กับดักของความอ่อนโยน ก็คือการตกลงไปท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว และไม่รู้ตัวเลยสักนิด…
ศาสตราจารย์อันคุ้นเคยกับการมีเสี่ยวปามารอ
เสี่ยวปาคุ้นเคยกับการกลับมาของศาสตราจารย์อัน
พวกเขาเปรียบเสมือนคู่หูรู้ใจ พวกเขาสามารถเข้าใจความคิดของกันและกันได้ในทันที
หากถามว่ามีข้อบกพร่องใดในความสมบูรณ์แบบนี้ คงจะเป็นเสี่ยวปาไม่ยอมวิ่งเก็บลูกบอลสักที
สุนัขของคนอื่น จะวิ่งไปเก็บลูกบอลที่เจ้าของโยนไปกลับมา
นี่เป็นวิธีการเล่นและโต้ตอบซึ่งกันและกัน
แต่เสี่ยวปาไม่ได้สนใจกีฬาอย่างการวิ่งเก็บลูกบอล แต่มันชอบเล่นกับศาสตราจารย์อันมากกว่าเล่นกับลูกบอลกลมๆ ที่กลิ้งไปมาได้
เป็นเช่นนี้เอง
วันเวลาผ่านไป
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ บนสันจมูกของศาสตราจารย์อันมีแว่นตาสวมไว้ ผมเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา เขาไม่สามารถเล่นสนุกกับเสี่ยวปาได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว
เสี่ยวปากลับยังคงมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม
มันยังคงไปส่งศาสตราจารย์อันขึ้นรถไฟทุกวัน และยังคงเฝ้ารอการกลับมาอยู่ที่มุมหนึ่งของสถานีรถไฟ ราวกับเป็นคำสัญญาที่ให้ไว้แก่กัน
ในวันนี้
ศาสตราจารย์อันไปยังสถานีรถไฟเพื่อเดินทางไปทำงานตามปกติ แต่กลับพบว่าเสี่ยวปากำลังคาบลูกบอลที่ไม่ชอบเล่น เดินตามเขาไปทีละก้าว
“แกจะเล่น?”
ศาสตราจารย์อันรู้สึกประหลาดใจเหลือเกิน เขาลองปาลูกบอลออกไปไม่ไกลนัก และเห็นว่าเสี่ยวปาไปคาบลูกบอลกลับมา
“ทำได้ยอดเยี่ยม!”
ศาสตราจารย์อันร้องออกมาราวกับย้อนวัยไปหลายปี หยิบลูกบอลขึ้นมาอีกครั้งและปาไปไกลกว่าเดิม และเสี่ยวปาก็ไปคาบกลับมาอย่างไม่ลังเล
ศาสตราจารย์อันดีใจเหลือกิน
ในวันนี้
จู่ๆ เสี่ยวปาซึ่งไม่ชอบเก็บลูกบอลก็เล่นเก็บลูกบอลกับตน ศาสตราจารย์อันพลาดรถไฟขบวนแรกไป เพราะดื่มด่ำอยู่ในความสุขที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
ผู้คนที่สถานีรถไฟเห็นภาพนี้ ก็ผุดรอยยิ้มออกมา
ศาสตราจารย์อันและเสี่ยวปาเล่นสนุกกันอยู่นาน ก่อนจะเดินทางไปทำงานอย่างไม่เต็มใจนัก
ระหว่างทางไปทำงาน เขาบีบลูกบอลหนังสีเหลืองในมือแน่น
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดกับดักแห่งความอ่อนโยนก็กางตาข่ายขนาดมหึมาซึ่งเฝ้ารอเหยื่อมาเนิ่นนาน!
อันที่จริงมีบางคนตงิดใจขึ้นมาแล้ว
ตัวแทนเครือโรงภาพยนตร์ซึ่งนั่งอยู่นั้น มีบางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อนึกถึงความหมายโดยนัยของฉากนี้ ก็แอบรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
รวมถึงคนที่อยู่ข้างกายเยี่ยหงอวี๋
ส่วนหยางอันก็กำหมัดแน่น ในใจรู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก ทำไมถึงต้องมีจุดพลิกผันแบบนี้ด้วย ที่เสี่ยวปายอมเล่นลูกบอลเพราะมีเหตุผลอื่นใดหรือเปล่า?
ในขณะนั้น จู่ๆ หยางอันก็เห็นว่าเยี่ยหงอวี๋ขยับขาซึ่งไขว่ห้างมาโดยตลอดลง
ความไม่สบายใจซึ่งสุมอยู่ในอกยิ่งทวีคูณกว่าก่อนหน้านี้!
ภาพยนตร์ดำเนินต่อไป
ศาสตราจารย์อันซึ่งมีอาชีพเป็นอาจารย์สอนดนตรี หลังจากบรรเลงเปียโนจบ ก็เริ่มอธิบายความเข้าใจที่เขามีต่อเพลงให้นักศึกษาฟัง
วันเวลาทำให้เขาอายุมากขึ้น ทว่ากลับทำให้เขาแลดูทรงภูมิมากขึ้น ผู้ชายคนนี้แลดูมีเสน่ห์มากขึ้น เพียงแต่ชายผู้มีเสน่ห์คนนี้ออกจะดื้อรั้นอยู่สักหน่อย
ขณะที่เขาสอนนักเรียน ในมือก็กำลูกบอลสีเหลืองที่เล่นกับเสี่ยวปาก่อนมาทำงาน
บีบบ้างเป็นบางครั้งคราว ลูกบอลส่งเสียงปี๊บน่ารักออกมา
“พวกคุณ…”
ศาสตราจารย์อันมองไปยังลูกบอลด้วยรอยยิ้มกว้าง ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป ยกมือขึ้นกดหน้าอก พลางพยุงกายกับเปียโน
“โครม”
คล้ายกับว่าทับลงบนแป้นเปียโนสีขาวดำ เสียงโน้ตเปียโนดังขึ้นอย่างสับสน ดึงดูดความสนใจของนักศึกษาทั้งชั้น จากนั้นทุกคนก็สังเกตเห็นว่า ศาสตราจารย์อันล้มลงไปกับพื้นอย่างฉับพลัน
พรึ่บๆๆ!
นักศึกษาลุกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก…
ท่ามกลางภาพสโลว์โมชันที่หลุดโฟกัส ลูกบอลหนังสีเหลืองยังคงถูกกำแน่นในมือของศาสตราจารย์อัน ทว่ามันไม่เกิดเสียงดังเนื่องจากแรงบีบอีกต่อไป เช่นเดียวกับศาสตราจารย์อันซึ่งล้มลงกลางชั้นเรียนและไม่ฟื้นขึ้นมาอีก…
ศาสตราจารย์อันเสียชีวิตแล้ว
ดูเหมือนว่าผู้เขียนบทวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบ แต่ก็เหมือนเป็นอุบัติเหตุกะทันหัน
แสงสว่างวาบจากหน้าจอส่องปะทะใบหน้าของผู้ชม
ม่านตานับไม่ถ้วนหดวูบ
สีหน้าของทุกคนมีแต่ประหลาดใจเพราะไม่เชื่อ ไปจนถึงตื่นตระหนก จนกลายเป็นหดหู่ จนสุดท้ายความโศกเศร้าก็เข้าครอบงำ
นั่นคือช่องว่างเล็กๆ ในส่วนลึกของจิตใจ ซึ่งค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนนำไปสู่การล่มสลายอย่างสมบูรณ์
ชั่วขณะนั้นสมองของทุกคนว่างเปล่า!
ราวกับเป็นท่อนไม้ง่อนแง่นที่ไร้ความรู้สึกนึกคิด
และเมื่อทุกคนตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็มีผู้ชมบางส่วนรู้สึกถึงความสิ้นหวังอัดแน่นอยู่เต็มอก!
