“เจ้าเจ็ด ระวังหน่อย อย่าสร้างความเสียหายในวังหลวงล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นเสียงเบา
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น หนานกงเลี่ยก็ตะโกนขึ้นว่า ”อาเจวี๋ย เจ้าล้อเล่นหรือเปล่า คนที่จะถูกเขาจัดการคือข้าต่างหาก ไม่ใช่วังหลวง! ถ้าเจ้าอบรมเขาเช่นนี้ ในอนาคตลูกๆ ของเจ้าจะต้องกลายเป็นเด็กเหลือขออย่างแน่นอน!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาขึ้นมองเขาทันที ”เจ้าเจ็ด…”
“เขาเอาซาลาเปาไส้ถั่วแดงที่พี่สะใภ้สามทำให้ข้าไปขอรับ” เด็กชายตัวน้อยหยุดเคลื่อนไหว ร่างเล็กๆ นั้นหมุนกลับมา พร้อมกับเบะปากเล็กน้อย และบ่นออกมาพร้อมกับพองลมจนแก้มป่อง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองหนานกงเลี่ยแล้วกล่าวว่า ”เช่นนั้นก็ตามสบาย แต่อย่าเพิ่งอัดเขาจนตายเสียก่อนล่ะ เจ้าไว้ชีวิตเขา เขาจะได้จ่ายค่าซาลาเปาไส้ถั่วแดงให้เจ้า”
“ขอรับ!” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าขึงขัง ก่อนจะหันไปอัดเขาต่อ!
ช่างเป็นภาพที่ดูแล้วชวนขำยิ่งนัก เฮ่อเหลียนเวยเวยมองภาพนั้นด้วยความสนใจอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นว่าวิกฤตการณ์ในตำหนักเจาหยางจบลงแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็พาองครักษ์เงาหลายนายออกไปสอบปากคำผู้อาวุโสอู่ด้วยตัวเอง เขาอยากรู้ว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนการนี้
ทันทีที่เขาออกไป ผู้อาวุโสหมิงที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดก็แลบลิ้นสีแดงสดออกมาเลียริมฝีปากบางของตัวเอง…
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปมองด้านหลัง
เสี่ยวไป๋เลิกคิ้วขึ้น ”เวยเวย มีอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร” แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะพูดเช่นนั้น แต่นางก็เพิ่มการระวังตัวขึ้นเป็นสองเท่าในระหว่างที่เดินกลับห้องบรรทม
เสียงสวดมนต์ของบรรดาพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นหยุดไปนานแล้ว ดังนั้นทั้งวังหลวงจึงดูเงียบสงัดผิดจากปกติในตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินออกมาจากตำหนักเจาหยาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยผ่อนฝีเท้าลง แม้เส้นทางที่นางเดินอยู่จะมีองครักษ์อยู่ไม่มาก แต่โดยปกติแล้วทางนี้มักจะมีนางกำนัลและขันทีเดินกันขวักไขว่ แต่ทำไมวันนี้ถึงไม่ค่อยมีคนเลยล่ะ
เป็นเพราะการก่อกบฏของผู้อาวุโสอู่หรือ
เป็นไปไม่ได้!
มีบางอย่างผิดปกติ
แต่ในตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะหยุดเดินนั่นเอง นางกำนัลกลุ่มหนึ่งก็พลันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง ท่าทางการเดินของพวกนางล้วนแต่ดูผิดปกติ มิหนำซ้ำพวกนางยังไม่คิดที่จะแสดงความเคารพนางเหมือนในยามปกติอีกด้วย ทุกคนล้วนแต่ดูเฉื่อยชาเล็กน้อย อีกทั้งยังเดินชักช้าเป็นอย่างมาก พวกนางดูเหมือนหุ่นเชิดที่เดินเรียงแถวต่อกันโดยมีใครบางคนคอยควบคุมอยู่ ภาพนั้นให้ความรู้สึกชวนขนหัวลุกทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง และลดมือลงใช้นิ้วกำรอบมีดสั้นที่อยู่ตรงเอวของตัวเอง
นางกำนัลเหล่านั้นเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ศีรษะของพวกนางไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกคนล้วนแต่มีน้ำหยดลงมาจากร่างราวกับว่าพวกนางเพิ่งถูกพาตัวขึ้นมาจากน้ำไม่มีผิด
พวกนางก้มศีรษะลงทีละคน เส้นผมกระจัดกระจายไม่เป็นทรง แม้จะเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่พวกนางก็ไม่ได้แสดงความเคารพ ทว่ากลับทำเหมือนไม่มีนางอยู่ตรงหน้า
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถแกล้งทำเป็นว่าพวกนางไม่มีตัวตนได้ เพราะมันน่าขนลุกเกินไป
เคร้ง!
