ฮูหยินสองเดินออกมาจากเรือนหน่วนเก๋อ
ไท่ฮูหยินส่ายหน้าให้นางเบาๆ “นิสัยเก่าแก้ยาก พอเขากลับไป ฮูหยินสามก็คงร้องห่มร้องไห้นิดหน่อย เกรงว่าเขาก็คงจะเปลี่ยนใจเหมือนเดิม ข้าคิดว่า คำพูดของข้า เขาก็แค่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวากระมัง!”
ฮูหยินสองยิ้มแล้วนั่งลงข้างไท่ฮูหยิน พูดปลอบใจนาง “แต่อย่างน้อยท่านก็พูดแล้ว เขาจะฟังหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ
ฮูหยินสองยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ข้าได้ยินป้าตู้บอกว่า ฮองเฮามอบหยกหรูอี้ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ ได้บอกว่าจะนำมามอบให้เมื่อไรหรือไม่เจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินรำคาญเรื่องของครอบครัวคุณชายสามมากพอแล้วจึงไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “จะนำมามอบให้ในวันที่สิบห้าเดือนแปด” พูดจบก็มีสีหน้าผิดหวัง “นับเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์สุดท้ายที่เจินเจี่ยเอ๋อร์จะอยู่ฉลองที่จวนแล้ว”
“บุตรสาวโตขึ้นก็ต้องแต่งออกเรือน” ฮูหยินสองใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแตงชิ้นหนึ่งยื่นให้ไท่ฮูหยิน “ท่านดูข้าสิเจ้าคะ อยู่สุขสบายกว่าสกุลเดิมเสียอีก ท่านดูท่านสิเจ้าคะ ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง…เห็นได้ชัดว่าแต่งงานออกเรือนไปก็เป็นเรื่องที่ดี”
ไท่ฮูหยินได้ฟังแล้วก็ชอบใจ ยิ้มแล้วจับไหล่ฮูหยินสอง “ไปเถิด เราไปดูสินเดิมของเจินเจี่ยเอ๋อร์กัน”
ฮูหยินสองรีบช่วยไท่ฮูหยินสวมรองเท้า จากนั้นก็ประคองไท่ฮูหยินไปที่เรือนของสืออีเหนียง
“คุณชายสี่นำเงินสองหมื่นตำลึงให้สืออีเหนียงซื้อสินเดิม” ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองเดินอยู่บนทางเดิน มีจื่อหงและสาวใช้คนอื่นๆ เดินตามอยู่ไกลๆ “สืออีเหนียงมอบให้เหวินอี๋เหนียงทั้งหมด” พูดถึงตรงนี้ ไท่ฮูหยินก็ยิ้มอย่างพอใจ “เจ้าก็รู้ว่าเหวินอี๋เหนียงคนนี้ มีเรื่องอันใดก็กลัวว่าตัวเองจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง รับเงินมาจากสืออีเหนียง นางไม่เพียงแต่พยายามช่วยเจินจี่ยเอ๋อร์จัดการสินเดิมอย่างสุดความสามารถ แล้วยังกลัวจะมีใครบอกว่าสินเดิมของเจินจี่ยเอ๋อร์มีที่ติ นางเป็นคนชื่นชอบเงิน เขียนบัญชีชัดเจนยังไม่พอ แล้วยังเพิ่มเงินให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่น้อย ข้าคิดว่าสืออีเหนียงไม่เลวเลยทีเดียว รู้จักใช้งานคน!”
ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนขึ้นอยู่กับมนุษย์ ไม่เช่นนั้นจะมีนิทานเรื่อง ‘ชายโง่ย้ายภูเขา’ ได้อย่างไรเจ้าคะ รู้จักใช้คน ไม่มีความสามารถอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว”
พวกนางพูดคุยพลางหัวเราะ พากันเดินเข้าไปในลานของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงได้รับรายงานแล้ว นางเดินออกมาต้อนรับ
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วมองไปรอบๆ “จิ่นเกอเล่า!”
เพิ่งจะพูดจบ จิ่นเกอที่สวมเสื้อกั๊กก็วิ่งออกมา “ท่านย่าขอรับ ข้าอยากทานน้ำแข็ง!” เขาพุ่งเข้าไปในอ้อนแขนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินหัวเราะ จับมือจิ่นเกอแล้วพูดว่า “ใครเป็นบ่าวรับใช้ที่นี่ เหตุใดถึงปล่อยให้เขาสวมเสื้อกั๊ก”
หงเหวินและอาจินที่รีบเดินตามจิ่นเกอออกมาก็ยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น
ไท่ฮูหยินไม่ได้เค้นถาม นางโน้มตัวลงถามจินเกอ “เจ้าอยากทานน้ำแข็งอะไร”
จิ่นเกอไม่พูดอะไร เขากอดไท่ฮูหยินแน่นแล้วมองไปที่สืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินจึงถามสืออีเหนียง “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
สืออีเหนียงมองดูท่าทีของจิ่นเกอ พลันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านไม่ต้องสนใจเขาเจ้าค่ะ เขาบอกว่าอากาศร้อนเลยบอกให้อาจินนำน้ำแข็งดับร้อนในเรือนมาทาน!”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็อุทาน “ไอ๊หยา” แล้วพูดขึ้นว่า “เช่นนี้ไม่ได้ จะท้องเสียเอาได้” จากนั้นก็ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่า พรุ่งนี้พาจิ่นเกอไปหลบร้อนที่เรือนนอกที่ซีซานเถิด อากาศร้อนเกินไปจริงๆ!”
ปีนี้ไม่ได้ร้อนไปกว่าปีก่อนๆ และปีก่อนๆ ไท่ฮูหยินก็ไม่เคยบอกให้ไปหลบร้อนที่เรือนนอกที่ซีซาน เห็นได้ชัดว่านางเอ็นดูจิ่นเกอ
สืออีเหนียงมองดูดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่เจ้าคะ สองสามวันนี้อากาศร้อน เรานั่งอยู่ในเรือนก็ยังเหงื่อออก ยิ่งไปว่านั้น หากต้องออกเดินทางไปเรือนนอกที่ซีซาน ข้าคิดว่าไม่สู้รอให้อากาศเย็นกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วค่อยไปก็ไม่สาย” จากนั้นก็เรียกจิ่นเกอ “คำนับท่านป้าสองเร็วเข้า”
จิ่นเกอเห็นมารดาทำหน้าเคร่งขรึม จึงเอ่ยเรียก “ท่านป้าสอง” อย่างกลัวๆ
ฮูหยินสองยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ นางเกลี้ยกล่อมไท่ฮูหยิน “น้องสะใภ้สี่พูดถูกมีเหตุผล แค่เห็นพระอาทิตย์แบบนี้ก็ไม่อยากออกไปไหนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอายุมากแล้วจะทนลำบากนั่งรถม้าได้เช่นไรเจ้าคะ!”
ถึงแม้ว่าจิ่นเกอจะไม่รู้ว่าเรือนนอกที่ซีซานมีอะไรสนุก แต่เขามองสีหน้าคนออก รู้ว่าไท่ฮูหยินกำลังเอาใจตัวเอง ส่วนท่านแม่และท่านป้าสองกลับยืนอยู่อีกฝั่ง เขาก็ดึงเสื้อของไท่ฮูหยินทันที
ไท่ฮูหยินก้มหน้าลง มองดูดวงตาสีดำของเขาอย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความออดอ้อนออเซาะ
หัวใจที่กำลังถูกโน้มน้าวของไท่ฮูหยินพลันสั่นคลอนอีกครั้ง นางพูดกับสืออีเหนียงและฮูหยินสอง “ถ้ารอให้อากาศเย็นลงแล้วยังจะหลบร้อนทำไม หากจะไปก็ต้องไปช่วงนี้”
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สืออีเหนียงไม่กล้าพูดอะไร นางจึงเลี่ยงที่จะไม่พูด ยิ้มแล้วเชิญไท่ฮูหยินเข้าไปนั่งข้างใน “…เย็นสบายหน่อยเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพาจิ่นเกอเข้าไปข้างใน
จิ่นเกอเห็นว่าท่านแม่ไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ สายตาของเขาก็เป็นประกาย จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างกับไท่ฮูหยินอย่างมีความสุข
หลังจากดื่มชาแล้ว ไท่ฮูหยินก็พูดถึงเจตนาที่มา จากนั้นก็พากันไปดูสินเดิมของเจินเจี่ยเอ๋อร์
มองดูกองสิ่งของที่อยู่ในห้องสามห้อง ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างพึงพอใจ “ยามที่หยกหรูอี้ของฮองเฮามาถึงก็สมบูรณ์แบบแล้ว” จากนั้นก็ถามถึงสวีลิ่งอี๋ “…เขาทำอะไรอยู่”
สืออีเหนียงยังไม่ทันได้ตอบกลับ จิ่นเกอก็ตะโกนเสียงดัง “ท่านพ่อ กำลังวาดภาพ!”
ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองตกใจ
สืออีเหนียงเริ่มรู้สึกเสียใจที่พาจิ่นเกอเข้ามาด้วย
เดือนหก สวีลิ่งอี๋เริ่มวาดภาพให้จิ่นเกอแล้ว สมัยโบราณมีคำพูดที่ว่า ‘อุ้มหลานชายแต่ไม่อุ้มบุตรชาย’ ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองรู้เช่นนี้ ไม่รู้ว่าพวกนางจะคิดอย่างไร!
นางรีบยิ้มแล้วพูดว่า “มีเถ้าแก่ใหญ่ของร้านค้าเข้ามาในเมืองหลวงล่วงหน้า ช่วงนี้ท่านโหวกำลังยุ่งอยู่กับการพบปะพวกเขาเจ้าค่ะ”
เมื่อคุณชายสี่อารมณ์ไม่ดี เขามักจะชอบไปวาดรูปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางกลัวว่าตนจะเป็นกังวล จึงปิดบังตัวเองเช่นนนั้นหรือ?
ไท่ฮูหยินท่าทางนิ่งสงบ นางลูบหัวจิ่นเกอเบาๆ ด้วยความรักและเอ็นดู จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ท่านพ่อของเจ้ากำลังวาดภาพอย่างนั้นหรือ”
จิ่นเกอรู้ว่าท่านพ่อกำลังวาดภาพให้ตัวเอง บางครั้งยังอุ้มเขานั่งบนตัก หยิบพู่กันให้เขาวาดอีกด้วย สนุกสนานเป็นอย่างมาก
ได้ยินท่านย่าถามเช่นนี้ เขาก็ทำสีหน้าพอใจแล้วจับมือไท่ฮูหยิน “วาดภาพขอรับ!”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วไปที่ห้องหนังสือกับจิ่นเกอ
จิ่นเกอปล่อยมือไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนเตียงเตาข้างหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ดึงภาพวาดสองสามภาพใต้โต๊ะเตียงเตามาให้ไท่ฮูหยินดู “ท่านพ่อวาด ของข้าขอรับ!”
ไท่ฮูหยินแปลกใจ รับมาดูแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
“อี๋เจิน เจ้าดูสิ!”
ฮูหยินสองรับภาพวาดมาดูแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าท่านโหวยังมีเวลาวาดภาพพวกนี้นะเจ้าคะ!”
ไม่รู้ว่าไท่ฮูหยินและฮูหยินสองจะล้อเลียนสวีลิ่งอี๋เรื่องนี้หรือไม่
นึกถึงทุกครั้งที่สวีลิ่งอี๋วาดภาพพวกนี้ให้จิ่นเกอ เขามักจะไล่บ่าวรับใช้ในห้องออกไปจนหมด…
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะข้าขอร้องท่านโหว ท่านโหวเลยปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ เขาจึงช่วยวาดภาพพวกนี้ให้จิ่นเกอ”
ฮูหยินสองวางภาพวาดในมือลงบนโต๊ะเตียงเตาแล้วยิ้มอย่างแผ่วเบา ก็เห็นไท่ฮูหยินอุ้มจิ่นเกอมาไว้ในอ้อมแขน
“ท่านพ่อของเจ้าเคยเป็นแม่ทัพทหารกว่าพันนาย เกรียงไกรและน่ายำเกรง เป็นคนที่แค่ขมวดคิ้ว พื้นดินยังสั่นคลอน” ไท่ฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงที่เนิ่บนาบ “แต่ตอนนี้กลับติดอยู่ที่จวน พบปะกับบรรดาเถ้าแก่” พูดจบก็หัวเราะ “โชคดีที่มีเจ้า ไม่เช่นนั้น ท่านพ่อของเจ้าคงจะลำบาก” จากนั้นก็หอมแก้มจิ่นเกอ “จิ่นเกอของเราช่างมีวาสนาเสียจริง!” นางอุ้มจิ่นเกอลงจากเตียงเตา จับมือเขาเดินออกไปข้างนอก “เราไปทานต้มถั่วเขียวกันดีกว่า”
มองดูไท่ฮูหยินที่มีท่าทีสง่างามและจิ่นเกอที่กระโดดโลดเต้นไปมา สืออีเหนียงแอบรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก นางตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วมองไปที่ฮูหยินสอง บอกให้นางกลับไปนั่งในห้องด้วยกัน ดังนั้นนางจึงไม่ทันสังเกตว่าสายตาของฮูหยินสองเอาแต่จับจ้องภาพวาดสองสามภาพที่วางอยู่บนโต๊ะเตียงเตาอยู่ตลอด
*****
คุณชายสามกลับมาที่เรือน เห็นฮูหยินสามนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง ถือสมุดบัญชีอยู่ในมือแล้วพึมพำอะไรเบาๆ สะใภ้กานเหล่าเฉวียนที่นั่งนับลูกคิดอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงเตา ซิ่งเจียวยืนพัดให้ฮูหยินสามอยู่ข้างๆ
เห็นเขาเข้ามา ซิ่งเจียวก็รีบรับใช้ฮูหยินสามลงจากเตียงเตา
“ท่านแม่เรียกท่านไปหาทำไมหรือ”
ช่วงนี้ เรื่องทุกอย่างไม่ค่อยราบรื่น ฮูหยินสามรู้สึกไม่พอใจ
คุณชายสามพูดว่า “ไม่มีอะไร” ด้วยความเคยชิน จากนั้นก็นึกถึงคำพูดของไท่ฮูหยินขึ้นมา พลันรู้สึกอึดอัดใจ จากนั้นก็ถามฮูหยินสามราวกับกำลังปกปิดอะไรอยู่ “เจ้ากำลังทำอะไร”
ฮูหยินสามรู้ว่าสามีตัวเองกำลังเปลี่ยนเรื่อง แต่อยู่ต่อหน้าสะใภ้กานเหล่าเฉวียน นางไม่อยากถามอะไรไปมากกว่านี้ จึงพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้ากำลังดูรายการสินเดิมของสกุลจิน นับจำนวนสินเดิมของสกุลจินอยู่เจ้าค่ะ!”
ไม่ว่าจะมีสินเดิมเท่าไร แต่ก็ไม่มีทางมากกว่าสกุลฟังแน่นอน!
นับไปนับมาต่อนหน้าบ่าวรับใช้เช่นนี้ ทำให้นางดูไม่ดี
ท่านแม่พูดถูก สองสามปีที่ผ่านมาตัวเองเอาแต่คิดว่าภรรยาลำบาก แต่กลับไม่เคยสนใจว่าที่นางทำอยู่นั้นผิดหรือว่าถูก
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขายืดตัวขึ้นแล้วสะบัดมือให้สะใภ้กานเหล่าเฉวียน “พวกเจ้าออกไปเถิด! ข้ามีเรื่องจะคุยกับฮูหยิน!”
สะใภ้กานเหล่าเฉวียนและซิ่งเจียวรีบย่อเข่าคำนับแล้วเดินออกไป
ฮูหยินสามทำสีหน้าไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร!” คุณชายสามเดินไปนั่งบนเตียงเตาแล้วพูดว่า “คุณหนูสกุลจินยังไม่ได้แต่งเข้ามาเลย เจ้านับสินเดิมของนางเช่นนี้ หากสินเดิมมีมากก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากสินเดิมมีน้อย คนพวกนั้นเอาไปวิพากษ์วิจารณ์ จะให้เจี่ยเกอเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หากเจ้าอยากรู้จริงๆ เราสองคนปิดประตูนับกันเองก็ได้!”
ฮูหยินสามได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงก่ำ พูดพึมพำเบาๆ แต่ก็คิดว่าตัวเองทำผิดจริงๆ จึงไม่ได้ตอบโต้อะไร
คุณชายสามเห็นแล้วก็ประหลาดใจ คิดว่าคำพูดของไท่ฮูหยินนั้นมีเหตุผล
เขากระแอมเบาๆ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ไท่ฮูหยินให้ครอบครัวคุณชายสี่เป็นคนเก็บเงินของขวัญงานแต่งของเจี่นเกอให้ฮูหยินสามฟัง “…ข้าคิดว่าท่านแม่พูดมีเหตุผล เช่นนั้นเราให้ฝ่ายรายงานในจวนเป็นคนจัดการเรื่องเงินของขวัญงานแต่งเจี่นเกอเถิด คนที่ส่งของขวัญพวกนั้นมาเห็นเช่นนี้ก็จะได้รู้ว่าเงินของขวัญพวกนั้นไปอยู่ที่ไหน ถึงตอนนั้น หากเราไม่คืนของขวัญ ก็ถือว่าไม่ผิดอะไร!”
ฮูหยินสามได้ยินแล้วก็แอบครุ่นคิดในใจ จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นเราก็ให้คนของฝ่ายรายงานช่วยดูแลเงินของขวัญงานแต่งเถิด!”
คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่กังวลมาตั้งหลายวันจะแก้ไขได้อย่างง่ายดายแบบนี้
คุณชายสามอดหัวเราะไม่ได้