ตอนที่ 574 หวังเหวินฟางถามเรื่องแต่งงาน
เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในบ้าน เคอจื่อฉิงก็รีบพุ่งตัวเข้ามาหาพวกเขาด้วยสีหน้าถมึงทึง ชี้นิ้วไปทางประตู พร้อมกับขมวดคิ้วและขับไล่ให้เฉินเฟิงออกไปจากที่นี่
เฉินเฟิงกดมือของหล่อนที่กำลังชี้ไปทางประตู แล้วพูดอย่างจนปัญญา “ถ้าฉันไป แล้วใครจะแต่งงานกับเธอล่ะ!”
ทันทีที่เคอจื่อฉิงได้ยินแบบนั้น หล่อนก็วิ่งไปด้านข้างทันที คว้าเก้าอี้กลมตัวเล็กที่ใช้นั่งระหว่างเปลี่ยนรองเท้าแล้วขว้างไปทางเฉินเฟิง “ไม่มีใครอยากแต่งกับฉันก็ช่างหัวมันสิ”
เจตนาที่แท้จริงในคำพูดของเฉินเฟิงคือถ้าหล่อนขับไล่เขาออกไป เขาก็จะขอหล่อนแต่งงานไม่ได้
แต่ภาษาจีนนั้นมีความหมายกว้างและลึกซึ้งเกินไป ‘ใคร’ ในวลี ‘ใครจะแต่งงานกับเธอ’ อาจหมายถึงตัวเฉินเฟิงเอง หรืออาจหมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่เฉินเฟิงก็ได้
และถ้า ‘ใคร’ ที่ว่าไม่ใช่เฉินเฟิง ก็สามารถตีความไปได้อีกอย่างว่าเคอจื่อฉิงอาจจะไม่มีใครเอาแล้วนอกจากเขา
เคอจื่อฉิงที่กำลังหัวร้อนเข้าใจเป็นอย่างหลัง แล้วจะไม่ให้หล่อนโกรธได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าทั้งสองเริ่มไปกันใหญ่ หลินม่ายก็กลัวว่าทั้งสองอาจเริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง จึงรีบคว้าเก้าอี้ทรงกลมจากมือของเคอจื่อฉิงมาถือเอาไว้เอง “เธอเอาเก้าอี้ตัวนี้ทำร้ายเขาไม่ได้ เจ็บถึงตายได้เลยนะ”
หลังจากวางเก้าอี้ลงแล้ว เธอก็หันไปผลักเฉินเฟิงออกจากห้องนั่งเล่น “นายกลับไปก่อนเถอะ รอให้อารมณ์ของจื่อฉิงคงที่แล้วค่อยกลับมาอีก”
เฉินเฟิงเดินอ้อมหลินม่ายไปหาเคอจื่อฉิงที่ยืนอยู่ข้างหลัง พูดเบา ๆ ว่า “งั้นฉันไปก่อนนะ เธอก็พักอยู่ที่บ้านของม่ายจื่อไปก่อนก็แล้วกัน”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ รองเท้าข้างหนึ่งก็ถูกปามาโดนหน้าผากของเขา “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี!”
หลินม่ายออกไปส่งเฉินเฟิงถึงหน้าประตูลานบ้าน
เฉินเฟิงหยุดเดิน ส่งยิ้มให้เธออย่างเสียไม่ได้ เรียกชื่อเธอว่า “ม่ายจื่อ…”
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองเขา “มีอะไรเหรอ?”
เขาฝืนยิ้มให้เธออีกครั้ง รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยคำขอโทษ “ฉันทำให้เธอเป็นผู้หญิงคนแรกของฉันไม่ได้อีกแล้ว…”
หลินม่ายยิ้มตอบอย่างสดใส “นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี นายอย่าคิดมากเลย เกรงว่าถ้านายยกให้ฉันเป็นผู้หญิงคนแรก จะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับฉันซะเปล่า!”
เพื่อนรักต่างเพศทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม คนหนึ่งเดินจากไป อีกคนเดินกลับเข้าไปในบ้าน
เคอจื่อฉิงนอนหลับไม่ลงเลยตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น แถมยังต้องทุบตีกับเฉินเฟิงมาตลอดทาง ใช้พละกำลังไปมากในการต่อต้านเขา
ถึงแม้หล่อนจะเคยเป็นถึงนักกีฬาทีมชาติ และมีเรี่ยวแรงที่ล้นเหลืออยู่แล้ว แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่าค่อนข้างอ่อนล้า
เมื่อหลินม่ายเดินกลับเข้ามาในบ้าน เคอจื่อฉิงที่ดื่มนมจนหมดแก้วก็ผล็อยหลับไปบนโซฟา
ห้องนั่งเล่นมีเตาผิงอยู่ก็จริง มันให้ความอบอุ่นมากพอสมควร แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับคลายหนาวให้กับหญิงสาวที่นอนอยู่ในห้องนั่งเล่น
หลินม่ายปลุกหล่อน ก่อนจะอาศัยจังหวะที่หล่อนกำลังมึนงงพาขึ้นไปนอนในห้องของตัวเอง หลังจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอาหารกลางวันต่อ
ก่อนที่อาหารกลางวันทั้งหมดจะเสร็จสรรพ คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาก็กลับมาพร้อมกับโต้วโต้วและอาหวง
คุณย่าฟางเห็นรองเท้าหนังคู่เล็กของเคอจื่อฉิงวางอยู่หน้าประตู จึงถามว่า “ใครมาที่นี่เหรอ?”
หลินม่ายตอบว่าเคอจื่อฉิงแวะมาหาเธอเมื่อกี้นี้
คุณย่าฟางพูดอย่างเป็นกันเอง “นี่ไม่ใช่วันหยุดเสียหน่อย ทำไมถึงหาเวลาว่างมาหาเธอถึงที่นี่ได้?”
หลินม่ายไม่อยากบอกความจริง ดังนั้นจึงให้เหตุผลไปว่าเพื่อนสาวประสบปัญหา จึงมาหาเธอเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและเปิดหูเปิดตา
ตอนเที่ยง ฟางจั๋วหรานที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านก็ปั่นจักรยานกลับมาพร้อมกับถังแก๊สและเตาแก๊ส ทำให้หลินม่ายตื่นเต้นดีใจมาก
ในที่สุดก็ได้รับอุปกรณ์แก๊สที่ลงทะเบียนไว้กับทางมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้เสียที จากนี้เธอจะได้ไม่ต้องใช้เตาถ่านหินในการปรุงอาหารอีกต่อไป
อาจเป็นเพราะอาหารแสนอร่อย หลังมื้อเที่ยง อารมณ์ของเคอจื่อฉิงจึงค่อนข้างคงที่
หลินม่ายรอจนกว่าหล่อนจะตื่นจากการงีบหลับ จากนั้นก็พาหล่อนไปซื้อเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าคู่ใหม่
ถึงเคอจื่อฉิงจะใส่เสื้อผ้าของเธอได้ แต่เธอค่อนข้างเตี้ยกว่าเคอจื่อฉิงอยู่นิดหน่อย ถึงยังไงเคอจื่อฉิงก็ใส่ไม่พอดีตัว ดังนั้นจึงต้องซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ในระหว่างอยู่ที่นี่ใหม่
ผู้หญิงเป็นเหมือนเครื่องจักรกลที่ทำงานได้ตลอดเวลาโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อไปช้อปปิ้ง
หลินม่ายกับเคอจื่อฉิงเดินวนไปมาในห้างอยู่หลายชั่วโมง
พอออกมาข้างนอก สภาพอากาศค่อนข้างขมุกขมัว จนกระทั่งกลับถึงบ้านหิมะก็เริ่มตกหนัก
ไม่ต้องพูดถึงเคอจื่อฉิงที่ไม่เคยเห็นหิมะแรกเลยสักครั้งตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แม้แต่หลินม่ายก็เคยเห็นหิมะแรกแค่ไม่เกินสามครั้งด้วยซ้ำ
หญิงสาวสองคนมีความสุขมากเมื่อได้วิ่งฝ่าหิมะไปตลอดทาง
เมื่อพวกเธอเดินเข้าไปใกล้วิลล่าของหลินม่าย ก็เห็นว่าเฉินเฟิงเดินโฉบไปมาอยู่ที่ประตูลานบ้าน
เคอจื่อฉิงที่ยิ้มอย่างสดใสในตอนแรก จู่ ๆ ทำหน้าบูดบึ้งเหมือนเหม็นอะไรสักอย่าง
หล่อนจับแขนของหลินม่ายไว้แน่น กลอกตาใส่เฉินเฟิง แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ!”
เฉินเฟิงหันกลับมาเห็นพวกเธอเข้าพอดี จึงเดินตรงเข้ามาหา และพูดกับเคอจื่อฉิงว่า “จื่อฉิง เรามาคุยกันหน่อยได้ไหม?”
เคอจื่อฉิงสะบัดเสียงใส่ด้วยความเย่อหยิ่ง “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ!”
หลินม่ายจัดการผลักเธอไปหาเฉินเฟิง “ถึงยังไงเรื่องนั้นก็เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องได้รับการแก้ไข เธอควรเคลียร์กับเขาดี ๆ สิ”
เมื่อเห็นว่าเคอจื่อฉิงไม่ยอมขยับเขยื้อน หลินม่ายก็ขยับไปกระซิบข้างหู “เธอแน่ใจเหรอว่าตอนนั้นเฉินเฟิงเป็นฝ่ายรังแกเธอก่อนจริง ๆ ไม่ใช่เธอที่ไปปล้ำเขา?”
เห็นได้ชัดว่าเคอจื่อฉิงตกตะลึงมาก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่หลินม่ายสันนิษฐานจะเป็นความจริง
หล่อนทำแง่งอนอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ ฉันยอมเคลียร์กับเขาเพราะเห็นแก่หน้าเธอหรอกนะ”
หลังจากนั้น หล่อนก็เดินไปหาเฉินเฟิงอย่างไม่เต็มใจ
หลินม่ายไม่สนใจพวกเขาอีก เดินกลับเข้าบ้านไปทำอาหารมื้อเย็น
วันนี้หิมะตกหนัก ไม่ว่าอย่างไรก็เหมาะสมกับการกินหม้อไฟเป็นอย่างยิ่ง
ในตลาดไม่มีเนื้อแกะวางขายแล้ว เธอจึงเดินไปหลังบ้านแล้วเชือดห่านขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ใช้ห่านขาวตัวนั้นมาทำหม้อไฟ
ในขณะที่หลินม่ายกำลังพยายามเชือดห่านขาวตัวใหญ่ ฟางจั๋วเยวี่ยเพิ่งก้าวลงจากรถประจำทางหลังเลิกงานก็เห็นหวังเหวินฟางมายืนรอเขาอยู่ใต้ป้ายจอดรถเมล์
เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเดินไปหาหล่อน “ทำไมแม่ยังมาดักรอผมอีก?”
หวังเหวินฟางพูดด้วยความโกรธเคือง “แม่อยากพาแกไปเลี้ยงข้าวมื้อเย็นไม่ได้เชียวเหรอ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยปฏิเสธอย่างราบเรียบ “ผมไม่อยากกิน” แล้วก็เดินผละออกไปหลังจากพูดอย่างนั้น
เมื่อเห็นแบบนี้ หวังเหวินฟางก็ตะโกนไล่หลังเขา “ไม่กินก็ไม่เป็นไร ช่วยฟังแม่พูดอะไรสักคำสองคำหน่อยสิ”
ฟางจั๋วเยวี่ยได้ยินแบบนั้นก็หยุดเดิน
หวังเหวินฟางขยับเข้าไปใกล้ลูกชายอีกสองก้าว “ก่อนหน้านี้แกมักจะต่อต้านเวลาแม่พยายามแนะนำผู้หญิงให้ไม่ใช่เหรอ? ไหน ๆ ตอนนี้แกก็มีแฟนที่ดีแล้ว วางแผนจะจัดงานแต่งเมื่อไหร่ล่ะ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยแสดงสีหน้ากระวนกระวายขึ้นมาทันที “เราสองคนเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน รีบพูดถึงงานแต่งไปทำไมกัน? รอผ่านไปอย่างน้อยหนึ่งปีค่อยคุยกันสิ!”
ผัดวันประกันพรุ่ง เป็นแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้หวังเหวินฟางมาคอยจ้ำจี้ช้ำไชเรื่องส่วนตัวของเขา
หวังเหวินฟางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
จนกระทั่งฟางจั๋วเยวี่ยเดินเข้าไปใกล้วิลล่า เขาก็เห็นว่าเคอจื่อฉิงกับเฉินเฟิงกำลังพูดคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้
เขาแอบย่องเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อแอบฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สรุปใจความได้ว่าทั้งสองเลยเถิดไปถึงขั้นมีความสัมพันธ์กันแล้ว และตอนนี้กำลังคุยกันเพื่อหาทางออก
มุมปากของฟางจั๋วเยวี่ยโค้งขึ้น
ในที่สุดเฉินเฟิงก็ลงเอยกับเคอจื่อฉิงจนได้
คราวนี้เฉินเฟิงก็จะไม่แอบหวังลม ๆ แล้ง ๆ เรื่องพี่สะใภ้ของเขาอีก พี่ชายก็จะได้รับความมั่นคงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
นอกเหนือจากผลประโยชน์ส่วนตัว เขายังมอบผลประโยชน์ให้กับผู้อื่นด้วย เขาช่วยให้เฉินเฟิงได้ว่าที่ภรรยาแสนสวย แถมยังช่วยให้เคอจื่อฉิงได้พบเจอกับผู้ชายที่ดี ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว
ฉันช่างเป็นคนดีอะไรอย่างนี้!
ขณะที่หลินม่ายกำลังทำหม้อไฟห่านขาวตัวใหญ่ เคอจื่อฉิงก็เดินฝ่าลมและหิมะกลับเข้ามา
หลินม่ายเหลือบมองหล่อน ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
เธอกลัวจริง ๆ ว่าเคอจื่อฉิงกับเฉินเฟิงอาจทะเลาะกันอีกครั้ง
หลังจากกินหม้อไฟห่านขาวตัวใหญ่แสนอร่อยแล้ว ฟางจั๋วหรานก็เดินเข้าไปช่วยหลินม่ายล้างจาน
เมื่อในห้องครัวมีแค่พวกเขาสองคน เขาจึงถามด้วยเสียงกระซิบว่า “จื่อฉิงมีปัญหาจริง ๆ เหรอ? ผมคิดว่าหล่อนดูเจริญอาหารกว่าปกติซะอีก”
หลินม่ายได้ยินเสียงหัวเราะของเคอจื่อฉิงดังมาจากห้องนั่งเล่น คาดเดาว่าตอนนี้หล่อนคงกำลังคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
ดังนั้นเธอจึงลดระดับเสียงลง เล่าให้เขาฟังถึงเหตุผลแท้จริงที่เคอจื่อฉิงเดินทางมาหาเธอที่เจียงเฉิง
ฟางจั๋วเยวี่ยฟังจนจบแล้วก็แสดงความชื่นชมอย่างสุดซึ้งต่อเฉินเฟิง
เขาพัฒนาความสัมพันธ์กับเคอจื่อฉิงอย่างรวดเร็ว หมายความว่าเขาไม่ได้แอบรักหลินม่ายอีกต่อไปแล้ว
หนำซ้ำเขายังเมามายไม่ได้สติ จนเลยเถิดไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหญิงสาวอีก
เขารู้ดีว่าหากเป็นตัวเอง แฟนสาวของเขาคงเล่นงานเขาอย่างโหดเหี้ยมยิ่งกว่าที่เคอจื่อฉิงทำกับเฉินเฟิงหลายเท่า
ตกกลางคืน หลินม่ายกับเคอจื่อฉิงนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน หลินม่ายจึงถือโอกาสถามหล่อนว่าเมื่อกี้นี้ได้พูดคุยอะไรกับเฉินเฟิงบ้าง
เคอจื่อฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสารภาพด้วยความเขินอายว่า “เฉินเฟิงบอกว่าอีกไม่กี่วันเขาจะกลับบ้านไปพร้อมกับฉัน แล้วสู่ขอฉันกับพ่อแม่อย่างเป็นทางการ”
หลินม่ายตอบกลับ “เป็นข่าวที่ดีมาก”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พูดผิดชีวิตเปลี่ยนได้เลยนะ คำพูดเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
ป้าจะมาพูดอะไรกับลูกเหรอ? กะจะเกาะสะใภ้หรือไง
ไหหม่า(海馬)