เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามว่า ”หากท่านสังหารพระอาจารย์ชื่อดังผู้บรรลุหนทางแห่งเต๋า บาปของท่านจะมิยิ่งร้ายแรงขึ้นหรือ”
“แล้วอย่างไรหรือ” นิ้วอันเย็นเยียบของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยประสานเข้าหากันแน่น เขารู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจให้เงาทมิฬพูดขึ้นมาเล็กน้อย
หึ มันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ
เขาดูสมบูรณ์แบบเมื่อมองจากภายนอก
แต่ในความเป็นจริงนั้นเขาไม่รู้อะไรเลยนอกไปเสียจากการเข่นฆ่าและเล่ห์กลทางการเมือง
มันสำคัญด้วยหรือว่าเขาจะเคยก่อกรรมทำชั่วหรือไม่
หากเป็นในอดีต เขาคงเริ่มการสังหารหมู่ ณ วัดที่พระอาจารย์เหล่านั้นอยู่แล้วด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้…
“ไม่มีอะไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยขัดจังหวะความคิดพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ข้าเพียงรู้สึกว่าข้าควรแวะไปที่วัดหลิงอิ่นอีกสักครั้งเพื่อจุดธูปไหว้พระให้ท่าน” ทันทีที่พูดจบ นางก็เงยหน้าขึ้นแล้วคว้ามือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ นางยิ้มให้เขาแล้วเอ่ยว่า ”คราวหน้าข้าจะจัดการเรื่องพวกนี้ให้ท่านเอง มือของท่านบริสุทธิ์และงดงามถึงเพียงนี้ อย่าให้มันต้องเปื้อนเลือดเลย ยิ่งกว่านั้นพระอาจารย์พวกนั้นก็มีเป้าหมายคือข้า พวกเขามาที่วังหลวงก็เพื่อยุติความวุ่นวาย ถ้าท่านสังหารพวกเขา ท่านจะอธิบายฮ่องเต้อย่างไรหรือ”
“นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการพูดหรือ” ลึกเข้าไปในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยราวกับมีคลื่นน้ำหลายชั้นกำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มันดูแตกต่างจากความเย็นชาราวกับน้ำแข็งและความร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงในยามปกติของเขา
ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อ
แต่ตอนนี้ เขาเชื่อแล้ว
บนโลกใบนี้ยังมีคนคนหนึ่งที่สามารถทำให้เราให้อภัย และลืมความยากลำบากทั้งหมดที่เราเคยเผชิญมา
สำหรับเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยคือคนคนนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า ”ข้าพูดอะไรผิดหรือ”
“เจ้าพูดถูกแล้ว” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จากนั้นเขาจึงโน้มตัวเข้าไปประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของนาง
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็งอยู่กับที่ ทุกลมหายใจของนางเต็มไปด้วยกลิ่นใบป๋อเหออันเป็นกลิ่นของชายหนุ่มแต่เพียงผู้เดียว หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ
รอบตัวพวกนางยังมีคนรายล้อมอยู่อีกหลายคน
นอกจากเจ้าเจ็ดแล้ว ก็ยังมีขันทีซุนและเงาทมิฬอยู่ด้วย…
หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ลิ้มรสกลิ่นไม้จันทน์เย็นๆ อันน่าหลงใหลนั้น นางก็ยกมือขึ้นแล้วผลักเขาออก ใบหูของนางแดงระเรื่อ จากนั้นนางจึงเอ่ยว่า ”ท่านรักษาภาพลักษณ์หน่อยได้ไหม”
“เจ้าเป็นคนพูดจายั่วยวนข้าเองต่างหาก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มชั่วร้าย แล้วจึงเอ่ยต่อ ”เวลาที่คนอื่นได้ยินสิ่งที่เงาทมิฬนำมารายงานข้า ปกติแล้วพวกเขาจะเรียกข้าว่าปีศาจหรืออสุรกาย แต่เจ้ากลับต่างออกไป เจ้ากลับปกป้องปีศาจเช่นข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเช็ดรอยแดงที่เกิดจากการจูบของเขา นางตอบกลับทั้งที่ยังก้มหน้างุดว่า ”ถ้าข้าไม่ปกป้องท่านแล้วจะข้าปกป้องใครล่ะ ท่านเป็นสามีของข้านะ”
“โอ้?” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเม้มริมฝีปาก จากนั้นจึงปล่อยนางลงกับพื้น ”ขอบใจเจ้ามาก ภรรยาข้า…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่ ”อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แต่ข้าคิดว่าการฆ่าพระอาจารย์แค่ไม่กี่คนย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”
“พระชายาช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก” เงาทมิฬกระแอมออกมาเบาๆ และแล้วในที่สุดเขาก็หาเสียงของตัวเองจนเจอ ”คราวนี้คนจากจวนของบรรดาผู้อาวุโสทุ่มเทความพยายามเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาจ้างพระอาจารย์ชื่อดังมาพร้อมกันถึงสามคณะ แต่พวกเราสังหารไปได้เพียงแค่คณะแรกเท่านั้น ต่อให้พวกกระหม่อมไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ แต่ก็ยากนักที่จะลงมือได้อีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นเจ้าของความคิดในการนิมนต์บรรดาพระอาจารย์เหล่านั้นเข้ามาในวังหลวงก็คือฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า ”เรียกองครักษ์เงาคนอื่นๆ กลับมา ไม่จำเป็นต้องฆ่าพระอาจารย์เหล่านั้นอีกแล้ว”
“แต่…” เงาทมิฬชำเลืองมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
นิ้วเรียวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเกี่ยวเส้นผมของนาง เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเงาทมิฬก็ตอบว่า ”พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารีบเข้ามาเช่นนี้ ข้าเชื่อว่านี่คงไม่ใช่เรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียวใช่หรือไม่” เฮ่อเหลียนเวยเวยจิบชา พร้อมกับยิ้ม แล้วเสริมว่า ”เล่าให้ข้าฟังสิ ข้าค่อนข้างสนใจเรื่องขององค์ชายมากทีเดียว”
เงาทมิฬชำเลืองมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง ก่อนจะรายงานว่า ”มีข่าวมาจากสายลับในกองทัพพ่ะย่ะค่ะ ระยะนี้มีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้นบ่อยครั้งด้วยฝีมือของอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของฮองเฮา มิหนำซ้ำวันนี้พวกเขาก็ยังมารวมตัวกันอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่าพวกเขามีเป้าหมายอันใดกันแน่”
“อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของฮองเฮาหรือ” นัยน์ตาของเฮ่อเหลี่ยนเวยเวยหดแคบ น้ำเสียงของนางลึกล้ำขึ้น แม้นางจะเป็นคนนอกที่มาจากที่อื่น แต่นางก็ยังรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมหมายความว่ากำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น
มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังคิดที่จะก่อกบฏเพื่อโค่นล้มฮ่องเต้!
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเคลื่อนไหว จากนั้นนางก็ลุกขึ้นแล้วหันหน้าไปอีกทาง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำเพียงสังเกตอาการของนางอย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาของเขายังคงไร้อารมณ์
เงาทมิฬถามหยั่งเชิงว่า ”ฝ่าบาท พวกเราควรเตรียมตัวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เคลื่อนทหารกองรักษาการณ์จากนอกเมืองเข้ามาป้องกันประตูอู่เหมิน และรอคำสั่งเพิ่มเติมดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่จำเป็น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไป และวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เขาสั่งอย่างใจเย็นว่า ”ไปตรวจสอบเรื่องอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของฮองเฮาซะ ข้าอยากรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร องค์ชายห้าถูกขังคุกอยู่ ส่วนฮองเฮาก็ถูกกักขังอยู่ในวัง ตระกูลมู่หรงก็ล่มสลายไปจนหมดแล้ว แต่เวลานี้กลับมีคนพยายามก่อความวุ่นวายขึ้น ดูน่าสงสัยยิ่งนัก”
