จวบจนถึงตอนนี้นางยังมิอาจรับรอยรักบนตัวมั่วเชียนเสวี่ยพวกนั้นที่เกิดจากอารมณ์รุนแรงเกินไปของหนิงเซ่าชิงได้ และมักคิดเสมอว่านั่นคือบทลงโทษ
เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เจตนารมณ์ของนางในคราแรก แต่กลับเหลือบมองนาง “ตกลงเจ้าเป็นคนรับใช้ของคุณหนูหรือคนรับใช้ของกูเหยียกันแน่”
“แน่นอนว่าเป็นคนของคุณหนู”
“แล้วยังจะพูดอะไรไร้สาระอีก!”
มั่วเชียนเสวี่ยปรายตามองทิศทางที่สืออู่หายไปเมื่อครู่ จึงเข้าใจชัดเจน
จากนั้นถอนหายใจอีกครั้ง แววตาสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ “ซูชี ข้าจะเล่านิทานให้เจ้าฟังสักเรื่อง ดีหรือไม่”
“เจ้าเล่าสิ ข้าจะฟัง”
ราวกับเจาะรูกระดาษ ซูชีก็ไม่ปลอมตัวแกล้งมั่วเชียนเสวี่ยอีก ก่อนจะขจัดความหงุดหงิดออกไป แล้วเก็บซ่อนความคิด เห็นได้ชัดว่าสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว
เขาแกว่งพัดเล็ก แต่ก็ยังคงเป็นคุณชายรูปงาม เพียงแต่ขาดความสุขุมสง่างามเฉกเช่นคราแรก
มั่วเชียนเสวี่ยไม่หันไปมองเขาอีก จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องที่เคยอ่านผ่านตาทางอินเตอร์เน็ตมาก่อนหน้านี้ให้ฟัง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีอารามแห่งหนึ่งนามว่าวัดหยวนอิน มีคนมาสักการะมากมายจนควันธูปโขมง บนขื่อหน้าวิหารมีแมงมุมชักใยอยู่
ปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่า ผ่านไปกว่าหนึ่งพันปี มันครอบครองคานนั่นอย่างอิสระ
แต่ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง ลมกรรโชกแรงได้พัดเอาหยาดน้ำค้างหยดหนึ่งลงบนใยแมงมุม
แมงมุมมองดูน้ำค้างและเห็นมันส่องแสงเป็นประกายสวยงามยิ่งนัก แล้วก็ตกหลุมรักทันที มันรู้สึกมีความสุขมาก มันคิดว่านี่เป็นวันที่มีความสุขที่สุดในรอบหนึ่งพันปี
ทันใดนั้น สายลมแรงก็ได้พัดเอาน้ำค้างจากมันไปอีกครั้ง
แมงมุมรู้สึกว่าสูญเสียบางสิ่งไปทันใด มันทั้งเหงาและโศกเศร้ามาก
ตั้งแต่นั้นมา มันก็ไม่มีความสุขอีกเลย
วันหนึ่ง เจ้าอาวาสมาที่วัดหยวนอิน ท่านเงยหน้ามองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นว่ามีแมงมุมอยู่บนคาน
เจ้าอาวาสจึงถามแมงมุมตัวนี้ว่า “ทำไมเจ้าถึงดูไม่มีความสุขล่ะ”
จากนั้นเจ้าแมงมุมก็เล่าเรื่องราวในใจของตนเองออกไป
เจ้าอาวาสเอ่ยถาม “สิ่งใดมีค่าที่สุดในโลก”
เจ้าแมงมุมครุ่นคิด แล้วตอบว่า “สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลกคือ ‘สิ่งที่มิได้ครอบครอง’ กับ ‘สิ่งที่สูญเสียไป’ ”
เจ้าอาวาสเห็นว่ามิสามารถชี้แนะมันได้ จึงพามันลงไปเกิดยังโลกมนุษย์…
เจ้าแมงมุมไปเกิดใหม่ในครอบครัวขุนนางครอบครัวหนึ่ง มีนามว่าจูเอ๋อร์[1]
ชั่วพริบตา จูเอ๋อร์อายุสิบหกปี และกลายเป็นหญิงสาวผู้งดงามมีเสน่ห์และเพียบพร้อม
ในวันนี้ จ้วงหยวนหลางกันลู่สอบติดจอหงวน จักรพรรดิตัดสินใจจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับเขาที่สวนอุทยาน
จากนั้นเชิญหญิงงามแรกแย้มมามากมาย รวมถึงจูเอ๋อร์ด้วย ทั้งองค์หญิงฉางเฟิงซึ่งเป็นองค์หญิงเล็กของจักรพรรดิก็ยังมาร่วมงานอีกด้วย
จ้วงหยวนหลางแสดงกวีเพลงอวดความสามารถด้านงานศิลป์ของตนในงานเลี้ยง สาวน้อยหลายคนจึงตกหลุมรักเขา
แต่ทว่าจูเอ๋อร์มิได้เดือดเนื้อร้อนใจหรือหึงหวงอันใด เพราะนางรู้ดีว่า นี่คือพรหมลิขิตที่เจ้าอาวาสประทานแก่นาง
หลายวันผ่านไป จูเอ๋อร์ตามผู้เป็นมารดาไปกราบไหว้พระที่วัด และบังเอิญกันลู่ก็มาวัดกับมารดาด้วยกันพอดี
หลังจากจุดธูปเทียนบูชาพระเสร็จสรรพ ผู้ใหญ่ทั้งสองก็เดินเคียงสนทนากันไป จูเอ๋อร์และกันลู่ก็เดินมาคุยที่ระเบียงทางเดิน จูเอ๋อร์มีความสุขอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ได้อยู่ใกล้กับคนที่ชอบแล้ว แต่ทว่ากันลู่ไม่ได้แสดงท่าทีว่าชื่นชอบนางเลยสักนิด
จูเอ๋อร์พูดกับกันลู่ว่า “เจ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นบนใยแมงมุมในวัดหยวนอินเมื่อสิบหกปีก่อนไม่ได้แล้วหรือ”
กันลู่ประหลาดใจและกล่าวว่า “แม่นางจูเอ๋อร์ เจ้างดงาม ใคร ๆ ต่างชื่นชอบ แต่จินตนาการของเจ้าช่างล้ำเลิศจริงๆ”
หลังจากพูดจบ เขาก็จากไปพร้อมกับมารดา
จูเอ๋อร์กลับบ้านไปพร้อมกับความสับสนไม่เข้าใจ
ไม่กี่วันต่อมา จักรพรรดิมีรับสั่งให้จ้วงหยวนหลางกันลู่อภิเษกกับองค์หญิงฉางเฟิง และให้จูเอ๋อร์อภิเษกกับองค์รัชทายาท
ข่าวนี้ทำให้จูเอ๋อร์รู้สึกราวกับสายฟ้าฟาด หลายวันมานี้ นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ จิตใจล่องลอย ชีวิตตกอยู่ในภัยแห่งความตาย
องค์รัชทายาทจื่อเฉ่าทราบเรื่อง ก็รีบมาหา “ในบรรดาหญิงงามที่สวนอุทยานวันนั้น ข้าตกหลุมรักเจ้า ข้าอ้อนวอนเสด็จพ่ออยู่นานกว่าพระองค์จะตกลง หากเจ้าตายแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอมีชิวิตอยู่อีกต่อไป”
ขณะพูดเขาก็หยิบกระบี่คู่กายขึ้นมาเตรียมจะปลิดชีวิตตนเอง
ทันใดนั้นเจ้าอาวาสก็มาถึง เขาพูดกับวิญญาณของจูเอ๋อร์ที่กำลังฟักตัวว่า “เจ้าแมงมุม เจ้าเคยคิดหรือไม่ น้ำค้าง (กันลู่[2]) ใครพาเจ้ามายังที่แห่งนี่เล่า เพราะสายลม (องค์หญิงฉางเฟิง[3]) พัดพามา สุดท้ายสายลมก็พัดพามันจากไป กันลู่เป็นขององค์หญิงฉางเฟิง เขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แทรกเข้ามาในชีวิตของเจ้าเท่านั้น ส่วนองค์รัชทายาทก็คือหญ้าต้นเล็กๆ หน้าประตูวัดหยวนอินในตอนนั้น เขามองเจ้ามาสามพันปี ตกหลุมรักเจ้ามาสามพันปี แต่เจ้ากลับไม่เคยก้มหน้ามองเขาเลยสักครั้ง เจ้าแมงมุม ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง สิ่งใดที่มีค่ามากที่สุดในโลก”
หลังจากที่แมงมุมได้ฟังความจริงเหล่านี้ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า “สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลกมิใช่ ‘สิ่งที่มิได้ครอบครอง’ กับ ‘สิ่งที่สูญเสียไป’ แต่คือความสุขที่สามารถจับต้องได้ในปัจจุบันต่างหาก”
หลังจากพูดจบ เจ้าอาวาสก็จากไป วิญญาณของจูเอ๋อร์ก็กลับคืนเข้าร่าง นางลืมตาขึ้น ก็เห็นองค์รัชทายาทจือเฉ่ากำลังฆ่าตัวตาย นางจึงรีบปัดกระบี่นั้นตกลงไป แล้วเข้าไปสวมกอดองค์รัชทายาทแน่นๆ…ในที่สุดนางก็หาความสุขของตนเองเจอแล้ว…
มั่วเชียนเสวี่ยเล่าด้วยอารมณ์ ซูชีได้ฟังแล้วก็เข้าถึงความรู้สึก
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าความคิดของทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องราวได้จบลงไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยหันหลังให้ซูชี ชี้แนะอย่างจริงใจ “ขอให้ถนอมคนที่อยู่ตรงหน้า ยามดอกไม้เบ่งบานให้รีบเด็ด”
ซูชีเงียบไปครู่หนึ่ง ก็เดินจากไป
เงาหลังของเขาช่างสง่างาม!
แน่นอนว่าเขารู้ความหมายที่นางต้องการจะสื่อ แล้วรู้ว่าคนตรงหน้าที่นางพูดถึงคือใคร
ซึ่งคนผู้นั้นไม่ใช่นางที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ แต่คือกูเสี่ยวซูที่วุ่นวายอยู่ตรงหน้าเขาทุกวันจนทำให้เขาปวดตาต่างหาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ หัวใจของซูชีจึงเจ็บปวดราวกับมีดกรีด
คนที่รัก ไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับตนเอง แต่ยังผลักใสตนเองให้คนอื่นอีก ไม่ว่าเป็นใครก็คงทนไม่ไหว…
แน่นอนนั่นคือยุทธวิธี หลังจากกลับไปแล้ว ซูชียิ่งคิดก็ยิ่งมหัศจรรย์ ช่วยเขาจากหายนะ นี่เป็นเพียงเรื่องย้อนหลัง
หลังจากซูชีไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยมองเงาหลังอันโดดเดี่ยวของเขานั้นไกลๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดใจ และน้ำตาไหลออกมาจนได้
นางยังตัดใจไม่ได้!
ครั้นชูอีและนางเห็นสืออู่และซูชีเดินไกลออกไป พวกเขาก็ออกมาจากความมืด
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้ยินความเคลื่อนไหว ก็กะพริบตาปริบๆ กลั้นน้ำตาที่กำลังคลอเบ้ากลับไป แล้วฝืนยิ้มออกมา
ชูอีหยิบเสื้อคลุมมาคลุมไหล่มั่วเชียนเสวี่ย ประคองมั่วเชียนเสวี่ยไปยังเรือนเสวี่ยหว่าน
จะให้คุณหนูใหญ่อยู่กับคนรับใช้นั่นในเรือนใหญ่ตลอดคงเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้เรือนเสวี่ยหว่านจะยังสร้างไม่แล้วเสร็จ แต่ก็ตกแต่งประมาณหนึ่งแล้ว เข้าไปอยู่เลยตอนนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
สืออู่ยังคงถือถ้วยชาในมือและยิ้มกล่าว “คุณหนู ท่านเล่าเรื่องนี้ได้อรรถรสอย่างยิ่ง ทำไมยามปกติไม่เล่าให้พวกเราฟังบ้าง”
หลังจากรวบรวมสติ มั่วเชียนเสวี่ยก็พูดด้วยความหมายลึกซึ้งเช่นกัน “สืออู่ เรื่องวันนี้ก็เล่าให้เจ้าฟังด้วยเช่นกัน เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด”
ชูอียิ้มรับ และกล่าวอย่างน่าสนใจ “ถูกต้อง คุณหนูพูดถูก ช่วงนี้ไม่ว่าสืออู่ทำอะไร จิตใจมักไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเลย..”
[1] จู แปลว่า แมงมุม
[2] กันลู่ ชื่อกับคำว่าน้ำค้าง
[3] เฟิง หมายถึงลม