอยู่นิ่งๆ ให้นางทายา ”ยุงพวกนี้น่ารำคาญมากเลยขอรับ!”
“พวกมันกัดเจ้า แน่ล่ะว่าเจ้าคงเห็นว่าพวกมันน่ารำคาญ” เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบใบหูเล็กๆ อ่อนนุ่มนั้น
เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า ”พี่สะใภ้สาม ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าไม่ได้รำคาญเพราะพวกมันกัดข้า แต่เป็นเพราะพวกมันสกปรกจนข้ากินไม่ได้ต่างหากล่ะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ก็ได้ นางคิดผิดอีกแล้ว นางควรคิดว่าเขาเป็นเด็กเห็นแก่กินแทนที่จะเป็นเด็กธรรมดา
เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กชายตัวน้อยเอ่ยอะไรชวนตกตะลึงออกมาอีก เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงรีบหั่นมันฝรั่งออกเป็นชิ้นๆ ทันทีที่นางกลับถึงเมืองหลวง
ทักษะการใช้มีดของนางนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันฝรั่งเหล่านั้นถูกหั่นออกเป็นแผ่นๆ เท่านั้น นางคลุกมันฝรั่งเข้ากับแป้ง ก่อนจะนำมันลงทอดกับน้ำมัน
มันฝรั่งทอดกรอบกรอบนอกนุ่มใน เวลาที่กัดจะสัมผัสได้ถึงความกรุบกรอบและกลิ่นของมันฝรั่งที่ระเบิดอยู่ในปาก ข้างกันนั้นยังมีกระปุกใส่องุ่นกวนวางอยู่คู่กัน มันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ห้องเครื่องของวังหลวงมักใช้ในการทำขนม
เด็กชายตัวน้อยกินมันฝรั่งทอดอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับเดินตามเฮ่อเหลียนเวยเวยมาติดๆ เขาแทะมันฝรั่งทอดกรอบพร้อมกับมองเขียงไปด้วย ท่าทางเช่นนั้นดูน่ารักไร้เดียงสายิ่งนัก
ขันทีซุนยืนมองพวกเขาจากด้านข้างด้วยความนับถือ ”พระชายา ท่านช่างสุดยอดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
“หากเป็นเช่นนี้ พ่อครัวจะต้องทำงานได้ง่ายขึ้นแน่ขอรับ” ขันทีหนุ่มที่ติดตามรับใช้ขันทีซุนเอ่ยขึ้น พร้อมกับส่งถ้วยชาให้กับเขาตามสัญชาตญาณ
ขันทีซุนรับชาถ้วยนั้นมาจิบ ”อืม เจ้าพูดถูกแล้วปกติเวลาที่องค์ชายสามติดธุระอื่นอยู่ ข้าต้องวิ่งตามหลังองค์ชายเจ็ดตัวน้อยไปทั่ววังหลวงเชียวล่ะ ดียิ่งนักที่เวลานี้มีคนปราบพยศเขาได้เสียที นอกจากองค์ชายแล้ว เขาก็เชื่อฟังแค่พระชายาเพียงคนเดียว ทั้งที่เวลาที่อยู่ต่อหน้าเจ้าสำนักอย่างตู๋ซูเฟิงเขาก็ยังทำตัวดื้อรั้นเสียเหลือเกิน จะว่าไปแล้ว เจ้าจับตาดูองค์ชายเจ็ดตัวน้อยเอาไว้ให้ดีล่ะ ระยะนี้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในวังหลวง มีสถานที่หลายแห่งที่เราไม่ควรปล่อยให้องค์ชายตัวน้อยย่างเท้าเข้าไป เจ้าต้องเตรียมการป้องกันเอาไว้ให้ดีด้วย ข้าเกรงว่าวังหลวงกำลังจะถึงการเปลี่ยนแปลงแล้ว…”
“ขอรับ” ขันทีผู้น้อยรับคำ ก่อนจะขอตัวออกไปจากที่นั่น
ตกเย็น ชายสวมชุดสีขาวคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องโถงที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เขาเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวลและสุภาพว่า ”ท่านผู้อาวุโส ท่านคิดเรื่องนี้ดีหรือแล้วหรือ ท่านแน่ใจหรือว่าจะนิมนต์พระอาจารย์เข้ามาในวังหลวงจริงๆ”
“คุณชาย แม้แต่ท่านเองก็สงสัยเหมือนกันนี่ขอรับว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกวิญญาณสิงอยู่” หนึ่งในผู้อาวุโสส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา ”ถ้าเฮ่อเหลียนเวยเวยพอใจกับฐานะปัจจุบันของตัวเองและยอมอยู่เงียบๆ พวกข้าก็จะปล่อยนางไป แต่นางกลับมีแต่ยิ่งเหิมเกริมขึ้นทุกทีจนพวกเราทนกับพฤติกรรมของนางไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว พวกเราประเมินเด็กสาวคนนี้ไว้ต่ำเกินไป นึกไม่ถึงเลยว่านางจะสามารถสร้างความวุ่นวายมากมายถึงเพียงนี้ได้ในเวลาไม่ถึงสองเดือน ตู๋ซูเฟิงรับนางเข้าหน่วยพิฆาตวิญญาณ และตั้งแต่นั้นมานางก็เอาแต่ขัดขวางพวกเราไปทุกที่ ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปในภายภาคหน้านางจะทำอะไรกับพวกเราอีก ครั้งหนึ่งพวกเราเคยไว้ชีวิตนางก็เพราะเห็นแก่ท่านตาของนาง แต่ตอนนี้มันถึงเวลาที่นางจะต้องถูกกำจัดแล้ว!”
