“รัชทายาทรึ” ฮ่องเต้หัวเราะอย่างชั่วร้าย ”หากไม่ได้รับการยินยอมจากข้า ชีวิตนี้เขาย่อมไม่มีวันได้เป็นรัชทายาทอย่างแน่นอน!”
ค่ำคืนนี้ ตำหนักเจาหยางหาได้สงบสุขไม่
ขันทีเกาพาร่างกายอันบอบช้ำของตัวเองออกมาอย่างเงียบๆ ใครเล่าจะสามารถเข้าใจถึงความเจ็บปวดที่อยู่ในหัวใจของเขาได้ เขารับใช้ฮ่องเต้มาอย่างน้อยก็สามสิบปี แต่กระทั่งวันนี้เขาก็ยังถูกมองว่าเป็นเพียงแค่สัตว์เท่านั้น
“จากที่ข้าเห็น ข้าว่าฮ่องเต้น่าจะเริ่มหมดความอดทนแล้ว” เมื่อหนานกงเลี่ยที่พำนักอยู่ในอารามศักดิ์สิทธิ์มาได้ระยะหนึ่งรู้ข่าวนี้เข้า เขาก็รีบนำมันมาแจ้งให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ทันที ”อาเจวี๋ย ข้าคิดว่าเหตุการณ์นี้มีอะไรมากกว่าที่เราคิด ช่วงนี้เจ้าต้องระมัดระวังเอาไว้ให้มาก แม้ฝ่าบาทจะไร้ความสามารถและหมกมุ่นอยู่แต่กับยาอายุวัฒนะมาตลอดหลายปี แต่วังหลวงก็ยังเป็นของเขาอยู่ดี”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ไม้ ใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของเขาเย็นชาไม่แยแส
หนานกงเลี่ยไม่ได้แนะนำอะไรกับเขามากนัก อย่างไรเสียก็ไม่มีใครเข้าใจไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ฮองเฮาไม่เคยรักอาเจวี๋ยเลยสักครั้ง
และเมื่อเขาโตขึ้น…
แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังระวังตัวจากเขา
หนานกงเลี่ยส่ายหน้าและลอบถอนหายใจอยู่ในใจ
กว่าเขาจะกลับก็ดึกมากแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไปที่ห้องบรรทมพร้อมกับหมอกยามค่ำคืนสัมผัสเย็นยะเยือก ข้ารับใช้ทุกคนล้วนแต่สังเกตได้ถึงความเย็นชาที่อยู่ในดวงตาของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงรีบก้มหน้าลงแล้วหลบไปยืนข้างๆ อย่างรวดเร็ว
แต่สุดท้ายความเย็นชาในดวงตาของเขาก็เลือนหายไปเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้เตียง
ทั้งหมดเป็นเพราะคนที่นอนอยู่ในกรงแห่งนั้นนั่นเอง
ข้อมือของนางถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็ก แต่นางกลับยังสามารถหลับลงได้ ข้างกายของนางมีที่ว่างเหลืออยู่ ราวกับจงใจเว้นมันไว้ให้เขา
หากคนที่อยู่ในกรงนี้เป็นคนอื่น ป่านนี้พวกเขาคงทนไม่ไหวกับรสนิยมประหลาดของเขาไปนานแล้ว
แต่นางกลับเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทนได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่กำลังเบ่งบานอยู่ภายในใจของเขา เขาปีนขึ้นเตียงแล้วดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน
เฮ่อเหลียนเวยเวยว่านอนสอนง่ายยิ่งนักเวลาหลับ นางยอมให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยควบคุมร่างกายของนางตามใจชอบจนกระทั่งร่างของนางซบเข้ากับตัวเขา เขาโอบแขนรอบเอวของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเป็นธรรมชาติ
ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย จากนั้นเขาก็ประทับจูบลงบนศีรษะของนาง
ตอนนี้นางรู้สึกผ่อนคลายเป็นที่สุดเมื่ออยู่กับเขา ในที่สุดนางก็ลดความระมัดระวังตัวลง
ก่อนหน้านี้ เพื่อให้ได้นางมาเป็นของตัวเอง เขาไม่คิดลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะฝืนหลักการของตัวเอง และทำสัญญาแต่งงานกับนาง ทั้งหมดที่เขาทำลงไปนั้นก็เพื่อให้ได้นางมาอยู่บนเตียงของเขา
ตอนที่พวกเขาแต่งงานกันแรกๆ นางยังระวังตัวจากเขาอยู่ แม้ว่าเขากับนางจะนอนร่วมเตียงเดียวกัน แต่นางก็จะนอนชิดริมกำแพง และไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัวนางแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้นางกลับเชื่อฟังเขามากเสียจนเขาอดที่จะรักนางมากยิ่งขึ้นไม่ได้
เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าความอดทนและการวางแผนที่ดีย่อมเป็นสิ่งจำเป็นในการดูแลสัตว์จอมเจ้าเล่ห์อย่างสุนัขจิ้งจอก
“อืม…” เฮ่อเหลียนเวยเวยพลิกตัวเล็กน้อย นางรู้สึกไม่สบายตัวเพราะความเย็นที่มาจากร่างของเขา เผยให้เห็นหน้าท้องขาวนวลเนียนของนางที่ขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ ตามการหายใจ ทำให้นางดูเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ”เช้าแล้วหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ดูแลสัตว์ฝีมือฉมัง เขาดึงนางเข้าหาตัว แล้วลูบแผ่นหลังของนางเบาๆ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและนุ่มนวลราวกับบทเพลงกล่อมเด็กว่า ”ยัง เจ้านอนต่อเถอะ”
“พระอาทิตย์ขึ้นเมื่อใดท่านช่วยปลุกข้าด้วย ข้าจะได้ทำถั่วให้ท่าน...” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาลงทีละน้อย คำพูดสองสามคำสุดท้ายนั้นกลายเป็นเสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาลงมองนาง ริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนออกมา
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างไม้ กระทบกับร่างของคนทั้งสองที่หลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน หากใครได้มาเห็นภาพนี้ย่อมคิดว่าทั้งสองสมกับเป็นเนื้อคู่กันอย่างแท้จริง…
*****
“ฮัดเช้ย!”
ไม่รู้เป็นเพราะนางตื่นเช้าเกินไปหรือเปล่า แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงจามออกมาดังลั่นทันทีที่ลุกขึ้นจากเตียง การเคลื่อนไหวนั้นส่งผลให้เท้าของนางกระแทกเข้ากับหัวเตียงความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ถือผ้าขนหนูสีไข่ไก่อยู่ในมือยืนอยู่ข้างหน้าต่างตอนที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสียงเอะอะนั้น เขาก็หันหน้าไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยทันที คอของนางเกร็งด้วยความเจ็บปวด ในเวลานั้นนางกำลังพยายามตรวจสอบอาการบาดเจ็บของตัวเองอยู่ เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า ”มานี่สิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลืนน้ำลายตามสัญชาตญาณ แล้วหันหน้าไปด้านข้างพลางถามออกมาว่า ”จะทำอะไร”
“เอาเท้ามาให้ข้าดู” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยบอกพร้อมกับส่งผ้าขนหนูของตัวเองให้ข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงเออออตอบรับ และกำลังจะก้มตัวลงสวมรองเท้า แต่ก่อนที่นางจะทันได้ทำเช่นนั้น มือของคนคนหนึ่งก็พลันเคลื่อนมาโอบเอวของนางเอาไว้ แล้วอุ้มนางขึ้น รู้ตัวอีกครั้ง นางก็ถูกอุ้มมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้จันทน์ตัวหนึ่ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้แขนทั้งสองข้างกักขังร่างของนางเอาไว้ เขาโน้มตัวลงและใช้ดวงตาอันชวนหลงใหลนั้นประสานสายตากับนาง น้ำเสียงของเขาดังขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า ”ยกเท้าขึ้น”
ในท่านี้น่ะหรือ
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่ยอมทำเช่นนั้นแน่ นางแค่มองเขาแล้วค้านว่า ”ไม่เจ็บแล้ว มันแค่กระแทกเบาๆ เท่านั้น”
“กระแทกเบาๆ แต่กลับแดงถึงขนาดนี้น่ะหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับตัวเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิมราวกับกำลังพยายามต้อนให้นางจนมุม ตัวตนของเขาเปี่ยมไปด้วยอำนาจ อำนาจนั้นยิ่งใหญ่เสียจนทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถปฏิเสธเขาได้แม้นางจะอยากทำเช่นนั้นก็ตาม บางทีอาจเป็นเพราะแสงตะวันยามเช้าอันสว่างไสว ที่ทำให้ใบหน้าของเขายิ่งหล่อเหลาดูดียิ่งกว่าในยามปกติ
เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักได้ว่าในที่สุดนางก็ได้เห็นสิ่งที่เรียกว่าฟิลเตอร์แต่งรูปสวยอัตโนมัติกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน คนหน้าตาดีอย่างองค์ชายสามย่อมถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปีศาจแสนยั่วยวนอย่างแน่นอน
“ทำไมเจ้าถึงมองข้าเช่นนั้น เจ้าอยากให้ข้าสานต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับเข้าไปใกล้หูนาง น้ำเสียงของเขาทั้งต่ำและเย้ายวน แต่ก็แฝงไปด้วยความขบขัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นผิดไปครึ่งจังหวะของตัวเอง นางพยายามผลักเขาออก แต่เขาก็โต้กลับด้วยการแนบร่างเข้าหานางมากยิ่งขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอียงศีรษะเล็กน้อย และขยับกายเข้าหานางจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ยิ่งดวงตาของเขาใกล้เข้ามามากเพียงใด หัวใจของนางก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยคว้าชุดของเขาเอาไว้แน่น พร้อมกับพยายามถดตัวหนีไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว ”เดี๋ยวก่อน…”
“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เปิดโอกาสให้นางหนี มือข้างขวาของเขาประคองอยู่ที่ท้ายทอยของนาง จากนั้นจึงประกบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากบางนั้น
สัมผัสเย็นๆ และกลิ่นไม้จันทน์อันคุ้นเคยทำให้นางรู้สึกมึนเมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยหอบหายใจออกมาเล็กน้อยในตอนที่เขาดึงร่างของนางเข้าสู่อ้อมแขน แต่พอเขาเริ่มพรมจูบลงบนคอ นางก็รีบยกมือขึ้นห้าม พร้อมกับเอ่ยว่า ”อดใจไว้ก่อน ข้ายังต้องทำซาลาเปาไส้ถั่วแดงให้ท่านกับเจ้าเจ็ดอยู่ พอเขาตื่นขึ้น มันจะได้เสร็จทันให้ท่านกับเขากินพอดี ท่านชอบซาลาเปาไส้ถั่วแดงใช่หรือเปล่า หรือจะเก็บเอาไว้กินรองท้องก่อนอาหารกลางวันก็ได้นะ”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็คลายมือออกจากนาง เขามองใบหน้างดงามที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับครุ่นคิดในสิ่งที่นางพูดไปด้วย
เขาพูดตอนไหนว่าเขาชอบซาลาเปาไส้ถั่วแดง
นางเดามั่วอีกแล้ว
แต่มันก็เป็นความจริง เมื่อใดก็ตามที่องค์ชายสามได้แตะต้องซาลาเปาไส้ถั่วแดงแล้ว เขาจะกินมันเยอะกว่าใครๆ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าซาลาเปาชนิดนี้เป็นที่ถูกปากของเขาเพียงใด
หลังทุกคนกินอิ่ม ซาลาเปาที่เหลือจึงกลายเป็นของเจ้าเจ็ด เขาถือซาลาเปาเอาไว้ในมือขวา มือซ้ายคีบตะเกียบ ส่วนปากก็คาบซาลาเปาอีกลูกเอาไว้ เขานั่งอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยท่าทางดุดันน่าเกรงขามเหมือนอย่างเคย
ขันทีซุนใช้โอกาสนี้แจ้งว่ามีขุนนางหลายคนต้องการพบไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาอยากให้องค์ชายได้พบคนเหล่านั้นเพราะพวกเขาอาจจะสามารถทำประโยชน์ให้กับเขาได้ในอนาคต
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเศษซาลาเปาที่ติดอยู่บนแก้มของเจ้าเจ็ด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังปกติว่า ”ปฏิเสธพวกเขาไปให้หมด”
ขันทีซุนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงลดเสียงลงแล้วบอกว่า ”แต่ในจำนวนนั้นมีขุนนางจากกรมกลาโหมด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ…”