สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เอ่ยถาม “เช่นนั้นพี่สามก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งสิขอรับ มันเป็นเรื่องของสตรี พี่สามเข้าไปยุ่งคงไม่ค่อยเหมาะสม”
คุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าอยากยื่นมือเข้าไปยุ่งอย่างนั้นหรือ แต่หากข้าไม่เข้าไปยุ่ง เกรงว่าครอบครัวคงไม่มีวันสงบสุข ไม่รู้ว่าทำไม พี่สะใภ้สามของเจ้ากับภรรยาของฉินเกอถึงไม่มีวาสนาต่อกันแบบนี้ คนหนึ่งจะไปทางทิศตะวันออก อีกคนจะไปทางทิศตะวันตก แต่ภรรยาของฉินเกอพูดจาหรือทำอะไรล้วนมีเหตุผล…” พูดจบ เขาก็ส่ายหน้า “โชคดีที่ภรรยาของเจี่ยนเกอเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย พี่สะใภ้สามของเจ้าพูดอะไร นางก็แค่ยิ้มแล้วรับฟัง แล้วยังเป็นมิตรกับภรรยาของฉินเกอ ไม่เช่นนั้น ครอบครัวคงจะวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น” เขาพูดต่อไป “ท่านแม่มองคนไม่ผิดจริงๆ ข้ารู้สึกว่านิสัยของภรรยาเจี่ยนเกอมีความคล้ายคลึงกับน้องสะใภ้สี่ เป็นคนอัธยาศัยดี” พูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงเรื่องที่ฟังซื่อดูแลเรื่องในจวน ไม่เพียงแต่จัดการเรื่องทุกอย่างได้อย่างเหมาะสม ญาติพี่น้องล้วนเอ่ยชมว่านางเป็นแม่ศรีเรือน และไม่ว่าภรรยาตัวเองจะไร้เหตุผลแค่ไหน นางก็แค่กลี้ยกล่อมภรรยาตัวเองอย่างอ่อนโยน ไม่กล้าขัดใจภรรยาตัวเอง ถือว่าเป็นลูกสะใภ้ที่กตัญญูรู้คุณ ตำหนิฟังซื่อเช่นนี้ นับว่าดูเข้มงวดกับนางมากเกินไป เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้มาหาเจ้าเพราะเรื่องงานแต่งของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ไม่พูดเรื่องพวกนี้ดีกว่า เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงาน คนที่หนานจิงจะมาหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าเขาพูดจาขัดแย้งกัน ก็รู้ว่าเขากำลังช่วยพี่สะใภ้สามหรือไม่ก็ลูกสะใภ้ใหญ่ปกปิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะช่วยใคร แม้แต่เรื่องในครอบครัวของตัวเอง ตนยังไม่อยากเข้าไปยุ่ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องในครอบครัวของพี่สาม แน่นอนว่าเขาดีใจที่คุณชายสามเปลี่ยนเรื่อง
“บอกว่าอีกสองสามวันก็จะถึงแล้ว!” สวีลิ่งอี๋เอ่ยตอบ “ข้าส่งผู้ดูแลไปรับแล้ว”
คุณชายสามพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หรือว่าต้นฤดูใบไม้ผลินี้เราจะไปเที่ยวหนานจิงกัน จะว่าไปแล้ว ข้าเคยไปหนานจิงกับท่านพ่อตอนเด็กแค่ครั้งเดียว ที่นั่นมีร้านอาหารที่สร้างอยู่บนแม่น้ำ ชื่อว่า ‘หลิวซัง’ และมีอาหารที่เรียกว่า ‘เทพเซียนข้ามทะเล’ คือการใช้น้ำเย็นแช่เม็ดบัว…”
พวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ที่นั่น ในขณะเดียวกัน ในเรือนที่อยู่ไม่ไกลของฮูหยินห้า ซินเจี่ยเอ๋อร์อุ้มแมวสองตัวไม่ยอมปล่อย “สุยเฟิงบอกว่า จิ่นเกอไม่อยากได้แล้วเจ้าค่ะ…”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็แทบจะลมจับ “เขาไม่อยากได้ เขาไม่อยากได้แต่เจ้ากลับเก็บมาเลี้ยงอย่างนั้นหรือ รีบนำไปคืนให้จิ่นเกอ!”
“ไม่เจ้าค่ะ!” ซินเจี่นเอ๋อร์อุ้มแมวไว้แน่น ลูกแมวสองตัวถูกนางรัดจนส่งเสียงร้องออกมา
สีหน้าของฮูหยินห้าซีดขาว เห็นเหอเซียงยืนอยู่ตรงนั้น ก็ตำหนิเสียงดัง “ยังไม่อุ้มแมวสองตัวนี้ออกไปอีก!”
เหอเซียงไม่กล้า นางค่อยๆ เดินเข้าไปข้างหน้า แต่สายตากลับมองไปที่ป้าสือด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
ป้าสือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินเข้าไปนั่งยองๆ ลงตรงหน้าของซินเจี่ยเอ๋อร์
แต่ซินเจี่ยเอ๋อร์กลับถอยหลังออกไปสองก้าวด้วยความหวาดระแวง
ป้าสือยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะเอ่ยถามซินเจี่ยเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน “คุณหนูสองชอบเจ้าแมวสองตัวนี้หรือเจ้าคะ”
ซินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า
“เช่นนั้นเราเลี้ยงแมวของเราเองสองตัวดีหรือไม่เจ้าคะ”
ซินเจี่ยเอ๋อร์มองดูแมวที่ขนนุ่มฟูในอ้อมแขนของตัวเองแล้วส่ายหน้า “ข้าอยากเลี้ยงเจ้าขาวกับเจ้าเขียว!”
เจ้าขาวกับเจ้าเขียว คือชื่อที่นางตั้งให้แมวสองตัวนั้น
“เช่นนั้นเราเลี้ยงแมวสองตัวที่เหมือนกับเจ้าขาวและเจ้าเขียวดีหรือไม่เจ้าคะ” ป้าสือพยายามพูดโน้มน้าว “แมวสองตัวนี้คือแมวที่ไท่ฮูหยินจับมาจากจวนของหวงฮูหยิน จวนของหวงฮูหยินยังมีแมวอีกสองตัวที่เหมือนกันอย่างกับแกะ หากคุณหนูสองอยากได้ พวกเราก็ไปจับสองตัวนั้นมา แบบนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็ได้!” ซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ดีใจ “แบบนั้นข้าก็จะมีแมวหลายๆ ตัว!” ถึงอย่างไรก็ยังไม่อยากคืนเจ้าขาวกับเจ้าเขียวให้จิ่นเกอ
ฮูหยินห้าโมโห “ไม่ต้องพูดดีกับนาง รีบคืนแมวสองตัวนั้นให้จิ่นเกอ…ไม่ใช่สัตว์หายากอะไร เมื่อก่อนไท่จื่อเฟยก็เคยเลี้ยงที่สกุลเดิมตั้งสองสามตัว” นางบอกป้าสือ “เจ้านำป้ายชื่อของข้าไปที่จวนองค์หญิงฝูเฉิง ขอแมวจากองค์หญิงมาสักสองตัว” จากนั้นก็พูดอีกว่า “หรือว่าของที่จิ่นเกอไม่อยากได้ เราก็ต้องเก็บมาเป็นของตัวเองอย่างนั้นหรือ”
ปัญหาก็คือ มันคือของที่จิ่นเกอไม่อยากได้!
ป้าสือเห็นว่าฮูหยินห้ากำลังเดือดดาล จึงไม่กล้าพูดเกลี้ยกล่อม นางยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ปล่อยแมวสองตัวนั้นลง
ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ยอมปล่อย ป้าสือก็ไม่กล้าใช้กำลังกับนาง
พวกนางสองคนจึงมองหน้ากันอยู่ตรงนั้น
ฮูหยินห้าเห็นเช่นนี้ก็เดินเข้าไปจับแมวสองตัวนั้นด้วยตัวเอง ซินเจี่ยเอ๋อร์ตะโกนร้องแล้ววิ่งออกไป ฮูหยินห้าก็วิ่งตามออกไป
แต่กลับมีคนรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา
ซินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ นางรีบเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลา
“ท่านพ่อเจ้าคะ!” นางรีบพุ่งเข้าไปด้วยความดีใจ “ท่านแม่จะเอาแมวของข้าไปให้จิ่นเกอ!”
สวีลิ่งควนยิ้มแล้วอุ้มบุตรสาวตัวเอง เขาส่งยิ้มให้ฮูหยินห้าที่วิ่งตามออกมาแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น ลูกไม่รู้ความ เจ้าค่อยๆ พูดกับนางก็ได้ ไม่จำเป็นต้องโมโหขนาดนี้”
ฮูหยินห้าโมโห นางเล่าที่ไปที่มาให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว “…นางเห็นว่ามันน่าสนุก จึงอุ้มกลับมาเช่นนี้! นี่คือแมวที่ท่านแม่จับมาให้จิ่นเกอโดยเฉพาะ…”
“เขาไม่อยากได้แล้วไม่ใช่หรือ” สวีลิ่งควนไม่สนใจ “เช่นนั้นก็ให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ของเรา เราไม่ได้แย่งของเขามาเสียหน่อย”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ตะโกนเรียก “ท่านพ่อ” ด้วยความดีอกดีใจ
ฮูหยินห้าเห็นท่าทีไม่สนใจอะไรของสามีตัวเอง ก็พูดไม่ออกอยู่นาน
*****
ตอนนี้คนที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้กลับกำลังนอนอยู่ในเรือนหน่วนเก๋อของไท่ฮูหยินอย่างสบายใจ
ไท่ฮูหยินสวมแว่นตาอ่านหนังสือสองสามบรรทัด แล้วก็ถอดแว่นตาออกมองดูจิ่นเกอ
ตอนที่ฮูหยินสองเดินเข้ามา ก็เห็นไท่ฮูหยินกำลังถือเตาผิงมืออยู่ในมือ
“ยังไม่ถึงเดือนแปดเลยเจ้าค่ะ!” ฮูหยินสองยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับไท่ฮูหยิน “ระวังจะเป็นร้อนในเอาได้!”
“ข้าเห็นจิ่นเกอหน้าแดง จะแตะดูว่าเขาร้อนหรือไม่!” ไท่ฮูหยินพูดจบก็ยื่นเตาผิงมือให้อวี้ป่านที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ใช้มือที่อุ่นๆ ลูบหลังจิ่นเกอ “หากมือของข้าเย็น ประเดี๋ยวเขาจะตกใจตื่น!” จากนั้นก็บอกให้ฮูหยินสองนั่งลงข้างตัวเอง
ฮูหยินสองนึกถึงตอนที่สวีซื่อจุนยังเป็นเด็ก ไท่ฮูหยินก็ทำกับเขาเช่นนี้เหมือนกัน นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ช่างละเอียดอ่อนเสียจริง!”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “เมื่อก่อนดูแลจุนเกอที่ร่างกายอ่อนแอ ต้องระมัดระวังอยู่ตลอด ข้าชินแล้ว ตอนนี้มาดูแลจิ่นเกอ พลอยรู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างเลี้ยงง่ายเสียจริง” จากนั้นก็ลูบหน้าผากจิ่นเกอด้วยความรักและเอ็นดู
จิ่นเกอที่ถูกรบกวนพลันเบะปากแล้วพลิกตัว
ท่าทีที่น่ารักทำให้ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองหัวเราะออกมา
ช่วงนี้สืออีเหนียงกำลังยุ่ง ไท่ฮูหยินกลัวว่าแม่นมกู้และคนอื่นๆ จะดูแลเขาได้ไม่ดี จึงให้จิ่นเกอมาอยู่กับตัวเอง ช่วงนี้เวลากลางวันและกลางคืนของฮูหยินสองนั้นสลับกัน แต่สำหรับนางที่เป็นคนดูแลตัวเอง ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว นางล้วนคุ้นชินหมดแล้ว ยามเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง แน่นอนว่านางต้องดูแลตัวเองให้เตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาว แล้วยังต้องปรับนิสัยการใช้ชีวิตให้เหมาะสม เรื่องที่อยู่ในมือนางถูกวางลงชั่วคราว นางมักจะมาพูดคุยเป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน จึงได้เจอกับจิ่นเกอบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
“เรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยังเจ้าคะ” นางยิ้มแล้วจิบชา
“ผู้ดูแลจ้าวไปเมืองซังโจวด้วยตัวเอง” ไท่ฮูหยินยิ้ม “คนของสกุลเซ่าก็มาถึงเยี่ยนจิงแล้ว ฤกษ์งามยามดีคือยามเฉิน”
ฮูหยินสองได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าไปดูเจินเจี่ยเอ๋อร์ดีกว่า!”
นางเป็นม่าย วันแต่งงานเลยไปร่วมงานไม่ได้
ไท่ฮูหยินบอกให้ป้าตู้ไปส่งฮูหยินสองที่เรือนของเจินเจี่ยเอ๋อร์
ข้าวของที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ชอบใช้ถูกจัดเก็บหมดแล้ว เหลือแค่ของบางอย่างในห้องที่ยังต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้เรือนของนางดูว่างเปล่า
นางหน้าแดงพลางยกชามาให้ฮูหยินสอง
ฮูหยินสองมองดูเด็กสาวที่ตัวเองเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต แววตาพลันปรากฏความโศกเศร้า
นางจับมือเจินเจี่ยเอ๋อร์
“ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้านั้น รักเจ้าราวกับไข่มุกในฝ่ามือ พวกเขาจัดการเรื่องทุกอย่างให้เจ้าแล้ว หากข้ายังจะให้คำแนะนำอะไรเจ้าอีก ก็คงแค่เป็นการวาดงูเติมขา[1]” พูดจบก็ยื่นกล่องสีแดงให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ “อาจารย์เสวี่ยถิงแห่งเมืองซังโจวเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาเชี่ยวชาญเรื่องโหราศาสตร์ ตอนที่ท่านลุงสองของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เราเคยเป็นแขกที่หอดูดาวไจซิงของเขา เคยเจอกันหลายครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนเข้มงวด แต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่เข้าหาได้ง่าย ในนี้มีป้ายชื่อของท่านลุงสองของเจ้า รูปแบบของป้ายชื่อ อาจารย์เสวี่ยถิงเป็นคนวาดเอง คำพูดที่ว่า ญาติห่างๆ จะเทียบเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้เช่นไร หากเจ้าเจอเรื่องอันใดที่ลำบากใจ ก็ให้ถือป้ายชื่อนี้ไปหาเขา” พูดจบ นางก็เอ่ยหยอกล้อ “แต่ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ใช้มันเลย”
นี่คือของที่ท่านลุงสองทิ้งไว้ให้ท่านป้าสองใช่หรือไม่!
เจินเจี่ยเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า มองดูรอยย่นจางๆ ตรงตาของฮูหยินสอง พลันนึกถึงความอ้างว้างของเรือนเสาหวา ก็อดไม่ได้ที่จะจับมือฮูหยินสอง ลังเลอยู่สักครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ท่านป้าสองเจ้าคะ ท่านต้องหาคนมาอยู่ด้วยอีกสักคนนะเจ้าคะ ถึงตอนนั้นก็จะมีจิ่นเกอและเซินเกอคอยอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง!”
ฮูหยินสองแอบแปลกใจ จากนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมา
ตั้งแต่ทางฝั่งหนานจิงปฏิเสธข้อเสนอของไท่ฮูหยิน ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย
ยามกลางคืน ใช่ว่านางจะไม่เคยคิด แต่เมื่อคิดว่าเด็กคนนี้จะต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ในฐานะบุตรชายของนาง ไม่รู้ว่าทำไม นางกลับรู้สึกไม่สบายใจ กลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่ฉลาดพอ ไม่ดีพอ ทำให้สามีตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียง…
ความคิดนั้นผุดขึ้นมา ในหัวของนางก็ปรากฏภาพจิ่นเกอที่กำลังเบิกดวงตากลมโตสุกใสจ้องมองมาที่นาง นางจึงพูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า เรื่องนี้ ข้าจะพิจารณาอย่างรอบคอบ!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของฮูหยินสองก็รู้สึกโล่งใจ นางยิ้มตามฮูหยินสอง
พวกนางพูดคุยกันครู่หนึ่ง ส่วนมากเป็นฮูหยินสองที่พูด เจินเจี่ยเอ๋อร์รับฟัง จากนั้นก็มีสาวใช้เดินเข้ามารายงาน “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ฮูหยินสี่มาแล้วเจ้าค่ะ!”
ใบหน้าของเจินเจี่ยเอ๋อร์แดงขึ้นมาทันที
ตามธรรมเนียมแล้ว ในคืนก่อนแต่งงานของบุตรสาว ท่านแม่จะต้องอยู่กับบุตรสาว นอกจากอบรมสั่งสอนเรื่องระหว่างสามีภรรยาแล้ว ก็จะพูดความในใจบางอย่างด้วยกัน
นางรีบลุกขึ้น “รีบเชิญท่านแม่เข้ามาเร็วเข้า!”
พูดจบ นางก็เดินออกไปสองสามก้าว อยากจะออกไปต้อนรับสืออีเหนียง แต่นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังจะแต่งงาน บุ่มบ่ามแบบนี้ กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้ นางจึงถอยกลับมานั่งบนเตียงเตาอีกครั้ง แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ให้เกียรติสืออีเหนียง จึงรู้สึกไม่สบายใจ
ฮูหยินสองเห็นท่าทีของนางก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองนั้นร้อนผ่าว
สืออีเหนียงเปิดม่านเข้ามา
เมื่อเห็นฮูหยินสอง นางก็แปลกใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปย่อเข่าคำนับฮูหยินสอง
ฮูหยินสองคำนับกลับสืออีเหนียง จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา “พวกเจ้าสองแม่ลูกพูดคุยกันเถิด ข้าขอตัวกลับก่อน!”
สืออีเหนียงเดินออกไปส่งนางที่หน้าประตู จากนั้นก็กลับไปที่ห้องของเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์เชิญสืออีเหนียงนั่งลงด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกัก เพียงแค่สืออีเหนียงจ้องมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ นางก็หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง
[1]วาดงูเติมขา สุภาษิตจีนหมายถึง ทำสิ่งที่เกินความต้องการหรือเกินความจำเป็น