“ข้าหาได้สนใจในสิ่งที่เจ้าคาดเดาไม่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันหน้าไปมองร่างเล็กๆ ที่อยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่คาดไม่ถึงว่าทันใดนั้นดวงตาดำทะมึนและน้ำเสียงของเขาจะดูผ่อนคลายลง เขาปล่อยมือออกจากผู้อาวุโสอู่ แล้วจึงจัดเสื้อคลุมของตัวเองอย่างช้าๆ ”แต่ในเมื่อพระชายาตกลงสัญญากับเจ้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะรอดูว่าเรื่องไร้สาระอย่างการถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงที่เจ้าว่านั้นเป็นอย่างไร”
ไร้สาระหรือ
ผู้อาวุโสอู่ยกมือขึ้นจับคอและไอออกมาอย่างแรงพลางคิดในใจอย่างชั่วร้ายว่า รอจนกว่าท่านจะได้เห็นปีศาจที่ปรากฏขึ้นด้านหลังเฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนเถอะ แล้วท่านจะไม่มีทางคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องไร้สาระอย่างแน่นอน!
“ไปบอกให้บรรดาพระอาจารย์ชื่อดังเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น”
“ขอรับ!”
เพียงชั่วพริบตาเดียว เสียงสวดมนต์ที่ดังก้องอยู่ในท้องพระโรงก็พลันดังขึ้นอีกเท่าตัว!
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเคลื่อนไหวขณะที่จับมือของเจ้าเจ็ดเอาไว้ แต่นางก็ยังคงนั่งตัวตรงอยู่ในที่ของตน
ผู้อาวุโสอู่มองแผ่นหลังที่ตั้งตรงของนาง และเหยียดยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ เขาอยากเห็นนักว่านางจะทนได้นานเพียงใด!
นอกจากนั้น มันก็ถึงเวลาแล้วที่บุตรแห่งสวรรค์อย่างองค์ชายสามที่ยืนอยู่ข้างเขาได้รู้ว่าการถูกความจริงตบหน้านั้นเป็นอย่างไร!
อย่างไรเขาก็ยังเป็นถึงผู้อาวุโส
แต่องค์ชายสามกลับไม่คิดที่จะไว้หน้าเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
รอดูก่อนเถอะ หลังจากจัดการเฮ่อเหลียนเวยเวยได้เมื่อใด คนถัดไปที่เขาจะจัดการก็คือไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!
“องค์ชายตั้งใจดูให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสอู่บอกด้วยรอยยิ้ม เขาแสร้งพูดราวกับว่าตัวเองเป็นห่วงไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”โดยปกติแล้วคนที่ถูกวิญญาณร้ายครอบครองวิญญาณอยู่จะมีเหงื่อออกมาก และมีเงาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ เราไม่สามารถจับเงานั้นได้ แต่เราสามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่า องค์ชายคงไม่อยากเสียสมาธิจนพลาดฉากอันน่าสนใจนั้นไปแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองเขา
สายตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง!
มันเย็นยะเยือกจนสามารถทำให้หนังศีรษะของผู้อาวุโสอู่ชาได้ด้วยการมองเพียงแค่ครั้งเดียว และในเวลาสั้นๆ นั้น เขาก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาเบาๆ ”ถ้ามันไม่มีอะไรน่าสนใจ ข้าจะเอาศีรษะของผู้อาวุโสอู่มาเป็นค่าชดเชย”
มันเป็นแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่คำพูดนั้นของเขาก็สามารถทำให้อุณหภูมิในท้องพระโรงลดลงได้
ผู้อาวุโสอู่หรี่ตาลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต่อให้คนที่ขึ้นเป็นฮ่องเต้จะเป็นใคร
ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่จากจวนผู้อาวุโสอย่างพวกเขาก็ยังได้รับอำนาจและสิทธิที่ผู้อื่นไม่มีวันได้รับ รวมถึงยังได้รับความเคารพจากประชาชนทั่วเมืองอีกด้วย
จะมีก็แต่องค์ชายสามผู้นี้เพียงคนเดียวที่มีภูมิต้านทานต่อทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งของพวกเขา ชายคนนี้จะทำลายทุกสิ่งที่พวกเขามีในไม่ช้าก็เร็ว
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ลงไปในวันนี้!
น่าจะใกล้ได้เวลาแล้ว…
ผู้อาวุโสอู่เดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยเมื่อเขาเห็นเหงื่อเย็นๆ ที่อยู่บนหน้าผากของนาง รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเขาเหยียดกว้างขึ้นอีก ”พระชายา ท่านอย่าฝืนตัวเองเลยพ่ะย่ะค่ะ นี่ยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเลยด้วยซ้ำ หากท่านทนไม่ไหวแล้วก็สารภาพออกมาเถิด ไม่ว่าท่านจะทำอย่างไร สุดท้ายก็ย่อมถูกลงโทษอยู่ดี ดังนั้นทำไมถึงไม่เลือกทำให้ตัวเองได้รับโทษน้อยลงล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าดูเหมือนคนที่กำลังฝืนตัวเองอยู่หรือ ผู้อาวุโสอู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วบีบมือของเจ้าเจ็ด ”ข้าแค่ได้ยินเสียงสวดมนต์และคิดขึ้นมาได้เท่านั้นว่าข้าควรใช้โอกาสนี้สวดมนต์ขอพรให้ฝ่าบาทมีสุขภาพดี ที่ข้าเหงื่อออกก็เพราะการสวดมนต์ภาวนา แต่ผู้อาวุโสอู่กลับพูดสร้างเรื่องขึ้นมา”
“หึ หวังว่าพระชายาจะเหงื่อออกเพราะสิ่งที่พูดเมื่อครู่จริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมหวังว่าพระชายาจะยอมอยู่จนกระทั่งเสร็จพิธี เพราะพิธีสวดมนต์จากเหล่าพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านี้คงไม่จบลงง่ายๆ หากยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าพระชายาอาจจะไม่สามารถทนได้…” ผู้อาวุโสอู่ยิ้มกว้าง เขายืนขึ้นแล้วบอกให้เพิ่มระดับเสียงสวดมนต์นั้นขึ้นอีก
ในใจนั้น เขามั่นใจว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคงอยู่ในสภาพจนปัญญา ต่อให้นางแสร้งทำเป็นเข้มแข็งไปก็ไร้ประโยชน์
แต่!
เมื่อเวลาผ่านไป
นอกจากเหงื่อแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้แสดงอาการอื่นออกมาอีก!
เรื่องนี้ทำให้ผู้อาวุโสอู่เริ่มไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับพระอาจารย์เหล่านั้น
หยวนหมิงสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง และหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ”แม่นาง เจ้าช่างฉลาดเสียจริง ที่คิดวิธีการนี้ขึ้นมาได้ ข้าว่าตาแก่นั่นคงนึกไม่ถึงแน่ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้ายังสามารถนั่งเฉยได้ถึงเพียงนี้”
“ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาคาดไม่ถึง” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างเย็นชา ”ข้าเคยคิดจะติดสินบทพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากคิดดูให้ดีแล้ว มันคงจะอันตรายเกินไป เพราะในจำนวนนั้นอาจจะมีลูกน้องของพวกเขาแฝงตัวอยู่ก็ได้ ถ้าข้าจ่ายเงินให้คนพวกนั้น มันจะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวข้า และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เลือกทำอย่างนั้นเหมือนกัน นอกจากนั้น เจ้ากับเสี่ยวไป๋ก็บอกเองว่าเจ้าเจ็ดแข็งแกร่งกว่ากิเลนอัคคี ดังนั้นหากมีเขาอยู่ใกล้ๆ เขาย่อมสามารถต้านไม่ให้บทสวดจากพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นมาถึงข้าได้อย่างแน่นอน ในเมื่อเขาต้านมันได้ เราก็ควรนำเขามาใช้ให้เป็นประโยชน์ อีกอย่างเจ้าเจ็ดก็ไม่ได้ดูน่าสงสัยเท่ากิเลนอัคคีด้วย”
เสี่ยวไป๋พูดต่อจากเฮ่อเหลียนเวยเวย น้ำเสียงของมันฟังดูเย็นชา ”ถ้าเจ้าเจ็ดคือ ’มัน’ จริงๆ เช่นนั้น ’มัน’ ย่อมไม่ใช่เล่นๆ แน่”
“ ’มัน’ ที่พวกเจ้าพูดถึงคือตัวอะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”สรุปแล้วพวกเจ้าคิดว่าเจ้าเจ็ดเป็นสัตว์อสูรตัวใดกันแน่”
เด็กชายตัวน้อยหูกระดิกเมื่อเขาได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยเรียกชื่อตัวเอง ทีแรกเขาขมวดคิ้วด้วยความสับสนเพราะไม่แน่ใจว่าทำไมชื่อของตัวเองถึงถูกพูดถึง แต่หลังจากนั้นเขาก็ดูเหมือนจะคิดอะไรออก ใบหน้าเล็กๆ ราวกับเสือตัวน้อยนั้นหันมามองทางนาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางทรงอำนาจว่า ”พี่สะใภ้สาม ท่านอยากกินซาลาเปาไส้ถั่วไหมขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: …ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าเจ็ดก็ยังคิดถึงแต่เรื่องกินอยู่ดี
“พี่สะใภ้สาม ท่านไม่ต้องอายนะขอรับ ถ้าท่านอยากกินก็บอกข้ามาได้เลย ข้าเอาซาลาเปาไส้ถั่วมาเยอะแยะเลยขอรับ!” เด็กชายตัวน้อยบอกพร้อมกับทุบหน้าอกตัวเอง
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้นเล็กน้อย เด็กชายตัวเล็กแค่นี้ แต่กลับสามารถแอบหยิบซาลาเปาไส้ถั่วทุกลูกจากห้องเครื่องมาซ่อนไว้กับตัวได้
“พี่สะใภ้สามไม่กิน เจ้ากินแทนก็แล้วกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม และลูบศีรษะของเขา นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มที่ฝ่ามือ ”เจ้าเจ็ด ใกล้ถึงเวลาที่เจ้าต้องโกนหัวแล้วมิใช่หรือ”
เด็กชายตัวน้อยหยุดกินซาลาเปาไส้ถั่ว ดวงตาราวกับเสือของเขาเบิกกว้าง ”ข้าไม่โกนขอรับ”
“เจ้าจะไม่โกนได้อย่างไร ท่านเจ้าสำนักจะไม่ว่าเอาหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ลืมว่าคนที่อยู่กับเขาเข้มงวดเพียงใด
เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้า ”พี่สามพาข้ากลับมา ดังนั้นข้าไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของท่านเจ้าสำนักอีกต่อไปแล้วขอรับ อันที่จริง ข้ารู้ว่าหลังจากที่ข้าจากมา ตาลุงพวกนั้นในสำนักไท่ไป๋ที่เคยสู้กับข้าจะต้องคิดถึงข้ามากแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: …เจ้าคิดเองเออเองน่ะสิ! คนพวกนั้นคงพากันจุดพลุฉลองให้กับการที่เจ้าออกมาจากสำนักมากกว่า!
ระหว่างที่หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้น ใบหน้าของผู้อาวุโสอู่ก็ยิ่งคล้ำขึ้นเรื่อยๆ!
มันเป็นไปได้อย่างไร
มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้!
ป่านนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยควรจะกระวนกระวายและข่วนหน้าตาตัวเองไปแล้วมิใช่หรือ
ทำไมนางถึงยังดูเป็นปกติอยู่เลย!
ไม่จริง!
มันผิดพลาดตรงไหนกัน
พระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นสวดมนต์ผิดบทหรือ
เป็นไปไม่ได้ เขาตรวจดูบทสวดพวกนั้นมากับมือด้วยซ้ำ
นอกจากนั้นบรรดาพระอาจารย์ชื่อดังที่เข้ามาในวังหลวงวันนี้ก็ยังเป็นคนของจวนผู้อาวุโสอีกด้วย ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
แต่ทำไมเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงไม่มีอาการผิดปกติเลย
ผู้อาวุโสอู่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีกับเรื่องนี้อยู่ภายในใจ…