ชายชุดขาวหัวเราะเสียงเบา ”ผู้อาวุโสอู่ ท่านเชื่อจริงๆ หรือว่าความเป็นศัตรูที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมีให้กับสี่ผู้อาวุโสนั้นเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากตู๋ซูเฟิง”
“คุณชาย ท่านหมายความว่าอย่างไร” ผู้อาวุโสคนอื่นๆ หยุดเคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียง มือที่กำลังถือถ้วยชาของพวกเขาค้างอยู่กลางอากาศ
ชายชุดขาวหันหน้ากลับมา ผิวกายอันซีดเซียวราวกับคนอมโรคนั้นมิอาจใช้ใบหน้าอันหล่อเหลางดงามมาปิดบังเอาไว้ได้ เขาอธิบายว่า ”ตอนที่ตระกูลเฮ่อเหลียนถูกฆ่าล้างตระกูล นายท่านอาวุโสเฮ่อเหลียนเองก็สิ้นใจโดยไม่ทราบสาเหตุ เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์นั้น ท่านไม่ได้ไว้ชีวิตนางเพราะเห็นแก่ท่านตาของนาง แต่เป็นเพราะเห็นแก่สายเลือดเฮ่อเหลียนที่นางมีอยู่ในตัวต่างหาก ว่ากันว่าเลือดของตระกูลเฮ่อเหลียนสามารถขจัดวิญญาณร้ายได้ ใครก็ตามที่ได้มันไว้ในครอบครองจะสามารถเพิ่มพูนพลังปราณของตนได้อย่างมหาศาล นางยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวตัวเล็กๆ การฆ่านางย่อมนับว่าเสียของ ดังนั้นสู้ไว้ชีวิตนาง และเก็บนางไว้ใช้เป็นคลังเลือดยังดีเสียกว่า ยิ่งกว่านั้นผู้อาวุโสพวกนั้นก็ยังทิ้งร่องรอยของท่านเอาไว้ในที่เกิดเหตุด้วย ตอนที่ข้าค้นพบความจริงเรื่องนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คงรู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน นี่ไม่ใช่ความคิดของตู๋ซูเฟิงที่คิดอยากโค่นบรรดาผู้อาวุโสแต่อย่างใด เดิมทีเขาก็ไม่ใช่ชายที่มีจุดประสงค์ในการทำอะไรชัดเจนอยู่แล้ว ผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงที่ต้องการกำจัดพวกท่านคือตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยเองต่างหาก”
“นั่นยิ่งเป็นเหตุผลชั้นดีให้พวกเรากำจัดนาง” ผู้อาวุโสอู่หรี่ตาพร้อมกับวางถ้วยชาลง ด้วงตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
ผู้อาวุโสอีกสองคนก็ก้มหน้าลงเช่นกัน การสังหารในปีนั้นทิ้งความรู้สึกผิดเอาไว้ในหัวใจของพวกเขา หากประชาชนรู้เรื่องนี้เข้าละก็ ชื่อเสียงอันยาวนานของสี่ผู้อาวุโสในฐานะผู้ปกป้องจักรวรรดิจ้านหลงมาเป็นเวลาหลายปีจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน
หลังจากนั้น ฐานะอันสูงส่งของพวกเขา และอำนาจบารมีอันไร้ขีดจำกัดนี้ก็จะถูกริบกลับไป เวลานี้พวกเขามั่นใจแล้วว่าจะต้องดับลมหายใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยลงให้ได้
ชายชุดขาวหันหลัง พร้อมทั้งหลุบตาลงและไอออกมา ”เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่เด็กสาวธรรมดา การเอาชนะนางย่อมไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้โดยง่าย ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนย่อมรู้ดีว่าองค์ชายคนไหนที่รับมือยากที่สุด เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าแผนการต่อจากนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น”
“คุณชายไม่ต้องเป็นกังวลไป” ผู้อาวุโสอู่จิบชาพร้อมกับกระตุกยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย ”หากมีความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ ต่อให้จะเป็นองค์ชายสามก็ไม่สามารถใช้อำนาจช่วยนางได้ ทันทีที่พระอาจารย์เริ่มสวดมนต์ เฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องกลับคืนสู่ร่างเดิมของตัวเองอย่างแน่นอน!”
ชายชุดขาวชะงักไป ความเงียบคือคำตอบที่เขามอบให้กับบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้น บนใบหน้าของเขามีเพียงแค่รอยยิ้มดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้นเท่านั้น
หลังตะวันตกดิน ผู้อาวุโสหมิงเป็นผู้อาวุโสเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ในห้องโถงแห่งนั้น เขาอ้าปากขึ้นแล้วเอ่ยว่า ”วันพรุ่งนี้ตอนเจ้าเข้าไปในวัง จำคำข้าเอาไว้ ทันทีที่พระอาจารย์สวดมนต์เสร็จ เจ้าต้องล่อเฮ่อเหลียนเวยเวยมาที่ริมแม่น้ำให้ได้ ไม่ว่าแผนการของผู้อาวุโสอู่จะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม”
“ข้าจะทำงานที่นายท่านมอบหมายให้สำเร็จให้จงได้ขอรับ” ผู้อาวุโสหมิงยืนขึ้น เขาก้มหน้าด้วยท่าทางประหลาดตา จากนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะอันแหบแห้งชวนขนหัวลุกออกมา
ชายชุดขาวชำเลืองมองผู้อาวุโสหมิง และกล่าวว่า ”เจ้าเป็นมนุษย์มาหลายวันแล้ว แต่กลับยังไม่เข้าใจนิสัยธรรมชาติของมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว จำเอาไว้ว่าอย่าได้เผยร่างจริงของเจ้าออกมาเด็ดขาด โดยเฉพาะเวลายืนและนั่ง หากร่างจริงของเจ้าถูกเปิดเผย เจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร”