“ปฏิเสธไปให้หมด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามามองขณะใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดนิ้วมือของตัวเอง เขาไม่ได้อธิบายอะไรต่อ
ขันทีซุนก้มหน้าลง เขาหันไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยหวังว่านางจะสามารถเกลี้ยกล่อมไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ อย่างไรก็ตาม มันคงยากที่เขาจะสามารถรักษาตำแหน่งตัวเองเอาไว้ได้หากเขายังคงทำตัวห่างเหินจากผู้คนอยู่เช่นนี้
ฝ่าบาทเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมาตลอด แต่ทำไมคราวนี้ถึงคิดไม่ออกกัน!
ขันทีซุนกระวนกระวาย และทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนขึ้น นางส่งยิ้มให้กับเขาพร้อมหยิบชามใบหนึ่งขึ้นมา ”ขันทีซุนช่างเป็นคนที่จงรักภักดียิ่งนัก ถึงขนาดแสดงสีหน้าบูดบึ้งออกมาเช่นนี้”
“พระชายา ท่านอย่าล้อกระหม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนขยับเท้า แล้วลอบมองเข้าไปในห้อง ”กระหม่อมจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะหากองค์ชายยังคงปฏิเสธที่จะพบใครต่อใครอยู่เช่นนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยดมซาลาเปาไส้ถั่วแดงในมือของตัวเอง และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า ”ขันทีซุนคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ขุนนางเหล่านั้นจะเข้าพบองค์ชายหรือ ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น”
ขันทีซุนชะงักไป ”ท่านไม่คิดว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ตั้งแต่ที่พวกข้ากลับมาจากเมืองหลวงประจำมณฑล ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีจากกองทัพ หรือจะเป็นเสนาบดีจากกรมขุนนาง พวกเขาต่างก็ต้องการให้ฮ่องเต้เร่งแต่งตั้งองค์ชายโดยเร็ว แต่ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มมุมปากพร้อมกับกัดซาลาเปาไส้ถั่วแดง ”ที่เป็นเช่นนี้ย่อมหมายความได้เพียงอย่างเดียวว่าฮ่องเต้ยังไม่ต้องการที่จะแต่งตั้งเขา ในเวลานี้หากองค์ชายยังออกไปพบปะกับเหล่าเสนาบดีจากทางกองทัพและทางกรมขุนนางอีกละก็ เขาจะต้องเจอปัญหาแน่ ดังนั้นคงจะดีกว่าหากองค์ชายไม่ไปพบกับเสนาบดีเหล่านี้ อีกทั้งการทำเช่นนี้ย่อมเป็นการป้องกันไม่ให้ฮ่องเต้เกิดความระแวงอีกด้วย”
เหงื่อเย็นๆ ปกคลุมไปทั่วหน้าผากของขันทีซุนทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”พระชายาหมายความว่าฮ่องเต้เริ่มสงสัยใน…”
“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมาจากตะกร้า ก่อนจะพลิกมันไปมา ”แต่จากที่ข้าเห็น องค์ชายก็เพียงแค่ไม่อยากพบพวกเขาเท่านั้น ถ้าเขาอยากพบกับคนพวกนั้นจริงๆ มีหรือที่เขาจะสนใจเรื่องพวกนี้”
ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยใกล้ชิดกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมากเพียงใด นางก็ยิ่งรู้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ รู้จัก เขาไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ผุดผ่องเลยแม้แต่น้อย
ตัวจริงของเขาเป็นคนที่กลัวว่ามือตัวเองจะเปื้อนเลือด
ผู้คนต่างกล่าวว่าเขาเป็นคนโหดเหี้ยม
แต่มันกลับต่างออกไปในสายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย สำหรับนางแล้ว เขาเป็นแค่องค์ชายตัวน้อยที่ไม่มีวัยเด็กเหมือนคนอื่นเท่านั้น จึงแน่นอนว่าเขาย่อมมีเล่ห์เหลี่ยมติดตัวอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่นางชอบ
คนเราจะเอาตัวรอดในสถานที่อย่างวังหลวงได้อย่างไรหากไม่มีเล่ห์เหลี่ยมปกป้องตัวเอง
นอกจากนั้น จะโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ถูกเลี้ยงดูมาเช่นนี้ได้อย่างไร
แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังแทบทนเขาไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนอื่น…
“พี่สะใภ้สามขอรับ ท่านคุยอะไรกับขันทีซุนอยู่หรือ” เด็กชายตัวน้อยคาบซาลาเปาไส้ถั่วแดงไว้ในปาก เขาเงยหน้าขึ้นและมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยดวงตาคู่โต
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตามเด็กชายตัวน้อย จากนั้นสายตาของเขาจึงหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วหยิบแอปเปิ้ลมาไว้ในมือ ”ข้าก็กำลังบอกให้ขันทีซุนนำผลไม้มาให้เราเยอะกว่านี้เวลาที่เขามาที่นี่ในคราวหน้าน่ะสิ ข้าจะได้ทำนมเปรี้ยวรสผลไม้ให้เจ้ากับพี่สามของเจ้าดื่มได้”
“นมเปรี้ยวรสผลไม้หรือขอรับ” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ไม่เลว มันฟังดูน่าอร่อยทีเดียว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกขำกับท่าทางราวกับผู้ใหญ่ที่เด็กชายแสดงออกมา นางลูบศีรษะของเขาก่อนจะกลับไปนั่งข้างๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ”หากพูดเช่นนี้ หลังจากนี้ไปขันทีซุนย่อมต้องใส่ใจให้มากกว่านี้ เข้าใจหรือไม่”
“กระหม่อมจะจดจำทุกสิ่งที่พระชายากล่าวมาและทุกสิ่งที่องค์ชายคิดเอาไว้ให้ขึ้นใจพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซุนเป็นคนฉลาด ไม่นานนักเขาก็พาคนทั้งห้องออกไป ข้ออ้างที่เขาใช้นั้นฟังดูเหมาะสมยิ่งนัก มันไม่ได้ฟังดูไร้เหตุผลหรือฟังดูเหมือนการบีบบังคับจนเกินไป
แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ดีว่าทั้งสองพูดคุยเรื่องอะไรกัน เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดขนมและผลไม้แห้งให้กับเขา จากนั้นริมฝีปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยบังเอิญเห็นรอยยิ้มของเขาเข้าพอดี นางมองมะม่วงตากแห้งในมือ แล้วมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พร้อมกับถามอย่างงงๆ ว่า ”ท่านชอบสิ่งนี้หรือ ทีหลังข้าจะได้เก็บไว้ให้ท่าน”
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงนางเข้ามาหาตัว พร้อมกับจับมือนางขึ้น ก่อนจะจุมพิตมัน
เจ้าจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ตัวนี้ เขาควรจับตาดูนางเอาไว้ให้ดีจริงๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ห้ามเขา นางเอ่ยต่ออย่างภาคภูมิใจพร้อมด้วยรอยยิ้มสว่างไสวว่า ”ในที่สุดท่านก็ตระหนักได้แล้วหรือว่าข้าปฏิบัติต่อท่านดีเพียงใด อย่าล่ามข้าอยู่คนเดียวสิ บางครั้งให้ข้าล่ามท่านบ้างดีไหม…”
“เอาสิ”
“ถ้าท่านยอม ข้าจะปฏิบัติต่อท่านให้ดียิ่งกว่านี้อีกตอนอยู่บน… เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่นี้ท่านว่าอะไรนะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าหูของนางมีปัญหา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโอบเอวนางเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น และเอ่ยด้วยน้ำเสียงชวนฟังว่า ”คืนนี้หลังจากเรากลับไป เจ้าจะจับข้าล่ามไว้ทั้งคืนก็ยังได้ เจ้าจะว่าอย่างไร”
“พูดง่ายเช่นนี้เลยหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาพร้อมเอ่ยถาม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ไหว ”การทำเช่นนี้จะทำให้เจ้าปฏิบัติกับข้าดียิ่งกว่านี้มิใช่หรือ”
“ข้าขอเพิ่มกุญแจมือเป็นสองเท่า!” นางต้องป้องกันไม่ให้เขาใช้เล่ห์กลอันใดกับนางได้ สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วนี่ถือว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ทีเดียว
บอกตามตรงว่ากับคนอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้น หญิงใดที่ได้เห็นใบหน้าอันเย็นชาและแสนเย้ายวนของเขาก็คงรู้สึกอยากจับเขาล่ามเอาไว้ทั้งนั้น
ผู้ชายคนนี้เหมาะกับของมืดมนเกินไป
เช่นของจำพวกกุญแจมือหรืออาวุธปืน…
