“บังอาจ!” ฮ่องเต้ที่พยายามรักษาความสง่างามของตัวเองมาตลอดเริ่มไอออกมาอย่างรุนแรงหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น
สาเหตุนั้นไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ลูกชายที่เขาหวาดกลัวมาโดยตลอด
เขาเพียงแค่มองเขากลับมา และไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
มันทำให้ฮ่องเต้นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ตอนนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังไม่โตเท่าไรนัก แต่เขากลับยืนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของวังหลวงด้วยบรรยากาศชวนขนลุกหลังจากเหตุเพลิงไหม้จบลง เขาจ้องมองมาที่เขาด้วยตาข้างซ้ายที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม และจิตสังหารที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
ฮ่องเต้นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นสายตาของเด็ก
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเข้าใกล้เด็กคนนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่มีใครรู้จักความโหดเหี้ยมอำมหิตของบุตรชายคนที่สามของเขาดีไปกว่าเขา และในไม่ช้าชายผู้นี้จะต้องช่วงชิงบัลลังก์ของเขาไปอย่างแน่นอน!
ฮ่องเต้หลับตาแน่น แต่เขาจำต้องข่มความโกรธของตัวเองเอาไว้ เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่าบุตรชายของเขาไม่ใช่คนที่ใครจะล้อเล่นด้วยได้
เพราะเขาเข้าใจ ดังนั้นเขาจึงต้องการกำจัดเขา…
แต่ไม่สามารถกำจัดเขาได้ในเวลานี้
มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะข้างนอกนั้นก็มีกบฏ ส่วนข้างในก็มีบรรดาเสนาบดีอยู่
ฮ่องเต้หลุบตาลง ก่อนเคลื่อนไปมองผู้อาวุโสอู่ที่ตกอยู่ในสภาพสับสน จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อยาวแล้วเอ่ยว่า ”เหล่าอู่ เจ้าทำตัวเองเอง!” ดูเหมือนเขาจะไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวของผู้อาวุโสอู่อีก เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไร มันก็มีแต่จะเตือนให้เขารู้ว่าภาพลักษณ์ในฐานะฮ่องเต้เสื่อมเสียไปมากเพียงใดในครั้งนี้
“เราควรทำเช่นใดต่อหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเกาติดตามรับใช้ฮ่องเต้มาหลายปี ดังนั้นเขาจึงสามารถคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ได้อย่างแม่นยำ เขารู้ว่าเขาต้องเปิดโอกาสให้ฮ่องเต้พาตัวเองออกจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้
ฮ่องเต้สาวเท้าออกเดิน พร้อมกับเอ่ยว่า ”ให้องค์ชายสามจัดการ” จากนั้นเขาก็เดินหายเข้าไปหลังประตูวัง ทิ้งไว้เพียงแค่เพลิงโทสะของตัวเองเท่านั้น
แต่ความโกรธของเขาก็ไม่ได้มีผลต่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลยแม้แต่น้อย
เขาหมุนแหวนเงินในมืออย่างช้าๆ และเดินเข้าไปหาผู้อาวุโสอู่…
ตุ้บ!
ผู้อาวุโสอู่ไม่สามารถต้านทานความเย็นที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจได้อีกต่อไป เขาทรุดลงไปนั่งคุกเข่าพร้อมกับเหงื่อที่ปกคลุมไปทั่วหน้าผาก มือของเขาสั่นอย่างรุนแรง เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงแพ้ได้!
ราวกับมองเห็นความคิดนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปคว้าต้นคอของอีกฝ่าย ก่อนจะยกเขาขึ้น เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาที่ได้ยินกันแค่เพียงสองคนว่า ”เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าประตูวังหลวงจะเปิดได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น”
“ท่าน… ท่าน!”
เขารู้ได้อย่างไร!
ไม่มีทาง!
ถ้าเขารู้อยู่แล้ว ทำไมเขาถึงจงใจมองข้ามไป และปล่อยให้พวกเขาบุกจู่โจมวังหลวงล่ะ
“ทำไม! ทำไมกัน!” เขาควรจะหยุดมันตั้งแต่แรกสิ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกริมฝีปากบางขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”ทำไมน่ะรึ เพราะเจ้าเกี่ยวข้องกับการพาพระอาจารย์ชื่อดังจำนวนมากเข้ามาที่นี่เพื่อพรากเหยื่อสุดที่รักของข้าไปอย่างไรล่ะ ให้เจ้าได้พบกับความพ่ายแพ้ยังนับว่าเป็นบทเรียนที่เล็กน้อยเกินไป มันยังไม่พอเสียด้วยซ้ำ ฮ่องเต้เองก็เช่นกัน…”
“ฮ่องเต้หรือ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ด้วยหรือ” ผู้อาวุโสอู่รู้สึกสับสนยิ่งกว่าเดิม เขาไม่เข้าใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาจะได้ประโยชน์อะไรหากปัญหานี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาเย็นชาขึ้นมองเขา ”ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่อยากสอนบทเรียนให้กับคนที่เรียกตัวเองว่าฮ่องเต้คนนั้นก็เท่านั้น เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้าจะสามารถบุกโจมตีวังหลวงได้ด้วยความสามารถของตัวเองเพียงคนเดียว”
“ท่าน จริงๆ แล้วคนที่ท่านต้องการจัดการจริงๆ ก็คือ… ก็คือ…!” ดวงตาของผู้อาวุโสอู่เบิกกว้าง แต่ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็พลันรู้สึกได้ถึงอาการกระตุกที่ช่วงอก จากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธสุดขีด!
เขาจะยอมรับเรื่องนั้นได้อย่างไร!
แผนการทั้งหมดที่เขาสู้อุตส่าห์คิดขึ้นมาด้วยความรอบคอบนั้นกลับเป็นเพียงหมากสำหรับอีกฝ่ายเท่านั้น!
“ข้าต้องขอบใจผู้อาวุโสอู่สำหรับเรื่องนั้นด้วย” องค์ชายเป็นชายผู้ชั่วร้ายที่สามารถทำให้คนอื่นโกรธจนอกแตกตายได้โดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากบางของเขากระตุกขึ้น ”ถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาที่ผู้อาวุโสอู่ก่อขึ้น ข้าคงจำเป็นต้องนำเรื่องกฎและชื่อเสียงใดๆ มาไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนจึงจะสามารถสอนบทเรียนให้กับเสด็จพ่อของข้าได้ แม้ว่าข้าจะไม่เคยสนใจว่าคนทั้งโลกจะมองข้าอย่างไร แต่ข้าก็ยังมีคนที่ข้าห่วงใยอยู่คนหนึ่ง ข้าไม่อยากเป็นปีศาจมือเปื้อนเลือดในสายตาของนาง ดังนั้นวิธีการนี้จึงดีกว่ามาก เพราะได้รับความร่วมมือจากผู้อาวุโสอู่ คนที่สมควรถูกสั่งสอนจึงถูกสั่งสอน และคนที่สมควรตายก็ถูกหั่นเป็นชิ้นแล้ว แต่ผู้อาวุโสอู่ ข้าต้องขอบอกว่าข้าไม่ได้เห็นคนที่โง่เช่นเจ้ามานานพอดู”
“เจ้า! เจ้า!” ผู้อาวุโสอู่ชี้นิ้วอันสั่นเทาใส่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาดูเหมือนคนที่กำลังจะหัวใจวายตาย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืดหลังตรง น้ำเสียงของเขายังคงสง่างามและคมกริบราวกับใบมีด ”พาตัวไป”
คำพูดง่ายๆ เพียงสามคำเต็มไปด้วยอำนาจที่สามารถสั่นคลอนโลกได้ทั้งใบ
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงาขานรับ
ผู้อาวุโสจ้านที่เฝ้ามองเหตุการณ์นี้อยู่นานตัวสั่น และสุดท้ายเขาจึงตั้งสติกลับมาได้หลังจากเห็นสหายของตนถูกลากออกไปกับตาตัวเอง เขาไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียวเพราะความหวาดกลัวอันรุนแรงที่มีอยู่ภายในใจ
ผู้อาวุโสจ้านรู้สึกขอบคุณตัวเองยิ่งนักที่เขาเพียงแค่เห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้อาวุโสอู่ แต่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับมัน
เมื่อนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหากเขาเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้…
ผู้อาวุโสจ้านไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้อีก ดังนั้นเขาจึงหลับตาลง เขาเพียงแค่ต้องการซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนเท่านั้น
แต่นิ้วของเขาก็ต้องหยุดเคลื่อนไหวเมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้ามาหา และหยุดลงตรงหน้าของเขา เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจงใจหรือไม่
ทันใดนั้นหนังศีรษะของผู้อาวุโสจ้านก็เย็นวาบ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมา ก่อนจะเดินผ่านเขาไป
ผู้อาวุโสจ้านคิดกับตัวเองว่า เมื่อครู่นี้องค์ชายจงใจขู่ให้เขากลัวใช่หรือเปล่า! เอ๋?! อย่าหลอกข้าเล่นเช่นนั้นเลย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปด้านข้าง ความสงสัยปรากฏอยู่บนใบหน้างดงามของนาง ”ท่านพูดอะไรกับผู้อาวุโสอู่หรือ ทำไมเขาถึงได้โกรธถึงเพียงนั้นล่ะ”
“ไม่มีอะไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพานางมายืนอยู่ข้างๆ ”ข้าเพียงแค่ใจดีช่วยสอนกลยุทธ์การเดินหมากให้เขาเล็กน้อยเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”ท่านสอนเขาเล่นหมากรุกเวลานี้หรือ”
“ก็เขาถามข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำหน้าตาไร้เดียงสาใส่นาง
ผู้อาวุโสอู่มีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ด้วยหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยสงสัยอย่างมาก แต่ในเมื่อปัญหาได้รับการคลี่คลายแล้ว นางย่อมไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งที่อยู่ในมืออีกต่อไป นางส่งปืนซุ่มยิงให้กับองค์ชายเจ็ดที่กำลังเคี้ยวซาลาเปาไส้ถั่วอยู่
เด็กชายตัวน้อยหยิบมันขึ้นมาอย่างสบายๆ เขาจับมันหมุนแล้วเล็งไปทางหนานกงเลี่ยที่เพิ่งแย่งซาลาเปาไส้ถั่วไปจากเขา
รอยยิ้มชั่วร้ายของหนานกงเลี่ยแข็งค้าง เขาสะดุ้งโหยงในทันใด ”เฮ้ย! เจ้าเจ็ด เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ! เจ้าจะเที่ยวเอาของพรรค์นี้ไปเล็งใครต่อใครไม่ได้นะ! บัดซบ! เจ้าเอาจริงหรือ อาเจวี๋ย อาเจวี๋ย รีบห้ามเขาเร็วเข้า! รีบห้ามเจ้าเด็กเห็นแก่กินนี่เร็ว!”
ไม่มีใครสามารถห้ามความบันเทิงขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยในการใช้ปืนยาววิ่งไล่หนานกงเลี่ยได้ เมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้น เด็กชายตัวน้อยจะกลายเป็นคนโหดร้ายขึ้นมาทันที แม้กระทั่งขันทีทั้งกลุ่มที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยังไม่สามารถหยุดเขาได้
แต่อย่างไรองค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็เชื่อฟังแค่เพียงคำพูดขององค์ชายสามมาแต่ไหนแต่ไร…