หน้าจอดับมืดลงเช่นเดียวกับความรู้สึกของทุกคนในขณะนี้
ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางความมืด และมองไม่เห็นสิ่งใด
ตึกๆๆๆ…
ไม่มีเสียงเพลงประกอบกระตุ้นอารมณ์ มีเพียงเสียงหัวใจเต้นที่ค่อยๆ ดังขึ้นในความมืด และช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหายไปอย่างสมบูรณ์
ฟืด
เป็นเสียงอันไร้เรี่ยวแรงของลูกบอล
หน้าจอใหญ่สว่างขึ้นอีกครั้งอย่างฉับพลัน แต่กลับแตกต่างจากสีหน้าที่มืดมนของผู้ชมทุกคนเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนอย่างชัดเจน ราวกับเป็นวิดีโอซึ่งถูกตัดต่อ
นั่นคือใบหน้าของแต่ละคน กลับเปรอะเปื้อนด้วยน้ำตา
ภาพตัดไปยังสถานีรถไฟอย่างไร้ปรานี เสี่ยวปายังคงรอคอยอยู่ที่สวนดอกไม้ฝั่งตรงข้ามกับสถานีเดิม มุมภาพค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้นไปยังความว่างเปล่า ฉากลองเทคจึงเหลือเพียงด้านหลังเสี่ยวปาซึ่งเต็มไปด้วยความจนใจ
โดดเดี่ยวและเจ็บปวด
ประหนึ่งถูกแช่แข็งไว้
ที่นั่งแถวด้านหลัง น้ำตาของหยางอันเอ่อท้นราวกับเป็นสายน้ำ และไม่มีวันที่จะหยุดลง
บางทีเยี่ยหงอวี๋อาจเป็นเพียงคนเดียวที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ คล้ายกับว่าความสงบนิ่งคือความเชื่อของเธอ ทว่าริมฝีปากของเธอยังคงขาวซีดเพราะกัดแรงเกินไป และยังคงไม่ผ่อนแรงออก
ในจุดนี้ หยางอันมองไม่เห็น
เสียงสะอึกสะอื้นดังระงมทั้งโรงฉายก้องอยู่ในโสตประสาทของเขา ยามที่กับดักแห่งความอ่อนโยนปิดตาข่ายลง ผู้รอดชีวิตนั้นมีน้อยเหลือเกิน
และในโรงฉายเช่นนี้ น้ำตาคือวิธีการปลดปล่อยความรู้สึกที่ดีที่สุด!
คุณลุงคุณป้าร้านในสถานีรถไฟต่างทยอยกันเลิกงาน
ชายฉกรรจ์ในสำนักงานรักษาความปลอดภัยมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ จากนั้นก็มองไปยังเสี่ยวปาซึ่งอยู่ข้างสวนดอกไม้ พยายามส่งเสียงเรียก เสี่ยวปากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
ในตอนนั้น
ท้องฟ้ามืดสนิท สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนกับเสี่ยวปา เหลือเพียงน้ำแข็งจากหิมะในฤดูหนาวปีนี้ซึ่งยังละลายไม่หมด
กล้องซูมเข้าอย่างรวดเร็ว เสี่ยวปานอนหมอบลงกับพื้น เสียงสูดลมหายใจหนักหน่วงขึ้น
สุดท้ายแล้ว กลับเป็นลูกสาวของศาสตราจารย์อันที่มารับเสี่ยวปากลับไป
คืนนี้ดวงไฟในบ้านไม่ดับลง
ไม่ว่าอย่างไรเสี่ยวปาก็ไม่ยอมเข้าไปในห้องหนังสือ
คล้ายกับว่ามันได้ย้อนกลับไปในวันที่เพิ่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ มองโลกซึ่งแบ่งเป็นสีดำขาวผ่านช่องที่ไม่ใหญ่นัก ราวกับเด็กหลงทางซึ่งไร้บ้านให้กลับ
ความแตกต่างก็คือ คุณนายอันร้องไห้ทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น พวกเขาจัดงานศพให้ศาสตราจารย์อันอย่างสมเกียรติ ตัวตนและเสียงของเขากลายเป็นความทรงจำของผู้คน และถูกสลักลงบนโลงศพ
เสี่ยวปาไม่ได้ปรากฏตัว
มันยังคงไปรออยู่ข้างสวนดอกไม้ตรงข้ามสถานีรถไฟเฉกเช่นที่ผ่านมา มองดูรถไฟขบวนเช้าตรู่มุ่งหน้าออกไปไกล และมองดูผู้คนที่ผ่านไปมาเหมือนเคย…