เงาทมิฬขานรับสั้นๆ แต่ภายในใจนั้นเขากลับรู้สึกไม่เห็นด้วย และเป็นกังวลกับการตัดสินใจนั้น ”ฝ่าบาท เมื่อมีปัญหาย่อมต้องมีการเตรียมพร้อม การที่เราไม่เรียกกองกำลังรักษาการณ์กลับเข้าเมืองเช่นนี้จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเวลานี้พวกเรายังไม่ควรเคลื่อนย้ายกองกำลังรักษาการณ์” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูสุขุมเยือกเย็นราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาอธิบายว่า ”บทบาทของกองกำลังรักษาการณ์คือการคุ้มกันเมืองหลวง พวกเขาควรทำตามคำสั่งของฮ่องเต้ แม้ข้าจะมีอำนาจทหารอยู่ในมือ และแม้ข้าจะมีความตั้งใจที่จะปกป้องฮ่องเต้จากกบฏเหล่านั้น แต่ฮ่องเต้ก็จะยังสงสัยเคลือบแคลงในการกระทำนั้นอยู่ดี ฮ่องเต้อาจจะตั้งข้อหากบฏกับข้าด้วยซ้ำ เพราะองค์ชายไม่ควรนำกองกำลังเข้ามาในวังหลวง”
เงาทมิฬตกตะลึงทันทีที่ได้ยินดังนั้น ”ฮ่องเต้ ฮ่องเต้อาจจะไม่ทำเช่นนั้นก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เหตุการณ์ในครั้งนี้อาจกลายเป็นข้อได้เปรียบสำหรับเขาได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยม้วนแขนเสื้อตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ
เงาทมิฬเริ่มกระวนกระวาย ”ฝ่าบาท เช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นใดกันดีพ่ะย่ะค่ะ พวกเราคงไม่ยืนอยู่เฉยและปล่อยให้พวกเขาบุกเข้ามาในวังหลวงใช่หรือไม่! เมื่อถึงตอนนั้นฮ่องเต้จะกล่าวว่าท่านเป็นคนไร้ความสามารถนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“เขาคงไม่จบเพียงแค่กล่าวว่าข้าไร้ความสามารถแน่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเม้มริมฝีปากบางเข้าหากัน ”เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว ข้ามีวิธีการจัดการกับเรื่องนี้ของตัวเอง บอกองครักษ์เงาทุกนายด้วยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามเคลื่อนไหวเด็ดขาด…”
เงาทมิฬไม่ตอบ ห้ามเคลื่อนไหวหรือ
มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ หรือ
เวลาผ่านพ้น ภายในกำแพงของวังหลวงมีสายลมเย็นสบายพัดผ่าน มันช่างเป็นภาพที่เงียบสงบยิ่งนัก แต่ภายนอกกำแพงนั้นกลับมีสายลมร้องคำราม และแม้แต่ใบหญ้าก็ยังส่งเสียงดังกรอบแกรบ
ณ หอน้ำชาที่ซ่อนตัวอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงที่แทบร้างผู้คน เงาร่างหลายร่างรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังวางแผนการอะไรบางอย่างกันอยู่
แม่ทัพคนหนึ่งใช้มีดชี้ไปที่พิมพ์เขียวของวังหลวง และกระซิบเสียงเบาว่า ”รอจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน จะมีคนเปิดประตูให้กับพวกเรา จากนั้นพวกเราก็เพียงต้องแอบเข้าไป และตรงไปที่ตำหนักเจาหยาง! พวกเราต้องทำให้สำเร็จ ห้ามทำพลาดเด็ดขาด!”
“ขอรับ!”
นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวของพวกเขา
ตระกูลมู่หรงสูญเสียผู้นำไปสิ้น อีกทั้งฮองเฮาของพวกเขาก็ยังถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่ตำหนักเย็น
ฮ่องเต้ไม่แสดงความเสียใจออกมาด้วยซ้ำ ในขณะที่องค์ชายสามกลับต้องการให้ตระกูลของพวกเขาหายไปทั้งตระกูล
ดังนั้นพวกเขาจะต้องลงมือ!
หากทำตามแผนการของผู้อาวุโส พวกเขาย่อมไม่จำเป็นต้องกลัวว่าแผนการโค่นบัลลังก์ครั้งนี้จะไม่สำเร็จ
ทันทีที่องค์ชายสามส่งกองกำลังมาจัดการกับพวกเขา ฮ่องเต้จะต้องโกรธจนควันออกหู และจับเขาในข้อหาก่อกบฏทันที!
หากสามารถโค่นองค์ชายสามลงได้ เพียงเท่านี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว!