“ทำไมท่านถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสาม?” ผู้อาวุโสอู่กดดัน ”ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลง เส้นผมของเขาปิดบังดวงตาเรียวรีที่เป็นประกายระยับด้วยความเย็นชาเอาไว้ได้พอดิบพอดี
ผู้อาวุโสอู่เห็นปฏิกิริยาของเขา และคิดว่าองค์ชายสามคงอับจนวาจาเสียแล้ว
แต่ในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยเสริมขึ้น จู่ๆ ก็มีเสียงโครมดังขึ้นอีกครั้ง!
ประตูของตำหนักเจาหยางเปิดออกเพราะลูกถีบของคนคนหนึ่ง!
คนคนนั้นถืออะไรบางอย่างที่หน้าตาคล้ายกับท่อยาวสีดำเอาไว้ในมือ อีกทั้งยังมีช่วงขาเรียวยาว และมีรอยยิ้มอยู่บนมุมปาก เมื่อบวกผิวพรรณอันงดงามเข้าไปด้วยแล้ว คนคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่นเอง
ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อยขณะเอนกายพิงประตู นางยืนอยู่ไม่ห่างจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่าใดนัก และดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ”ผู้อาวุโสอู่ ใครบอกท่านหรือว่าพวกข้าเป็นคนของกองทหารรักษาการณ์”
“ท่าน… ท่าน…!” ผู้อาวุโสอู่คิดไม่ถึงเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะกลับมาในลักษณะนี้ เขาคิดว่านางกลับไปที่ตำหนักจิ่วฉงเพราะรู้สึกไม่สบายเสียอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกนิ้วขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก ท่าทางของนางตอนผิวปากดูหล่อเหลาเอาการทีเดียว
ชายชุดดำจำนวนสิบสองคนกระโดดลงมาพร้อมกัน แต่ทุกคนกลับดูมีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง
พวกเขาทุกคนล้วนแต่มีร่างกายอันยอดเยี่ยม บ้างก็บึกบึน บ้างก็หล่อเหลา และบ้างก็มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า พวกเขามีผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่รอบแขน แต่ละคนถือปืนกลและปืนซุ่มยิงเอาไว้ในมือ ท่าทางของพวกเขาล้วนแต่ไม่ธรรมดา ท่ามกลางความดุดันเย็นชานั้นแฝงไปด้วยจิตสังหารอันแข็งแกร่ง!
หัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ร้องขึ้นราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ พร้อมกับชี้ไปที่ชายกลุ่มนั้น ”ฝ่าบาท! เป็นพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ ยี่สิบคนนี้คือคนที่ยับยั้งกองกำลังกบฏเหล่านั้นเอาไว้ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ!”
คนเพียงยี่สิบคนหยุดกองกำลังกบฏหัวรุนแรงพวกนั้นได้อย่างนั้นหรือ??!!
เป็นไปไม่ได้!
พวกเขาทำได้อย่างไร
ทุกคนมองคนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานต่อกันอยู่นั้น สายตาของพวกเขาแสดงออกถึงความสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง
“เอาล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วส่งยิ้มกว้างให้กับผู้อาวุโสอู่ ท่าทางของนางดูจองหองอวดดีและทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง ”บอกผู้อาวุโสอู่กับฮ่องเต้สิว่าพวกเจ้าเป็นใคร”
“ขอรับ!” ชายเหล่านั้นตอบอย่างพร้อมเพรียงด้วยเสียงอันดัง เสียงนั้นสะเทือนไปทั่วทั้งตำหนักเจาหยาง ”พวกเราคือกองกำลังลับจากจวนเฮ่อเหลียน!”
อะไรนะ?!
กองกำลังลับหรือ?!
ผู้อาวุโสอู่เซไปข้างหลัง เขารู้สึกเย็นสะท้านไปทั่วสันหลังราวกับเพิ่งถูกน้ำเย็นสาดใส่ตั้งแต่หัวจรดเท้า!
ฝูงชนผุดลุกขึ้นพร้อมกับส่งเสียงดังเซ็งแซ่ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง!
ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้รู้จักตำนานของกองกำลังลับเป็นอย่างดี!
พวกเขาหลายคนหวังว่าจะได้เห็นกองกำลังที่องอาจกล้าหาญและแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิจ้านหลงเป็นบุญตาสักครั้ง!
แต่กองกำลังลับดูเหมือนจะหายสาบสูญไปหลังจากการตายของนายท่านอาวุโสเฮ่อเหลียน
แม้ก่อนหน้านี้จะมีเสียงลือว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยได้รับการยอมรับจากกองกำลังลับ แต่ผู้คนก็ยังนึกสงสัยกับเรื่องนั้นอยู่
พวกเขาไม่เคยเห็นกองกำลังลับมาก่อน ดังนั้นสำหรับพวกเขามันจึงเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น
แต่ตอนนี้!
กองกำลังลับมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขาแล้ว!
“ฝ่าบาท” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้น ”หม่อมฉันคิดว่าท่านคงไม่มีเหตุผลให้สงสัยในตัวองค์ชายสามแล้วเพคะ เขาไม่ได้ออกคำสั่งกับกองทหารรักษาการณ์ แต่สั่งให้พวกเรากองกำลังลับมาปกป้องวังหลวงและดูแลความปลอดภัยของท่านแทนเพคะ อย่างไรเสียเวลานี้ก็มีพระอาจารย์ชื่อดังหลายท่านอยู่ในวังหลวง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดหากใครสักคนจะใช้โอกาสนี้ก่อความวุ่นวายขึ้น แต่โชคร้ายยิ่งนัก แม้กระทั่งองค์ชายสามท่านก็ยังไม่เชื่อใจ แล้วนับประสาอะไรกับหม่อมฉัน และเป็นเพราะว่าผู้อาวุโสเอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีเราทั้งสองตามใจชอบอยู่นี่ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่พวกเราจะมาได้ทันเวลา จนกลายเป็นการเปิดช่องว่างให้กองกำลังกบฏเหล่านั้นได้มีโอกาสหายใจ ฝ่าบาทเป็นผู้มีอัจฉริยภาพ ดังนั้นหม่อมฉันหวังว่าท่านคงไม่ลงโทษที่เรามาถึงล่าช้าใช่ไหมเพคะ”
คำพูดที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดกับฮ่องเต้นั้นไม่ต่างจากก้างที่คาคอเขาอยู่ ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของนางดูเหมือนจะเป็นการตบหน้าฮ่องเต้เข้าอย่างจัง
แต่เขาไม่สามารถโกรธนางได้!
ไม่มีฮ่องเต้คนใดที่จะตำหนิผู้ที่ทำความดีต่อหน้าสาธารณชนได้!
หากเขาทำเช่นนั้น ไม่ใช่แค่มันจะทำให้เขาดูชั่วร้ายในสายตาประชาชน แต่การกระทำของเขาย่อมถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์อีกด้วย
เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกตราหน้าว่าเป็นฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเด็ดขาด!
ดังนั้นไม่ว่าฮ่องเต้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด แต่สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือการอดทนกับมันเท่านั้น เขายึดที่เท้าแขนของบัลลังก์มังกรไว้แน่น และฝืนปั้นรอยยิ้มกว้างออกมา ”ขันทีเกา!”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ขันทีเกาคาดเดาอารมณ์ของฮ่องเต้ไม่ออก เขาตัวสั่นระริกตอนที่ถูกเรียกชื่อ
ฮ่องเต้มองเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับจิกที่เท้าแขนของบัลลังก์มังกรนั้น ”ประกาศออกไปว่าพระชายาสามทำคุณงามความดีด้วยการปกป้องฮ่องเต้ และจะได้รับรางวัลอย่างงดงาม!”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ขันทีเกาก้มหน้า แล้วเดินออกไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”ฝ่าบาทไม่ต้องรีบร้อนให้รางวัลหม่อมฉันหรอก ท่านยังไม่ได้จัดการกับความผิดร้ายแรงของผู้อาวุโสอู่ข้อหาใส่ร้ายองค์ชายเลยเพคะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของนาง รอยยิ้มของฮ่องเต้ก็หุบลงทันที ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกไม่พอใจ
คนฉลาดเช่นเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรู้ว่าในตอนนี้นางเสียมารยาทต่อฮ่องเต้มากเพียงใด
แต่นิสัยอันเป็นเอกลักษณ์ของนางนี่เองที่เป็นตัวปกป้องจุดอ่อนของนางเอาไว้ได้อย่างดี
พ่อที่จัดฉากใส่ร้ายลูกชายตัวเองว่าเป็นกบฏเพียงเพื่อปกป้องบัลลังก์และชื่อเสียงของตัวเองอย่างเขา
พ่ออย่างเขาไม่สมควรจะเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ!
อาจเป็นเพราะเห็นว่าใบหน้าเล็กๆ ของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงยื่นมือออกไปแล้วกอดนางจากทางด้านหลัง พร้อมกับกระซิบว่า ”เวยเวย…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปมองเขา แล้วปลอบเขาว่า ”ไม่เป็นไร ตราบใดที่มีข้าอยู่ด้วย จะไม่มีใครทำให้ท่านทุกข์ใจได้เด็ดขาด!”
อันที่จริงเขาอยากบอกให้นางปล่อยทุกอย่างให้เขาจัดการ ถ้าเขาเป็นคนลงมือเอง คนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเขาจะต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าอย่างแน่นอน
แต่องค์ชายก็จัดว่าไร้ยางอายใช่เล่นเมื่อเป็นเรื่องนี้
เขายอมทำตามสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยแนะนำ แล้วจึงเอ่ยต่อ
เสียงของเขาแผ่วลงเล็กน้อย มันฟังดูเหมือนเขากำลังถอนหายใจอยู่ ”คงเป็นเพราะข้าไม่เคยได้รับความรักมาตั้งแต่ยังเด็กกระมัง ข้าจึงชินกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเสียแล้ว ก็แค่ยากจะทำใจได้นิดหน่อยเท่านั้น คืนนี้เจ้าดื่มเป็นเพื่อนข้าได้หรือเปล่า”
“ได้สิ!”
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมตกลง!
นางพร้อมจะต้มเหล้าให้องค์ชายดื่มด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับการดื่มเป็นเพื่อนเขา
“ท่านอย่ารู้สึกแย่กับมันเกินไปนักเลย”
หากเป็นเรื่องของการปลอบใจผู้คนนั้น ราชินีเวยเวยของพวกเรามักจะอยู่ข้างผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ นางปล่อยให้องค์ชายรั้งนางเอาไว้ให้อยู่กับที่ พร้อมกับทิ้งน้ำหนักเกือบทั้งตัวลงที่ร่างนาง การกระทำของเขาทำให้ไหล่ของนางสั่นเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขาคงกำลังทุกข์ทรมานอย่างมาก นางจึงพยายามปลอบเขาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่นางไม่เคยทำมาก่อนในขณะที่องค์ชายกลับเผยรอยยิ้มกว้างและสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมา
หนานกงเลี่ยเป็นคนที่อยู่ใกล้กับทั้งสองคนที่สุด แน่นอนว่าเขาย่อมเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น มุมปากของเขากระตุกตั้งแต่ต้นจนจบ
ต่อให้เขาจะเป็นพี่น้องที่โตมาพร้อมกับองค์ชาย แต่เขาก็คงต้องขอตำหนิอีกฝ่ายเสียหน่อย!
อาเจวี๋ยช่างหน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ!
ผู้อาวุโสอู่คงหัวกระแทกกับอะไรมากระมัง ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงคิดที่จะใส่ร้ายอาเจวี๋ยแทนที่จะเป็นคนอื่นล่ะ
หลังจากความกังวลที่มีจางหายไป หนานกงเลี่ยก็กลับมาปั้นหน้าหล่อพร้อมกับยกพัดขนนกสีขาวขึ้นมาไว้ในมือ จากนั้นเขาจึงหันหน้าไปมองทางผู้อาวุโสอู่ที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน ดวงตาของเขายังคงสงบนิ่งราวกับผืนน้ำ แต่มันกลับมีความพอใจปรากฏอยู่ ตาคู่นั้นทำให้ผู้อาวุโสอู่รู้สึกแย่ยิ่งกว่าตายเสียอีก
จบสิ้นแล้ว!
คราวนี้แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ไม่อาจปกป้องเขาได้…