ยามเที่ยง พระอาจารย์เหล่านั้นจึงเข้ามาในวังหลวง
สามผู้อาวุโสก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน พวกเขากล่าวว่าพระอาจารย์เหล่านี้มาที่นี่เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของผู้ล่วงลับ และจำกัดวิญญาณร้ายที่อยู่ในตำหนักซู่ชิง
“ท่านผู้อาวุโสขอรับ…” ทันทีที่พวกเขาเข้ามาถึง องครักษ์ที่มีหน้าที่ในการรับรถม้าก็เดินไปหาผู้อาวุโสอู่ และกระซิบบางอย่างให้เขาฟัง
คนอื่นๆ อาจได้ยินไม่ชัดนัก แต่ผู้อาวุโสอู่กลับได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนสาวเท้าเดินเข้าไปหลบอยู่ในเงามืด ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับด้วยความชั่วร้าย
เขาอยากเห็นนักว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะคลี่คลายเรื่องนี้อย่างไร!
เป็นเวลาหลายปีที่จวนผู้อาวุโสของพวกเขาตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขามาโดยตลอด
ทุกครั้งที่พวกเขาลงมือทำอะไร พวกเขาจะต้องคำนึงอยู่เสมอว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะโต้กลับพวกเขาอย่างไร
เวลานี้โอกาสอันยิ่งใหญ่มาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว พวกเขาควรรีบใช้ประโยชน์จากความคิดของฮ่องเต้กำจัดเขาให้พ้นทาง
เขาอยากเห็นนักว่าเมื่อสูญเสียตำแหน่งองค์ชายไปแล้ว เขาจะยังสามารถกัดใครได้อีกหรือเปล่า!
“ท่านผู้อาวุโสขอรับ ท่านผู้อาวุโสอู่ขอรับ?” ขันทีเกาเรียกเขาสามครั้งติดกัน เขาอยู่ที่ประตูทางเข้าวังหลวง และกำลังทำหน้าที่ต้อนรับแขกทุกคนแทนฮ่องเต้อยู่
ผู้อาวุโสอู่เพิ่งได้สติกลับมาก็ตอนที่ถูกเรียกเป็นครั้งที่สาม จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มอันสงบเยือกเย็นออกมา ”ขันทีเกา ทุกคนมาถึงกันแล้วใช่หรือไม่ เราไม่ควรขาดใครไปแม้แต่คนเดียว พระอาจารย์กล่าวว่าระยะนี้อำนาจของสิ่งอัปมงคลที่แฝงอยู่ในอากาศภายในวังหลวงนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก หากพวกเขาไม่ได้ทำการปัดเป่าวิญญาณร้ายให้กับบรรดาพระสนมและองค์ชายทั้งหลายละก็ พวกเขากลัวว่าบุคคลเหล่านั้นจะไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้”
“ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ฝ่าบาททรงรับสั่งด้วยตัวเอง ดังนั้นพระสนมและองค์ชายทุกพระองค์ย่อมมาพร้อมหน้ากันอย่างแน่นอน” ขันทีซุนตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ”แต่ยังพอมีเวลาก่อนที่พิธีจะเริ่ม รออีกไม่นานวังหลวงจะต้องมีชีวิตชีวาขึ้นแน่ขอรับ”
ผู้อาวุโสอู่พยักหน้า ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้น จากนั้นจึงหลุบตาลงและคิดกับตัวเองในใจอย่างชั่วร้าย
เฮ่อเหลียนเวยเวย ต่อให้เจ้าจะเก่งกาจเพียงใด แต่เห็นทีคราวนี้เจ้าคงทำได้เพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่อย่างสงบเสงี่ยมและทนทุกข์ทรมานกับเสียงสวดมนต์ตลอดเวลาครึ่งชั่วยามเท่านั้น
หึ เจ้าจะต้องเผยธาตุแท้ออกมาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามแน่!
เสียงสวดมนต์ชำระล้างเริ่มดังขึ้นทีละน้อย ท่วงทำนองที่เน้นถึงความสงบเยือกเย็นนั้นทำให้มันฟังดูแตกต่างไปจากปกติ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล่นกับเครื่องประดับหยกที่ห้อยอยู่ที่เอวของตัวเอง ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ท้องฟ้ากระจ่างใสไร้เมฆนั้น ใบหน้าด้านข้างของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ”เจ้าตรวจสอบมาเรียบร้อยแล้วหรือ”
“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬพูดเสียงเบา ”มันเป็นความคิดของจวนผู้อาวุโสพ่ะย่ะค่ะ แต่…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว ”แต่อะไร”
“กระหม่อมไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะบุกจู่โจมได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ศีรษะของเงาทมิฬก้มลงต่ำ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าวังหลวงมีตำหนักมากมายนับไม่ถ้วน การบุกเข้ามาจึงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ประการใด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ”พวกเขาจะบุกจู่โจมอย่างไรน่ะรึ แน่นอนว่าต้องมีคนในคอยให้ความร่วมมือกับคนที่อยู่ข้างนอกอยู่แล้วน่ะสิ หากไม่ทำเช่นนั้นคงยากจะโน้มน้าวให้ฮ่องเต้เชื่อว่าข้าเป็นคนวางแผนก่อกบฏครั้งนี้ได้”
“เรื่องนี้…” เงาทมิฬไม่รู้จะว่าอย่างไร ตั้งแต่สมัยโบราณก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนทำร้ายลูกของตัวเอง แต่เรื่องนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในราชวงศ์
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผละมือออกจากเครื่องประดับหยกที่เล่นอยู่ จากนั้นจึงเคลื่อนสายตามองไปทางอื่นอย่างเงียบๆ กลิ่นอายจอมเผด็จการผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมปกคลุมไปทั่วร่างของเขา ”ตราบใดที่ประตูของตำหนักเจาหยางยังไม่แตก ไม่ว่าคนพวกนั้นจะใช้วิธีการใด พวกเจ้าก็ห้ามเปิดเผยตัวออกมาเด็ดขาด ปล่อยให้พวกมันสนุกกับการเข่นฆ่าไปเสีย ในเมื่อฮ่องเต้ไม่อยากให้ข้าเคลื่อนไหว เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องจริงจังกับการคุ้มกันฮ่องเต้มากนัก ฮ่องเต้สติเลอะเลือนมานานมากแล้ว นี่จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้เห็นเหตุการณ์นองเลือดนี้ด้วยตาตัวเอง เขาจะได้ตาสว่างเสียที”
หลังจากได้ฟังคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ในที่สุดเงาทมิฬก็เข้าใจจุดประสงค์ขององค์ชาย
ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในความมืด ไม่ว่าจะมีคนถูกสังหารไปมากมายเพียงใด แต่ความตายนั้นก็จะถูกนับว่าเป็นฝีมือของกบฏเหล่านั้น หรือไม่ก็เป็นฝีมือของหน่วยองครักษ์ของฮ่องเต้
พวกเขาย่อมไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้แต่น้อย
กว่ากบฏกลุ่มนั้นจะมาถึงประตูของตำหนักเจาหยาง พวกเขาก็คงอ่อนกำลังลงมากแล้ว
หลังจากนั้นพวกเขาจะปรากฏตัวขึ้น ลงมือสะสางเพียงเล็กน้อยก็จะสามารถกำจัดปัญหานี้ได้
แผนการขององค์ชายในครั้งนี้ช่างมากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม!
ผู้อาวุโสเหล่านั้นคงนึกไม่ถึงว่าองค์ชายจะคิดแผนการนี้ขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ!
นอกจากนั้น กองกำลังที่เขาส่งออกไปก็ยังเป็นหน่วยทหารรักษาการณ์อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอันสมควรอันใดให้คนอื่นสามารถลงโทษพวกเขาได้…
“ฝ่าบาทเพคะ!” ชิงจ้านวิ่งเข้ามาหาเขาแต่ไกลอย่างร้อนใจ นางลืมกระทั่งทำความเคารพเขาด้วยซ้ำ ”มีรับสั่งมาจากตำหนักเจาหยางให้ทุกคนที่อยู่ในวังหลัง รวมถึงองค์ชายและบรรดาพระชายาเข้าร่วมรับฟังการสวดมนต์จากพระอาจารย์ด้วยเพคะ พระชายาถูกพาตัวไปที่ตำหนักเจาหยางแล้ว แต่นางดูไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก หม่อมฉันกลัวว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล ดังนั้นจึงได้รีบมาแจ้งให้ฝ่าบาททราบโดยพลการเช่นนี้ ฝ่าบาท ได้โปรด…”
ชิงจ้านพูดยังไม่ทันจบ นางก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้าของตัวเองไป พอนางเงยหน้าขึ้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หายไปจากสายตาของนางเสียแล้ว
ใต้แขนเสื้อยาวที่ปลิวอยู่นั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำหมัดแน่นเข้าหากัน ดวงตาลึกล้ำราวกับบ่อน้ำที่นานทีปีหนจะเปี่ยมไปด้วยความโกรธนั้น ในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเย็นชาอันน่าหวาดกลัว
พวกมันกล้าดีอย่างไร!
ฟุ่บ!
ร่างสูงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่องไวราวกับเงา เขาปัดเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่ข้ารับใช้นำมาให้
แม้บนใบหน้าของเขาจะไม่มีอาการกระวนกระวาย แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับเรืองแสงวาบอย่างผิดปกติ
อะไรบางอย่างร่วงหล่นลงท่ามกลางความมืด เส้นผมที่ปรกหน้าของเขายาวพอที่จะปิดบังดวงตา และซุกซ่อนพลังปีศาจอันลึกล้ำนั้นให้พ้นไปจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้คนได้เป็นอย่างดี บนใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวของเขาเบ่งบานไปด้วยรอยยิ้มอันสง่างามทว่ากลับเต็มไปด้วยความกระหายเลือด…
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเหยื่อสุดรักสุดหวงของเขา เขาจะทำให้พวกมันทุกคนต้องนึกเสียใจที่ได้เกิดมา!
“ผู้อาวุโสหมิง ผู้อาวุโสหมิง ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า” ผู้อาวุโสอู่ขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน พร้อมกับมองสหายที่ตัวสั่นงันงกอยู่ข้างกาย
ผู้อาวุโสหมิงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุมความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในกระแสเลือดของตน เขาขยับแขนของตัวเองออกมาพร้อมกับซ่อนเล็บสีดำเอาไว้ภายใต้แขนเสื้อยาว และแสร้งหัวเราะขึ้น ”ไม่มีอะไร ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก ดังนั้นจึงต้านทานแรงลมไม่ค่อยไหวก็เท่านั้น” ความปั่นป่วนที่เขาสัมผัสได้เมื่อครู่นี้คืออะไรกัน
ใบหน้าของผู้อาวุโสหมิงดูกระวนกระวายยิ่งนักในยามที่เขาหลุบตาลงเพื่อซ่อนแสงสีแดงที่อยู่ในดวงตา
ผู้อาวุโสอู่ไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ เขาจึงตอบเพียงว่า ”ผู้อาวุโสหมิงรักษาตัวด้วย” ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันไปมองผู้อาวุโสจ้าน
ผู้อาวุโสจ้านพยักหน้าให้เขาอย่างระมัดระวัง เป็นสัญญาณบอกให้เขามองไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เพิ่งเดินเข้ามา
ผู้อาวุโสอู่ยิ้ม เสียงของเขาไม่ได้ดังมากนัก แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้ทุกคนสามารถได้ยินเขาได้ ”เหตุใดพระชายาสามจึงดูเหมือนไม่ยินยอมมาที่ท้องพระโรงล่ะพ่ะย่ะค่ะ ท่านมีอะไรปิดบังพระอาจารย์ชื่อดังหรือ”
“เจ้า หุบปากซะ!” ยังไม่ทันที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทันได้อ้าปาก เจ้าเจ็ดก็ตอบผู้อาวุโสอู่อย่างเย็นชา
ความดุดันที่มีมาแต่กำเนิดนั้นทำให้ผู้อาวุโสอู่เผลอก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ข้าจะปิดบังสิ่งใดจากพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านี้ได้หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยจับมือเจ้าเจ็ดด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับถามขึ้นอย่างมีวาทศิลป์ว่า ”แต่ก็นับว่าแปลกทีเดียวที่ผู้อาวุโสอู่เลือกทำพิธีที่นี่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังหลวงช่วงนี้เกิดขึ้นที่ริมแม่น้ำ แต่ผู้อาวุโสอู่กลับไม่ได้นิมนต์พระอาจารย์ชื่อดังเหล่านี้ไปทำพิธีสวดมนต์ใกล้ๆ ริมฝั่งน้ำ แทนที่จะทำเช่นนั้น ท่านกลับบอกให้พวกเรามารวมกันที่ท้องพระโรงแทน ผู้อาวุโสอู่มีจุดประสงค์อันใดหรือเปล่าจึงได้ทำเช่นนี้”
ผู้อาวุโสอู่เก็บซ่อนความคิดของตัวเองเก่งทีเดียว แม้จะได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เสื้อคลุมสีขาวตัวยาวยังคงทำให้เขาดูบริสุทธิ์ยุติธรรมเหมือนอย่างเคย ”พระอาจารย์เป็นผู้แนะนำให้จัดพิธีสวดมนต์นี้ขึ้นในตำหนักเจาหยางด้วยตัวเอง การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราสามารถปัดเป่าเคราะห์ร้ายที่อาจติดมากับบรรดาพระสนมและองค์ชายทั้งหลายให้หมดไป รวมถึงป้องกันไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามาในวังหลังได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่สวดมนต์กับพระอาจารย์ชื่อดังเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่น่าประหลาดใจยิ่งนักที่พระชายาดูจะไม่เห็นด้วยกับการทำเช่นนี้อย่างมาก กระหม่อมถึงได้รู้สึกสงสัยขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าพระชายาจะปิดบังอะไรเอาไว้จริงๆ”