ห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน ความสุขที่ได้พบหน้ากัน ทำให้สืออีเหนียงไม่กล้าถามอะไรไปมากกว่านี้ นางพยายามระงับความไม่สบายใจเอาไว้ในใจ จนกระทั่งถึงยามพลบค่ำ สีหน้าของไท่ฮูหยินเริ่มมีความเหนื่อยล้า หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันออกไป นางถึงได้มีโอกาสพูดคุยกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่เรือนลี่จิ่งเซวียน
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ” สืออีเหนียงถามนาง “จู่ๆ ก็พูดว่าจะไม่ทำผิด!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์หน้าแดง พูดเสียงเบาจนทำให้สืออีเหนียงไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หากเจ้าไม่บอกตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสพูดอีกเมื่อไร เจ้าคิดให้ดีว่าจะพูดหรือไม่พูด”
อีกสามวันเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็จะกลับเมืองซังโจวแล้ว จากนั้นนางก็จะกลายเป็นลูกสะใภ้ของสกุลเซ่าอย่างสมบูรณ์แบบ
“ข้า…ข้ากลัวท่านแม่จะเป็นห่วงเจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
สืออีเหนียงตกใจ “กลัวข้าจะเป็นห่วง? เป็นห่วงอะไร”
เจินเจี่ยเอ๋อร์คิดว่าสืออีเหนียงกำลังพูดหยอกล้อตน จึงพูดตะกุกตะกักว่า “ท่านแม่บอกว่า หากไม่มีคนนี้ก็มีคนนั้น…ให้ข้าอย่าเอาแต่คิดว่าจะป้องกันคนอื่นเข้ามาอย่างไร ให้คิดว่าต้องควรทำเช่นไร…” พูดถึงตรงนี้ นางก็ไม่กล้าพูดต่อ
สืออีเหนียงถึงได้เข้าใจ
นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ
เพราะว่าวันนั้นตนก็ตื่นเต้นเหมือนกัน เลยพูดอะไรไปตั้งมากมาย บางเรื่องแม้แต่ตัวเองก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เซ่าจ้งหรานมีสาวใช้ห้องข้าง สืออีเหนียงกลัวว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วจะหึงหวง จึงแนะนำนางว่าแทนที่จะจับจ้องสาวใช้ห้องข้างสองสามคนนั้นไม่วางตา ไม่สู้คิดหาวิธีแสดงจุดแข็งของตัวเองให้เขาเห็นจะดีกว่า ให้เซ่าจ้งหรานไม่อยากอยู่ห่างกายนาง
ตอนนั้นนางไม่ได้คาดหวังว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะเข้าใจ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะเข้าใจแล้ว
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยืนขึ้นด้วยท่าทีเขินอาย “ข้าไปชงชาให้ท่านแม่ดีกว่าเจ้าค่ะ!”
“ไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้ากลับมาจากซังโจว ยังไม่ได้พักผ่อนก็ต้องไปพูดคุยกับไท่ฮูหยิน ไปพบปะกับญาติๆ ไม่ได้พักผ่อนสักที นี่ก็เย็นมากแล้ว เจ้าไปนอนเถิด มีเรื่องอันใดพรุ่งนี้เราค่อยว่ากัน”
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้ว่าตั้งแต่คลอดจิ่นเกอร่างกายของสืออีเหนียงก็อ่อนแอลงไม่น้อย สองสามปีที่ผ่านมานางกำลังบำรุงร่างกายตัวเอง เจินเจี่ยเอ๋อร์จึงไม่กล้ารั้งนางให้อยู่ต่อ เดินไปส่งสืออีเหนียงที่ประตู
แต่คำพูดที่อยู่ในใจยังติดอยู่ที่ลำคอ ทำให้นางไม่สบายใจ
นางอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียก “ท่านแม่เจ้าคะ”
นางเรียกด้วยน้ำเสียงที่มีความลังเล
สืออีเหนียงนึกถึงนิสัยขี้ขลาดของเจินเจี่ยเอ๋อร์ นางก็ยิ้มแล้วหยุดเดิน
จู๋เซียงจึงขยิบตาให้สาวใช้คนอื่นๆ ทุกคนจึงพากันยืนอยู่ห่างๆ
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ นางก็มีความกล้าที่จะพูดมากขึ้น
“ท่านแม่เจ้าคะ” นางมองไปยังสืออีเหนียงด้วยความเขินอาย “ช่วงนี้ท่านพี่นอนที่เรือนของข้าทุกวัน!” นางพูดต่ออีก “เหมือนที่ท่านแม่พูดเจ้าค่ะ!” นางพูดเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
สืออีเหนียงเข้าใจทันที
เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานได้หนึ่งเดือนแล้ว แต่ยังไม่ตั้งครรภ์ วันระดูของนางต้องมาแล้วแน่นอน ตามหลักแล้ว ตอนที่นางมีวันระดูนางต้องจัดการให้สาวใช้ห้องข้างรับใช้เซ่าจ้งหรานเข้านอน แต่เขากลับนอนที่เรือนของนางทุกวัน เช่นนั้นก็หมายความว่า เซ่าจ้งหรานปฏิเสธสาวใช้ห้องข้าง
นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ ออกแรงบีบมือเจินเจี่ยเอ๋อร์แต่ไม่พูดอะไรอยู่นาน
แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับสบายใจแล้ว
นางยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าที่มีความสุข
*****
ส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์กลับไปแล้ว ที่จวนก็เตรียมการเรื่องปีใหม่
จู่ๆ นายหญิงเซี่ยงก็กลับมาที่เยี่ยนจิง
นางมาคารวะไท่ฮูหยิน
“…ไม่เจอฮูหยินสี่มาตั้งสองสามปี งดงามขึ้นกว่าเดิมเสียอีก!” นายหญิงเซี่ยงเอ่ยชื่นชมสืออีเหนียง แต่สายตาของนางกลับมองไปที่จิ่นเกอด้วยสายตาที่มีความโหยหา “ตอนที่ข้าออกไป ยังไม่มีแม้แต่เงา ผ่านไปไม่นาน คุณชายน้อยหกก็วิ่งเล่นได้แล้ว!”
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “เหมือนคำพูดที่ว่า กลัวจะไม่มี ไม่กลัวจะได้เลี้ยง” จากนั้นก็ถามถึงเรื่องเด็กๆ “ปีนี้อี้จยาน่าจะอายุยี่สิบเอ็ดแล้วใช่หรือไม่ มองบุตรสาวสกุลใดเอาไว้ กำหนดวันแต่งงานแล้วหรือยัง”
นายหญิงเซี่ยงได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“อี้จยายังไม่ได้แต่งงานเจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็ถอนหายใจอย่างเอือมระอา “เขาสอบไม่ผ่านติดต่อกันสองปี นายท่านโมโหจึงส่งเขาไปเรียนหนังสือที่วัดจยาซิ่ง ระหว่างนั้นมีคนมาพูดเรื่องแต่งงาน แต่ก็ถูกนายท่านปฏิเสธทั้งหมด บอกแค่ว่าเขายังไม่มีอาชีพการงาน จะแต่งงานได้อย่างไร ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองดูอี้จยายืดเยื้อมาถึงทุกวันนี้!”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วปลอบใจนาง “เมื่อแต่งงานแล้ว มีคนคอยดูแล ประเดี๋ยวเขาก็จะรู้ความมากขึ้น ข้าคิดว่า เจ้าต้องเกลี้ยกล่อมนายท่านเสียบ้าง” จากนั้นก็ถามถึงคุณหนูทั้งสามคน “…สบายดีหรือไม่”
“เป็นเพราะได้รับวาสนาจากไท่ฮูหยิน” นายหญิงเซี่ยงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจ นางรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “โหรวจิ่นหมั้นหมายกับคุณชายใหญ่ของสกุลใต้เท้าโจว เจ้ากรมโยธาธิการสหายของนายท่าน แต่เพราะว่าใต้เท้าโจวล้มป่วยเสียชีวิตไป จึงทำให้เรื่องแต่งงานล่าช้า” พูดจบ นางก็บอกให้คนนำเทียบเชิญออกมา “ที่ข้ามาที่นี่ครั้งนี้ หนึ่งคือมาคารวะไท่ฮูหยิน สองคือเรื่องแต่งงานของโหรวจิ่น อยากเชิญไท่ฮูหยินไปร่วมงานแต่งเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็หยิบเทียบเชิญสีแดงออกมา
“ยินดีด้วย!” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วรับเทียบเชิญมา เห็นบนเทียบเชิญเขียนว่าวันที่สี่เดือนสองนางจึงพูดว่า “ถึงตอนนั้นข้าไปร่วมงานแน่นอน”
“ข้าจะรอไท่ฮูหยินมาร่วมงานเจ้าค่ะ!” นายหญิงเซี่ยงพูดคุยกับไท่ฮูหยินสองสามประโยค จากนั้นก็ไปที่เรือนของฮูหยินสอง เพราะบุตรสาวคนโตของตัวเองจะแต่งงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปเชิญฮูหยินสอง ไม่ว่านางจะไปหรือไม่ไป มันก็ขึ้นอยู่กับนาง!
ฮูหยินสองรู้เช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นก็หมายความว่า อี้จยาต้องเดือดร้อนเพราะคุณหนูสองสกุลหัน?”
นายหญิงเซี่ยงไม่เคยพูดจาอ่อนโยนต่อหน้าฮูหยินสอง นางยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะว่าเราอยากหาคนที่ดีกว่านี้ให้อี้จยา”
พี่ชายของตัวเอง ตนจะไม่รู้นิสัยของเขาได้อย่างไร
พี่ชายคือซื่อจื่อของตระกูล ดังนั้นเขาจึงอยากมีหลานชาย ยิ่งไปกว่านั้น การสอบบัณฑิตซิ่วไฉไม่ผ่านเป็นเรื่องธรรมดา บางคนยังต้องสอบตั้งแปดครั้งหรือสิบครั้งกว่าจะผ่าน คนอื่นไม่รู้ แต่ว่าเขาคือคนที่เคยสอบบัณฑิตซิ่วไฉ จู่เหรินและบัณฑิตชั้นสูงมาก่อน เขาจะไม่รู้ได้เช่นไร เขาไม่มีทางปฏิเสธเรื่องแต่งงานของคนอื่นเพียงเพราะเรื่องนี้แน่นอน
นายหญิงเซี่ยงหลอกคนอื่นได้ แต่ไม่มีทางหลอกตนได้!
ฮูหยินสองยิ้มอย่างแผ่วเบา
สายตาที่มองนายหญิงเซี่ยงของนางกลับมีความเย้ยหยัน
นายหญิงเซี่ยงไม่พอใจ พูดคุยสองสามประโยคก็จะกลับจวน ไม่ว่าฮูหยินสอง ฮูหยินสี่เละไท่ฮูหยินจะเชิญนางทานข้าว นางก็ยืนกรานที่จะกลับ “ข้าพึ่งจะกลับมา มีเรื่องหลายเรื่องที่ต้องจัดการ วันอื่นค่อยมาคารวะไท่ฮูหยินและฮูหยินสองสามท่านเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินเห็นว่านายหญิงเซี่ยงยืนกรานที่จะกลับ จึงบอกให้สืออีเหนียงออกไปส่งนายหญิงเซี่ยง
“ดูเหมือนว่า ข่าวลือที่ว่าคุณชายคนโตของสกุลเซี่ยงดวงพิฆาตภรรยาคือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ” ไท่ฮูหยินพูดเรื่องสกุลเซี่ยงกับป้าตู้เบาๆ
ป้าตู้นึกถึงความโกลาหลครั้งก่อนของคุณนายน้อยใหญ่ นางยิ้มแล้วพูดว่า “นี่มันเป็นเรื่องนานาจิตตัง ต่างจิตต่างใจกันเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ มันเป็นเรื่องของคนอื่น นางจึงไม่สนใจ เมื่อถึงวันที่สามเดือนสอง นางก็แต่งตัวไปดื่มสุราแสดงความยินดีที่สกุลเซี่ยงกับฮูหยินสอง สืออีเหนียงและฮูหยินห้า
ใต้เท้าเซี่ยงรับตำแหน่งอยู่ข้างนอก นายหญิงเซี่ยงจึงเป็นคนจัดการเรื่องในจวน เพราะว่าไม่ใช่งานแต่ง จึงมีโต๊ะแค่สิบกว่าโต๊ะ ล้วนแต่เป็นญาติสนิทมิตรสหายที่สนิทสนมกัน พูดอะไรกันก็ได้ หยอกล้อกันเองบ้าง ทำให้บรรยากาศดูกลมกลืน แต่แขกพวกนี้ ไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงและฮูหยินห้านั้นไม่รู้จัก พวกนางไปนั่งอยู่ที่โถงบุปผาเล็กที่คั่นด้วยม่านกันลมในโถงบุปผา ถึงแม้ว่าจะเงียบเหงา แต่กลับได้ยินเสียงคนข้างนอก ไม่ถึงกับเงียบเหงาจนเกินไป แล้วยังสามารถทักทายคนข้างนอก ทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า จัดการได้ชาญฉลาดอย่างมาก
ทุกครั้งที่มีแขกเข้ามา เสียงคำนับ เสียงถามไถ่ เสียร่ำลาก็ดังเข้ามาเสมอ
มีคนยืนอยู่หน้าม่านกั้นลม “…เห็นฮูหยินที่ถือผ้าไหมเซียงอวิ๋นซาคนนั้นหรือไม่ คนนั้นคือแม่สามีในอนาคตของคุณหนูสามสกุลเซี่ยง”
“ข้าได้ยินมาว่าแซ่กง เป็นคนเมืองจิงโจวมณฑลหูก่วง เหตุใดถึงยอมให้บุตรสาวแต่งงานออกไปอยู่ไกลขนาดนั้น”
“พวกเขาเป็นสกุลใหญ่สกุลโตแห่งหูก่วง เป็นสกุลขุนนางมาหลายชั่วอายุ ในตระกูลมีคนที่มีชื่อเสียง บางทีท่านบุตรเขยในอนาคตอาจจะเป็นคนขยันขันแข็งก็ได้ เรียนหนังสือที่สำนักศึกษาก่อน แล้วค่อยไปรับตำแหน่งที่สำนักศึกษาฮั่นหลิน เมื่อออกมาแล้วสถานะก็ยืนหยัดมั่นคงพอดี ดีกว่าตระกูลพวกเราตั้งเยอะ หากสามีไม่ออกไปเป็นขุนนาง ก็รู้สึกว่าลูกๆ ไม่มีอนาคต หากออกไปรับตำแหน่งขุนนาง ก็ต้องออกไปรับตำแหน่งไกลบ้านเกิดยังไม่พอ ทิ้งให้ภรรยาอยู่ที่เรือนคนเดียว แล้วจะแตกต่างอะไรจากหวังเป่าช่วนเล่า[1]”
“พูดได้ไม่เลว!” อีกคนหนึ่งหัวเราะเยาะนาง “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว การสอบบัณฑิตชั้นสูง สอบทั่นฮวาพวกนี้ เป็นเรื่องที่ง่ายดายเช่นนั้นหรือ…”
ไท่ฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างในยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้คุณหนูสามสกุลเซี่ยงจะแต่งงานออกไปอยู่ที่หูก่วง แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูสองแต่งงานกับใคร”
ในขณะที่นางกำลังพูด ฮูหยินสองก็เดินเข้ามา
สีหน้าของนางดูเป็นธรรมชาติแต่สายตาของนางกลับมีความเย็นชา ท่าทียังเคร่งขรึม
ไท่ฮูหยินรู้ว่านางไม่ค่อยสนิทสนมกับพี่สะใภ้ของตัวเอง กลัวว่านางเป็นเช่นนี้สืออีเหนียงและฮูหยินห้าจะถาม จึงรีบลากนางมาหาตัวเอง ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ามาได้เวลาพอดี เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าคุณหนูสามจะแต่งงานออกไปอยู่ที่หูก่วง ไม่รู้ว่าคนสกุลโจวเป็นคนที่ไหนเช่นนั้นหรือ”
ฮูหยินสองสีหน้าผ่อนคลายลง นางยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นคนมณฑลเจียงซีเมืองหยงเฟิงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้าอุทาน “ไอ๊หยา” แล้วพูดต่อไปว่า “คุณหนูใหญ่แต่งงานไปอยู่ที่เมืองหยงเฟิงมณฑลเจียงซี คุณหนูสามแต่งงานไปอยู่ที่เมืองจิงโจวมณฑลหูก่วง…นายหญิงเซี่ยงช่างใจกว้างเสียจริง แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูสองแต่งงานกับใครหรือเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้ถามนาง!” ฮูหยินสองพูดด้วยรอยยิ้ม “บุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้วนั้นราวกับน้ำที่สาดออกไปแล้ว ถึงตอนนั้นข้ามาดื่มสุราแสดงความยินดีก็พอแล้ว!”
จู่ๆ บรรยากาศก็เยือกเย็นลง
ฮูหยินห้าเคยได้ยินข่าวลือว่า ฮูหยินสองอยากให้คุณหนูสองสกุลเซี่ยงแต่งงานกับคุณชายน้อยสอง
หากเป็นคนอื่นนางคงจะหยอกล้อสักหน่อย แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฮูหยินสอง นางจึงอดไม่ได้ที่จะลังเล
สืออีเหนียงเองก็กำลังคิดเรื่องเดียวกับฮูหยินห้า
ฟังจากน้ำเสียงของฮูหยินสองแล้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากพูดเรื่องนี้
เรื่องนี้คงมีลับลมคมในกระมัง
นางกลับไปถามสวีลิ่งอี๋ “สกุลโจวแห่งเมืองหยงเฟิงมณฑลเจียงซี คือสกุลใหญ่สกุลโตในท้องถิ่นหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยรอยยิ้ม “สกุลของพวกเขามีคนเป็นขุนนางทุกชั่วอายุคน ตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนจนถึงราชวงศ์ปัจจุบัน สกุลเขามีบัณฑิตชั้นสูงประมาณยี่สิบกว่าคน ดังนั้นจึงมีคนพูดล้อว่า ‘หากไม่มีสกุลโจวก็ไร้ซึ่งบัณฑิตชั้นสูง’”
สืออีเหนียงครุ่นคิด เล่าเรื่องที่สกุลเซี่ยงและสกุลโจวแต่งงานกันให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้คิดอะไร แค่พูดว่า “ใต้เท้าเซี่ยงเป็นคนมองการณ์ไกล”
ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ ป้าฟัง ป้ารับใช้ของคุณนายน้อยใหญ่มาเจ้าค่ะ!”
“ดึกขนาดนี้? มีเรื่องอันใดหรือ” สืออีเหนียงเดินไปที่ห้องโถง จากนั้นก็กลับมาอย่างรวดเร็ว “ท่านโหว คุณนายน้อยใหญ่มีข่าวดีแล้วเจ้าค่ะ ป้าฟังมารายงานตามคำสั่งของคุณชายน้อยใหญ่และคุณนายน้อยใหญ่!”
[1]หวังเป่าช่วน ตัวเอกหญิงในละครเพลงงิ้วเรื่องหนึ่งที่มีบิดาเป็นขุนนางใหญ่ ต้องพลัดพรากจากสามีและอยู่ตัวคนเดียวถึง 18 ปี ก่อนจะได้กลับมารักกัน