“กระหม่อมผิดเองพ่ะย่ะค่ะที่เข้าใจพระชายาผิด” นิ้วของผู้อาวุโสอู่กำเข้าหากันแน่นจนขึ้นข้อขาวระหว่างที่เขาเอ่ยเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกอับอายขายหน้าถึงเพียงนี้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอย่างไม่แยแส ”มันไม่ใช่การเข้าใจผิด แต่เป็นการใส่ร้ายต่างหาก คราวหน้าคราวหลังผู้อาวุโสอู่อย่าได้เที่ยวปรักปรำใครโดยไม่มีหลักฐานอีกจะดีกว่า”
ผู้อาวุโสอู่กัดฟัน คำว่า ”ขอรับ” หลุดออกมาจากริมฝีปากบางของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างเย็นชาพร้อมกับยกถ้วยชาในมือขึ้น แต่นางไม่ได้ดื่มมัน แทนที่จะเป็นอย่างนั้นนางกลับส่งมันให้กับขันทีที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”ข้ายกให้เจ้า หายากนักที่ผู้อาวุโสอู่จะยกน้ำชาสักแก้วมาให้”
ไม่ว่าผู้อาวุโสอู่จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแค่ไหน แต่ใบหน้าของเขาก็ยังซีดเผือดทันทีที่ได้เห็นการกระทำของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางกล้าดีอย่างไรถึงส่งน้ำชาที่เขายกมาให้ให้กับขันที!
นางกำลังเหยียดหยามเขาอย่างเห็นได้ชัด!
ผู้อาวุโสอู่หายใจเข้าลึกๆ ติดกันสองสามครั้ง เขากำมือทั้งสองข้างแน่นจนเส้นเลือดที่หลังมือนูนออกมา!
ตอนนี้เขาจะปล่อยให้นางทำตัวอวดดีไปก่อน
หลังจากนี้ตอนที่กองกำลังนั้นบุกเข้ามา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และเมื่อถึงเวลาที่เขาถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏ เขาอยากจะเห็นนักว่าตอนนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยกับองค์ชายสามจะยังยิ้มออกได้อย่างไร!
ความชั่วร้ายปรากฏขึ้นในสายตาอันเฉียบแหลมของผู้อาวุโสอู่ทันทีที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนตัวตรง และกำลังจะเดินออกไป
“ช้าก่อน” ดวงตาเรียวรีของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดขึ้นมองเขา ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาหาเฮ่อเหลียนเวยเวย น้ำเสียงของเขาไม่ได้ชักช้าหรือเร่งรีบ ”ผู้อาวุโสอู่ ท่านคงไม่ต้องให้ข้าสอนหรอกใช่ไหมว่าท่านควรทำอย่างไรเวลาขอขมาพระชายา”
สีหน้าของผู้อาวุโสอู่เปลี่ยนไปอีกครั้ง แต่เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว มันกลับดูหมดหวังกว่าเดิมมากนัก!
“เจ้าสาม!” ฮ่องเต้ที่ตระหนักได้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังจะพูดอะไรรีบขัดขึ้นเสียงเบา
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะปรายตามองฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ เขากดสายตาลงมองผู้อาวุโสอู่ เสียงที่ออกมาจากริมฝีปากของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา ”คุกเข่า”
“เจ้าสาม!” ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืนเสียงดัง!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพิ่งหันไปสนใจฮ่องเต้ก็ตอนนั้นนั่นเอง แต่อย่างไรรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มและบรรยากาศห่างเหินที่อยู่รอบตัวเขายังคงไม่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ”ราชวงศ์ได้รับความเคารพนับถือมาตั้งแต่อดีตกาล แต่ถ้าหากฝ่าบาทยังปล่อยให้ผู้อาวุโสอู่ทำตัวหยาบคายอยู่เช่นนี้ แล้วพวกเราจะเอาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตัวเองไปไว้ที่ใด หรือเสด็จพ่อคิดว่าฐานะของจวนผู้อาวุโสสูงกว่าราชวงศ์”
ฮ่องเต้หรี่ตา แล้วหันไปทางผู้อาวุโสอู่ ”ผู้อาวุโสอู่ เจ้าสามพูดถูก เจ้าจงคุกเข่าเสีย”
“ฝ่าบาท!” ผู้อาวุโสอยากจะคัดค้าน
แต่ฮ่องเต้กลับไม่ฟังเขา การโบกมือนั้นบ่งบอกว่าเขาได้ตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากให้บอกว่าใครคือคนที่เข้าอกเข้าใจฮ่องเต้ที่สุดบนแผ่นดินนี้
แน่นอนว่าคำตอบย่อมเป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงกับอิทธิพลที่จวนผู้อาวุโสมีเหนือราชวงศ์เป็นอย่างยิ่ง และเขาต้องการที่จะสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่ายมาโดยตลอด
ยิ่งเขาให้ความโปรดปรานกับจวนผู้อาวุโสมากเท่าใด เขาก็ยิ่งต้องควบคุมไม่ให้อีกฝ่ายล้ำเส้นเข้ามามากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนเช่นนี้
แน่นอนว่าผู้อาวุโสอู่ย่อมรู้ว่าสถานการณ์ในเวลานี้เป็นเช่นใด และเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งนั้นได้
ถ้าเขาปฏิเสธ มันจะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัย และจะทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยได้
หากเป็นอย่างนั้น เขาคงไม่สามารถทำตามแผนการขั้นต่อไปได้อย่างแน่นอน!
ผู้อาวุโสอู่กัดฟันอย่างแรง เขามองหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก่อนจะค่อยๆ คุกเข่าลงอย่างช้าๆ…
หนานกงเลี่ยยิ้มอย่างชั่วร้ายอยู่ข้างผู้อาวุโสอู่ ก่อนจะยื่นมือออกไปตบบ่าผู้อาวุโสอู่ และเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ”ผู้อาวุโสอู่ ถ้าข้าเป็นท่าน ข้าคงจะไม่ยั่วโมโหองค์ชายสามแน่ คนจากจวนผู้อาวุโสช่างใจกล้ากันเสียจริง แต่เพียงแค่ถูกตบหน้าเข้าครั้งเดียว พวกเขาก็… หึๆ ช่างเป็นภาพที่ไม่น่ามองเอาเสียเลย”
ดวงตาของผู้อาวุโสอู่ดำทะมึน นิ้วที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวของเขางอเข้าหากันเพราะเขากำหมัดแน่นเกินไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็รู้สึกประทับใจกับวิธีการที่องค์ชายผู้นี้ใช้เช่นกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาเล่นกับคนพวกนี้อย่างไร้ความปรานี และดูจากใบหน้าของผู้อาวุโสอู่ที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำจากความโกรธแล้ว ดูเหมือนว่าเขาคงไม่เคยคุกเข่าให้กับใครมาก่อน จริงทีเดียวที่การติดตามรับใช้องค์ชายมักจะมี ”เนื้อให้นางลิ้มลอง” เสียทุกครั้ง!
เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยพอใจ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ผู้อาวุโสอู่ จำเอาไว้ให้ดีล่ะ หากทำผิดอีก มันจะไม่ได้จบลงเพียงแค่การคุกเข่า”
“พ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสอู่รับคำอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อก่อนจะลุกพรวดขึ้น แล้วจ้ำเท้าเดินกลับไปยังที่ของตัวเอง แต่หน้าอกของเขากลับยังกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
ผู้อาวุโสจ้านที่อยู่ข้างเขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ”เหล่าอู่ ข้าว่าเราพักแผนการไว้ก่อนดีหรือไม่ ข้ากลัวว่าทุกอย่างอาจไม่เป็นไปตามแผนเพราะองค์ชายสามรับมือกับสถานการณ์ได้ดียิ่งนัก”
“ไม่ว่าเขาจะรับมือกับสถานการณ์ได้ดีเพียงใด แต่วันนี้เขาย่อมไม่มีทางหลบหนีไปไหนได้” ผู้อาวุโสอู่ผ่อนลมหายใจ ดวงตาของเขาทอประกายเย็นชา ”ทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงแห่งความโกลาหลที่มาจากกองกำลังลับนั้น คนแรกที่จะถูกฮ่องเต้ตั้งคำถามก็คือองค์ชายสาม รอดูก็แล้วกัน นี่จะต้องเป็นการแสดงที่ดีอย่างแน่นอน”
ผู้อาวุโสจ้านอยากเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในสภาพตกต่ำเช่นกัน หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ว่าแผนการของพวกเขานั้นสมบูรณ์แบบเพียงใด มันไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เขาก็เพิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ผิดจากความคาดหมายมากับตาตัวเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยยังสามารถปิดบังร่างที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ได้ แต่ผู้อาวุโสอู่กลับต้องเสียหน้า
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องพิจารณาการตัดสินใจของตัวเองใหม่
แต่ก็เหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสอู่บอก ทันทีที่ได้ยินเสียงจากกองกำลังเหล่านั้น ไม่ว่าองค์ชายสามจะตัดสินใจส่งทหารของตัวเองออกไปหรือไม่ มันก็ย่อมเป็นผลเสียต่อเขาอยู่ดี จากนั้นเขาจะกลายเป็นองค์ชายที่ถูกกล่าวหาว่าก่อกบฏ และสูญเสียสิทธิ์ในราชบัลลังก์ไปในที่สุด!
ความเสี่ยงเล็กน้อยย่อมไม่ใช่ปัญหา ตราบใดที่พวกเขาสามารถโค่นองค์ชายสามลงได้!
“เอาล่ะ นั่งลงได้แล้ว” ฮ่องเต้ไอออกมาอย่างแรงหลังจากพูดจบ
เมื่อเห็นภาพนี้ ขันทีเกาก็รีบถวายยาบำรุงเลือดให้กับเขา
ฮ่องเต้ดูลุกลี้ลุกลน และต้องการยาเม็ดนั้นเป็นอย่างยิ่ง เขาหยิบยาเม็ดนั้นกลืนลงคอทันทีโดยไม่ดื่มน้ำตามท่ามกลางสายตาของทุกคน
ฮ่องเต้ดูอาการดีขึ้นอย่างมากตอนที่เขาถอนหายใจออกมา ”อาเลี่ย เจ้ากับผู้อาวุโสอู่ต่างก็เป็นเสนาบดีฝีมือโดดเด่นในจักรวรรดิจ้านหลงของข้า ดังนั้นในอนาคตก็ควรจะรู้จักเห็นอกเห็นใจกันเอาไว้” ระหว่างที่พูด เขาก็หันหน้าไปทางผู้อาวุโสอู่ ”เหล่าอู่ เราต้องทำอะไรต่อหรือ”
ผู้อาวุโสอู่ยืนขึ้นด้วยท่าทางที่ดูน่าเคารพนับถือ ”ฝ่าบาท พวกเราเพียงแค่ต้องรอให้บรรดาพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นกลับมาจากการสวดมนต์รอบวังหลวงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปรอกันในวังเถอะ” พอพูดจบ ฮ่องเต้ก็เหลือบมองขันทีเกา
จากนั้น ขันทีเกาจึงใช้เสียงแหลมสูงของตัวเองตะโกนขึ้นว่า ”นำของว่างเข้ามาได้!”
ภายในชั่วพริบตา นางกำนัลก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดใส่อาหาร พวกนางสวมชุดยาวถึงข้อเท้า เสียงฝีเท้าของพวกนางล้วนแต่แผ่วเบาเพราะกลัวจะทำอะไรผิดพลาด
เสียงสวดมนต์ค่อยๆ จางหายไป และแล้วฮ่องเต้ก็ยกถ้วยชาในมือขึ้น คนที่อยู่ข้างล่างเริ่มทำตามเขา บ้างก็ยกชาขึ้นดื่ม บ้างก็หยิบขนมขึ้นทาน
เจ้าเจ็ดนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาตัวติดกับนางอย่างกับเงา เด็กชายแทะซาลาเปาไส้ถั่วที่ถือติดตัวมาด้วยสีหน้าเย็นชาราวกับลูกเสือตัวน้อย
“ทำไมเจ้าไม่กินล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกประหลาดใจ การกระทำนี้ดูไม่สมกับเป็นเด็กชายตัวน้อยเอาเสียเลย…