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดมานานแล้วว่าอยากลองล่ามเขาดูสักหน คนเป็นราชินีนักรบอย่างนางแทบไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่เหมาะกับการถูกจับล่ามเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงรู้สึกคันไม้คันมือยิ่งนัก
แต่น่าเศร้าที่ระดับความสามารถระหว่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นห่างชั้นกันเกินไป
ในแง่ของความเจ้าเล่ห์ นางย่อมไม่มีท่างเทียบชั้นกับองค์ชายคนนี้ได้
แต่ตอนนี้ในเมื่อเขาเป็นคนยื่นข้อเสนอด้วยตัวเอง นางย่อมไม่ปฏิเสธ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มคิดว่ากุญแจชนิดไหนจะใช้ตรึงชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดในปฐพีคนนี้ได้ และเผยให้เห็นร่างกายอันละเอียดอ่อนดุจกระเบื้องเคลือบของเขาอย่างชัดเจน นางจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
นิ้วยาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแนบลงที่ด้านหลังศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวย และเผยรอยยิ้มออกมา
ยอมให้นางล่ามเพียงครั้งเดียว นางก็มีความสุขถึงเพียงนี้แล้วหรือ
การทำให้นางมีความสุขช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก…
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬเดินเข้ามาในห้อง เขาดูเหมือนมีเรื่องจะรายงาน แต่ก็ยังรู้สึกลังเลเพราะเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยอยู่ที่นี่ด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเงาทมิฬมาที่นี่เพราะเรื่องงาน ดังนั้นนางจึงเรียกองค์ชายเจ็ดตัวน้อยเข้ามาหา แล้วบอกกับเขาว่า ”เราออกไปอาบแดดข้างนอกกันดีกว่า!”
“ไปสิขอรับ!” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยยื่นมือจับแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า ”รอให้เงาทมิฬรายงานจบก่อน จากนั้นพวกเราค่อยออกไปด้วยกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับมามองเขา และยิ้มออกมา ”ได้”
นางมักจะมีความรู้สึกว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจงใจปิดบังบางอย่างเอาไว้
ทำไมครั้งนี้มันถึงต่างออกไปล่ะ
หากว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องในครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปกติ เพราะสิ่งที่เงาทมิฬรายงานนั้นย่อมเต็มไปด้วยการนองเลือดและความโหดร้ายป่าเถื่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย สิ่งที่คนอื่นได้เห็นจากตัวเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาหวังจะให้เฮ่อเหลียนเวยเวยได้เห็น
แต่ในทางกลับกัน เขาก็อยากให้นางรู้ว่าเขาเป็นคนแบบนั้น เพราะทุกสิ่งที่เขาเคยทำลงไปนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องสกปรก และมือของเขาก็มักจะเปื้อนเลือดอยู่เสมอ
“ฝ่าบาท” เงาทมิฬลังเลเพราะเขาไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าขององค์ชายมาก่อน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเย็นชา ”ว่ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬหลุบตาลง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า ”บรรดาพระอาจารย์ชื่อดังที่ผู้อาวุโสพวกนั้นจ้างมาได้ถูกกำจัดตามคำสั่งของฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทันทีที่ได้ยินคำรายงานของเงาทมิฬ ”ท่านสั่งให้คนไปสังหารพระอาจารย์ทุกคนที่เข้ามาสวดมนต์ในวังหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำแขนเสื้อของตัวเองแน่น น้ำเสียงเย็นชาและแหบแห้งของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันที่มีให้กับตัวเอง ”ทำไมรึ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปหรือ”