พี่ชายเคยกล่าวว่าศักดินาของตระกูลเซี่ยซึ่งเป็นรากฐานหลายร้อยปีนั้นแข็งแกร่งมั่นคงดั่งทองคำ
“เป็นไปไม่ได้งั้นหรือ เจ้าลองคิดเองก็แล้วกัน ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ปีนั้นตระกูลหลูกำเริบเสิบสานยิ่งกว่าตระกูลเซี่ยเสียอีก แต่ก็ยังเหมือนเดิม หลังจากที่ตระกูลถูกกำจัด ตอนนี้ไม่มีใครกล้าใช้สกุลหลูแล้ว ตระกูลเซี่ยของเจ้ายังโชคดีไม่น้อยที่มีคนนามสกุลเดียวกัน และลูกหลานเหล่านั้นก็ยังสามารถอยู่รอดมาได้…”
ด่านป้องกันสุดท้ายในใจของนางสกุลเซี่ยแตกสลาย นางตีโพยตีพายทันที
“อ๊ากกก เจ้า นางคนสารเลว…”
หลังจากพูดจบ นางก็ลุกขึ้นและพุ่งไปหาอวี้กุ้ยเฟย นางต้องการบีบคอเพื่อให้พูดไม่ได้อีกต่อไป
แต่เพราะนางหิวโซมาหลายวัน ดวงตาทั้งสองจึงพร่าเลือน
อวี้กุ้ยเฟยสะบัดเบาๆ นางสกุลเซี่ยก็ล้มคว่ำลงไปกับพื้น
อวี้กุ้ยเฟยหันหลังจากไปโดยไม่มองนางอีก ก่อนจะสั่งหนีหมัวมัวและสาวใช้ซ้ายขวา “ส่งนางไปซะ”
การมีนางอยู่สักวันหนึ่ง แม้จะโดนปลดจากฮองเฮาแล้ว แต่มักมีคำว่าฮองเฮาต่อท้ายเสมอ หากนางไม่กำจัด อวี้กุ้ยเฟยคงไม่มีทางสบายใจได้
ก่อนหน้านี้ที่ไว้ชีวิตนาง เพียงแค่ต้องการให้นางได้รับความอัปยศ ไม่ควรฆ่านางทันทีที่ถูกทิ้งในตำหนักเย็น
เช่นนั้นคงทูลกับฝ่าบาทยากลำบาก
ตอนนี้เมื่อเห็นผู้หญิงบ้าคลั่งนอนอยู่บนพื้น นางไม่สนใจที่จะดูละครอีกแล้ว และคิดว่าไม่จำเป็นต้องเก็บตัวปัญหานี้ไว้อีกต่อไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตระกูลเซี่ยถูกฆ่าล้างตระกูล ไม่ว่านางจะมีชีวิตอยู่หรือตายไป เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่แม้แต่ถามถึงนางอีกต่อไปแล้ว
อวี้กุ้ยเฟยยืนไม่ไกลจากตำหนักเย็น นางปิดเปลือกตานิ่งคิด หนีหมัวมัวเดินย่องเข้ามา
“จัดการเรียบร้อยแล้วเพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยพยักหน้า เอ่ยว่า “ไปซะ” จากนั้นก็ไปจากตรงนั้น
หนีหมัวมัวรับคำสั่งแล้วเดินเข้าไปในตำหนักเย็น
เพื่อไปจัดการฮองเฮา
เฉกเชนเดียวกับตราะกูลเซี่ยที่ไร้ที่พึ่ง ไม่มีทางกลับคืนสู่ตำแหน่งฮองเฮาได้อีก และตายอยู่ในตำหนักเย็น มีข้อแก้ตัวมากมาย สถานที่สุดท้ายที่ไป ก็สุมไฟแผดเผาจนมอดไหม้ ก่อนจะเทขี้เถ้าลงในบ่อเกรอะของตำหนักเย็น
ในวังหลวง ผู้ที่เคยเป็นฮองเฮา ก็สาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ ไร้วี่แววแม้แต่ระลอกคลื่น
อวี้กุ้ยเฟยเดินออกมาจากตำหนักเย็น ครั้นกลับไปถึงวังเหยียนชิ่งกง คำสั่งแรกคือตำหนักที่พำนักขององค์หญิงอวี้เหอ จำต้องได้รับการบูรณะ ให้ย้ายจากตำหนักองค์หญิงที่ดีที่สุด ไปอยู่ในตำหนักที่แย่ที่สุด
ในระยะเวลาสิบวันที่ผ่านมา ขั้นขององค์หญิงอวี้เหอลดลง คนรับใช้ข้างกายมิได้จงรักภักดีเหมือนแต่ก่อน
แต่ถึงกระนั้นองค์หญิงอวี้เป็นผู้มีความอดทน
ตั้งแต่คราวก่อน สาวใช้ของนางทำขายขี้หน้าที่คฤหาสน์ของกั๋วกง นางก็ยึดเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่
สำหรับนางกำนัลข้างกาย นางก็มิได้แสดงความเมตตา ทั้งแข็งกร้าวและชอบเอาชนะ
นางคิดว่าเวลาจะช่วยทำให้ลืมทุกสิ่ง
นางคิดว่านางยังมีโอกาสกลับมามีที่ยืนอีกครั้ง และต่อสู้กับมั่วเชียนเสวี่ย
แต่เคยคาดคิดซะที่ไหน แม้นนางไม่เกิดเรื่อง เสด็จแม่ของนางไม่เกิดเรื่อง แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนคือภาระอันหนักอึ้งในใจนาง
นางมองไปยังตำหนักที่ทรุดโทรม ก่อนจะมองมาที่สาวใช้และขันทีพวกนั้น
องค์หญิงอวี้เหอไม่มีอารมณ์แม้แต่จะอาละวาดโวยวาย
พวกองค์รักษ์หญิงที่เคยปกป้องเคียงกายไม่ห่าง ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา นางกำนัลที่คอยรับใช้ลดลงไปกว่าครึ่ง ผู้เฝ้าสังเกตการณ์ข้างในนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นคนหน้าใหม่
…
ท่านหญิงซูซูแฝงตัวอยู่ท่ามกลางกองทัพทหาร นางทนมามากพอแล้ว
เมื่อก่อน ถึงแม้นางจะเป็นผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายคอยตามหลังซูชี แต่อย่างน้อยนางก็ยังอยู่ในเมืองหลวง
นางมีเงินทอง มีบริวารห้อมลอม แม้ว่าซูชีจะไม่ต้องการเห็นนาง แต่นางก็พอใจที่ได้เห็นเขา
ยิ่งไปกว่านั้น พอตกค่ำนางก็กลับจวนท่านอ๋อง มีคนนำน้ำชามาให้ดื่ม มีคนมาทุบไหล่นวดหลังหลังและปรนนิบัตินางอย่างเอาใจใส่
ตอนนี้นางเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ มีแต่คนอื่นที่เรียกใช้นาง
ในสถานที่ยากจนแห่งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นรู้ว่านางเป็นผู้หญิง นางจึงไม่สามารถอาบน้ำได้ และนางต้องดื่มน้ำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้ปัสสาวะบ่อยและทำให้คนอื่นสงสัย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหลือทนที่สุดสำหรับนาง
สิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดสำหรับนางคือต้องเบียดเสียดกับผู้ชายตัวเหม็นมากมายทุกคืน
แม้จะไม่ใช่ผ้านวม แต่…นางนอนอยู่ที่มุมไกลๆ เบียดตัวพิงข้างกระโจมให้มากที่สุด
แต่นางก็ยังคงนอนไม่หลับ
กระโจมนี้มีทหารอยู่สามสิบสี่สิบนายภายในกระโจมเดียว และนางสามารถได้กลิ่นลมหายใจเหม็นๆ ที่หายใจออก แม้ว่าจะใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกก็ตาม และเสียงกรนก็ดังมากจนสามารถยกหลังคากระโจมนี้ได้
กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่พอ นอนไม่หลับ ต้องคอยระวังนู่นนี่นั่นตลอด
หลังจากผ่านไปสามวัน ท่านหญิงซูซูก็มีรอยคล้ำใต้ตาและริมฝีปากแห้งลอกเป็นชั้นๆ
แต่นางทำได้เพียงกัดฟันและอดทนต่อไปอีกสองสามวัน
แต่ถ้าหากให้ซูชีรู้ตั้งแต่แรกว่านางตามมา ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาจะต้องสูญเปล่า ซูชีคนใจร้ายจะต้องให้ผู้คุมชื่ออาจ้าวโยนนางกลับไปที่จวนจิ่งอ๋องอย่างแน่นอน
แต่ทว่า…
แต่ทว่า ท่านหญิงซูซูทนไม่ไหวแล้ว
นางคันระคายเคืองผิวทั้งตัว วิงเวียนศีรษะ และเท้าของนางเต็มไปด้วยแผลพุพอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ชีวิตของนางจะต้องจบลงอย่างแน่นอน
ดังนั้นในวันที่สี่หลังจากการฝึกฝนในตอนกลางวัน ซูซูจึงไปที่กระโจมใหญ่ของซูชี
แต่คาดว่าพวกเขากำลังเดินทัพอย่างเร่งรีบในตอนนี้ และอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปหลายร้อยลี้แล้วน่าจะปลอดภัยกว่า
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่ปลอดภัย แต่ถ้าซูชีต้องการส่งนางกลับไป นางก็จะโวยวายกับเขา นางไม่เชื่อว่าเขาจะใจแข็งเป็นก้อนหิน
แต่ทว่าซูซูกับโชคไม่ดี เพราะตอนนี้ซูชีไม่อยู่ในกระโจม
ล่าเสือกับพี่น้อง กรำศึกกับบิดา[1]
บังเอิญยามเฝ้าประตูเป็นไม่กี่คนที่ซูชีเลือกจากคฤหาสน์ของแม่ทัพเก้าประตูที่ติดตามมาบ่อยๆ
แน่นอนว่าคนเหล่านี้รู้จักกูเสี่ยวซู
ไม่เพียงแค่รู้จักเท่านั้น แต่พวกเขายังรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างกูเสี่ยวซูกับแม่ทัพของพวกเขาไม่ธรรมดา
กูเสี่ยวซูเป็นผู้ติดตามที่รู้ใจแม่ทัพซู ติดตามข้างกายแม่ทัพซูทุกวัน แม้อาจ้าวยังอยู่ปลายแถว
แม้จะถูกท่านแม่ทัพดุด่าทุกวัน โดนไล่ไปให้พ้นบ่อยๆ แต่เขาก็ตามประกบแม่ทัพซ้ายขวาตลอดเวลาอย่างน่าเหลือเชื่อ
แต่ตอนที่มา ไม่เห็นได้ยินท่านแม่ทัพบอกว่าจะพากูเสี่ยวซูมาเลยนี่นา!
ทั้งสองสบตากันแล้วเบิกตาโต แล้วมองท่านหญิงซูซูอีกครั้งด้วยสีหน้างุนงง
“กูเสี่ยวซู! เจ้ามาได้อย่างไร”
“มาได้อย่างไรน่ะหรือ ก็แม่ทัพสั่งให้ข้ามาน่ะสิ” ตอนซูซูโกหกตาแทบไม่กะพริบ
ทั้งสองไม่สงสัยเลยว่า ใครที่กล้าบุกค่ายทหาร ใครที่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านแม่ทัพ เข้ามายังในกระโจมใหญ่ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พวกเขาปล่อยให้กูเสี่ยวซูเข้าไปในกระโจม
เมื่อสูดลมหายใจเอากลิ่นซูชีเข้าเต็มปอด ความเหนื่อยล้าของท่านหญิงซูซูก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
การได้เห็นเขา อยู่กับเขา มันคุ้มค่าที่จะทนลำบาก
เมื่อมองไปรอบๆ กระโจมแล้วเห็นจานของว่างบนโต๊ะ ดวงตาของท่านหญิงซูซูก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง
เพื่อที่จะได้เจอเขา…ทนทุกข์ยากลำบากที่นั้น แต่เขากลับมีอาหารให้กิน มีที่ให้นอน มีคนคอยรับใช้
[1] ล่าเสือกับพี่น้อง กรำศึกกับบิดา เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายสามารถทำได้โดยคนที่มีความใกล้ชิดเสมือนพี่น้องพ่อลูกเท่านั้น