มันมองหาอะไร
มันเฝ้ารออะไร
คำถามนี้ดูเหมือนจะไร้ความหมาย เช่นเดียวกับการรอคอยอันไร้จุดหมายของเสี่ยวปา ที่ไม่มีความหมายในสายตาของใครหลายคน
ในค่ำคืนนี้ หิมะตกหนักขึ้นอีก
โลกใบนี้คือความทุกข์ตรม
ชายฉกรรจ์ในสำนักงานรักษาความปลอดภัยเดินไปหาเสี่ยวปา เอ่ยเสียงแผ่วเบา “แกไม่ต้องรอแล้วละ เขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
เสี่ยวปาไม่ขยับ
ในคืนซึ่งเต็มไปด้วยหิมะ สิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตาของมัน ไม่รู้ว่าคือแสงไฟ หรือแสงจันทร์
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่ายหน้า ทว่าในสายตาของผู้ชมทุกคน นี่เป็นความหดหู่เหลือทน
หิมะปกคลุมหางของเสี่ยวปา เสี่ยวปานิ่งคล้ายกับไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ เจ้าหน้าที่สถานีเข้ามาช่วยปัดหิมะออก ยิ้มด้วยความจนใจ เขารู้ว่านี่คือความมุ่งมั่นของเสี่ยวปาเอง…
เสียงสะอื้นในโรงภาพยนตร์ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่กลุ่มคนที่พยายามข่มอารมณ์ก็ไม่อาจต้านทาน
ดวงตาของเยี่ยหงอวี๋ แลดูแดงก่ำยามแสงส่องมา
ในขณะนั้นหยางอันถึงค้นพบว่า ร่างของเยี่ยหงอวี๋กำลังสั่นเทา เช่นเดียวกับตัวเขาเองซึ่งลำคอคล้ายกับกำลังตีบตัน เขาทำได้เพียงพยายามฝืนชะลอน้ำตาซึ่งกำลังเอ่อท้นออกมาอย่างสุดกำลัง
ปีนั้น คุณนายอันขายบ้านของครอบครัวไป เหมือนว่าเธอต้องการหนีไปให้ไกลจากเมืองนี้
ลูกสาวของศาสตราจารย์อันพาเสี่ยวปากลับบ้านของเธอ แต่เสี่ยวปากลับหนีออกมาในวันเดียวกัน
ลูกสาวของศาสตราจารย์อันถึงตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้วเสี่ยวปาตรงหน้าของตน ไม่ใช่เด็กที่ไม่ว่าเจ้าของไล่อย่างไรก็ไม่ไป ดุด่าก็ไม่หนีอีกต่อไป
โลกสีดำขาวเทายังคงไร้สีสัน
ทิวทัศน์โดยรอบผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีก มันหอบขณะวิ่งไป
วิ่งผ่านผืนป่าซึ่งมีเพียงซากไม้แห้งเหี่ยว วิ่งผ่านทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา กลับมายังบ้านอันเป็นที่พักพิงในอดีต มันจดจำถนนสายนี้ได้ไม่เคยลืม
แต่ถึงอย่างนั้น บ้านหลังนี้ก็มีเจ้าของใหม่แล้ว
“หลงทางเหรอ?”
เจ้าของคนใหม่ของบ้านหลังนี้มองเสี่ยวปา ภาพนี้เหมือนกับการพบกันครั้งแรกของเสี่ยวปาและศาสตราจารย์อัน ชายคนนั้นก้มลง เอ่ยถามด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
เจ้าตัวเล็ก แกหลงทางเหรอ
มันไม่ได้หลงทาง มันกลับไปยังสวนดอกไม้ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟเก่า ราวกับว่ายึดมั่นในคำสัญญาที่ไม่เคยมีอยู่จริง หรือไม่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
บางครั้งมันก็นั่งลงด้วยด้วยความเหนื่อยล้า บางครั้งก็นอนลงพักผ่อน เพียงแต่แต่สายตาคู่นั้นเหมือนกำลังเอ่ยวาจา มันไม่เคยละสายตาจากรถไฟทุกขบวนที่ออกไป และฝูงชนทุกกลุ่มที่มาถึงสถานี
ใช่ นี่คือสถานีที่เขาจากไป และมันจะไม่มีวันหลงทาง
เพียงแต่คนที่มันรอคอยอยู่นั้น อาจหลงทางหรือหาทางกลับบ้านไม่เจอ?
ลูกสาวของศาสตราจารย์อันพามันกลับบ้านอีกครั้ง และจงใจขังมันไว้ ทว่าเสี่ยวปากลับไม่กินข้าวไม่กินน้ำ ใช้แนวทางประท้วงด้วยการอดอาหาร เช่นเดียวกับในคืนก่อนที่ศาสตราจารย์อันจะพามันไปส่งให้คนอื่น
หลายวันผ่านไป จู่ๆ ลูกสาวของศาสตราจารย์อันก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมา
เธอเลือกที่จะปลดกลอนที่ขังเสี่ยวปา และเปิดประตูบ้านซึ่งปิดสนิท เอ่ยทั้งน้ำตาและรอยยิ้ม “ฉันว่าฉันเข้าใจแกแล้ว”
เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวปาไม่ได้วิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
มันมองลูกสาวของศาสตราจารย์อัน ประหนึ่งกำลังบอกลาด้วยความตั้งใจ
ฉากตัดไปอีกครั้ง
ยังคงเป็นสวนดอกไม้ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ ยังคงเป็นท่านั่งคอยท่าเดิม เสี่ยวปากลับมาที่นี่อีกครั้ง
เปรียบเสมือนมันเติบโตมากับที่นี่ รถไฟที่ผ่านไปมาทุกขบวนทำให้เสี่ยวปาตื่นตัวได้ทันที ทว่ากลิ่นอันคุ้นเคยจางหายไปท่ามกลางฝูงชนที่ผ่านไปมา เพราะฉะนั้นมันจึงพบเพียงความผิดหวังทุกครั้งไป
ขนของมันสกปรกแล้ว
สีดำขาวเทาในดวงตาทั้งเย็นเยียบและเฉยชา บาดลึกถึงกระดูก
ตกกลางคืน มันนอนอยู่ที่ล้อของขบวนรถไฟซึ่งถูกปล่อยร้าง
รถไฟขบวนแรกปลุกให้มันตื่นแต่เช้าตรู่ในทุกๆ วัน มันวิ่งไปรอด้านหน้าสถานีรถไฟเป็นประจำ นั่งนิ่งตัวตรงที่ขั้นบันได เพื่อรอใครบางคนที่ไม่มีวันกลับมา
ไม่ว่าจะลมพัด ฝนตก หรือเกล็ดหิมะปลิวว่อนบนท้องฟ้า
ไม่มีใครพามันเข้าไปในห้องหนังสือ
ไม่มีใครหยิบผ้าห่มมาคลุมให้มันอบอุ่น
มีเพียงวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และผู้คนที่เดินขวักไขว่อย่างเร่งรีบ
มีเพียงรถไฟที่ยังส่งเสียงหวูด มีเพียงดวงอาทิตย์ที่ยังหมุนเปลี่ยนคืนวัน มีเพียงดวงจันทร์ที่ยังแหว่งเป็นเสี้ยว
หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป สามปีผ่านไป…
ผู้คนจัดหาอาหารมาวางไว้เพื่อให้เสี่ยวปามีชีวิตรอด
ทุกคนรู้สึกประทับใจกับความภักดีของเสี่ยวปา ถึงขั้นที่แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ยังลงข่าวเกี่ยวกับเสี่ยวปาซึ่งรอคอยการกลับมาของเจ้านาย นอกจากนั้นก็ยังมีการบริจาคเงินจากผู้คน…
“เสี่ยวปาแก่แล้ว”
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เอ่ยขึ้นเช่นนี้ขณะกำลังทำงานอยู่ที่สถานีรถไฟ
ฝีเท้าของมันเริ่มช้าลง ขนที่สกปรกเริ่มบางลง เพราะไม่มีใครดูแลเป็นเวลานาน ความสง่างามในอดีตจึงไม่อาจหวนคืน
มันยังคงรอคอย วันแล้ววันเล่า เป็นเวลาสิบปีเต็มๆ
ฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว
ไม่มีใครรู้ว่าเสี่ยวปารู้หรือไม่ว่าเจ้านายของมันจะไม่กลับมาอีก บางทีระยะห่างระหว่างชีวิตกับความตาย สำหรับสุนัขแล้วอาจเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้
มันเพียงแค่เชื่อด้วยความดึงดันว่าเจ้านายของมันจะกลับมา
ดังนั้นมันจึงเฝ้ารออยู่เสมอ ทว่าชีวิตของมันกลับไม่อาจทนต่อการกัดกร่อนของวันเวลา ดั่งน้ำที่ไหลลงมาบนบันไดปูนหน้าสถานีรถไฟปีแล้วปีเล่าจนเป็นรอยเว้าแหว่ง
ในฐานะสุนัขตัวหนึ่ง นี่คือการรอคอยและจุดหมายปลายทางที่มันเลือกเอง
เกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครหนีพ้น มันใช้เวลาสิบปีเพื่อจำหลักความทรงจำนี้ออกมา
เมื่อคุณนายอันซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว มายังสถานีรถไฟในเมืองเล็กนี้อีกครั้ง และเดินออกมาจากสถานี เธอก็เหลือบไปเห็นเสี่ยวปา
เสี่ยวปา มันอายุมากจนทำได้เพียงนอนอยู่กับที่ ไม่แม้แต่จะเสียแรงขยับตัว
ภาพนี้ทำให้คุณนายอันหลั่งน้ำตาออกมา
เช่นเดียวกับเยี่ยหงอวี๋ซึ่งได้ชื่อว่าไม่เคยเปิดเผยสีหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรับกระดาษทิชชูมาจากหยางอัน และร้องไห้จนแทบขาดใจต่อหน้าจอภาพยนตร์
………………………………………………………..