นางได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปทางต้นเสียง และเห็นว่าเท้าของบรรดานางกำนัลเหล่านั้นถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็กที่ยากจะมองเห็นได้จากระยะไกล โซ่พวกนั้นมีสีดำสนิท และทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้เห็น
ดูเหมือนสาเหตุที่ทำให้พวกนางเดินเรียงแถวต่อกันเช่นนี้จะเป็นเพราะโซ่เหล็กที่ล่ามพวกนางเอาไว้ด้วยกันนี่เอง
วังหลวงมีบทลงโทษนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แล้วทำไมถึงไม่มีขันทีเดินนำพวกนางไปรับโทษล่ะ
ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใด คิ้วของนางก็ยิ่งขมวดเข้าหากันมากขึ้นเท่านั้น นางอยากขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อมองให้ชัดๆ แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยอาการราวกับง่วงงุน…
มือขาวเนียนยื่นออกมารับร่างที่อ่อนปวกเปียกของนาง แขนเสื้อสีขาวของคนคนนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นของยาสมุนไพร เขายิ้มออกมาเล็กน้อย และมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้าอ่อนโยน ”เจ้าระวังตัวเกินไป ข้าจึงต้องลงมือเอง”
“นายท่าน ข้าน้อย…” ผู้อาวุโสหมิงเสียการทรงตัวทันทีที่อยู่ต่อหน้าคนคนนี้ เขาทรุดลงไปนั่งพร้อมแนบมือทั้งสองข้างเอาไว้กับพื้น และใช้ดวงตาสีแดงก่ำของตัวเองมองชายที่อยู่ตรงหน้า
ชายคนนั้นอยู่ในชุดสีขาว ใบหน้าด้านข้างของเขาขาวเนียนราวกับกระเบื้องเคลือบที่เป็นสิ่งหายากของโลกใบนี้ แต่น้ำเสียงของเขากลับมีเสียงไอดังขึ้นสลับกันเวลาพูดเพราะมีอาการป่วยมาตั้งแต่ยังเด็ก ”ข้าไม่โทษเจ้าหรอก นางแข็งแกร่งมากทีเดียว หากไม่ใช่เพราะเกิดการกบฏขึ้น ต่อให้เป็นข้าก็คงยากที่จะเข้าถึงตัวนางได้ ตอนนี้พวกเราก็เพียงแค่ต้องรอให้ถึงเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น”
“ขอรับนายท่าน” ผู้อาวุโสหมิงก้มหน้าลงด้วยความเคารพ…
แม้จะหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา แต่สติของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังอยู่กับภาพสุดท้ายที่ตัวเองเห็น นางสาวเท้าเดินออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างใจลอย…
“อย่าก้าวออกไปเด็ดขาด!” เสียงของหยวนหมิงที่ดังออกมาจากมิติสวรรค์เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ภาพที่อยู่ตรงหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยสั่นไหวราวกับคนเพิ่งสร่าง ”หยวนเสี่ยวหมิง ทำไมเจ้าถึงต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้ด้วยล่ะ”
“ทำไมข้าถึงต้องตื่นเต้นหรือ” ดวงตาของหยวนหมิงหนักอึ้ง ”เจ้าก็ดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสียสิ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตรงไปข้างหน้าทันทีที่ได้ยินดังนั้น แม้นางจะยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ แต่นางก็ยังตกใจกับภาพที่ปรากฏตรงหน้าอยู่ดี!
มันเป็นแม่น้ำสีดำสนิท
สิ่งที่อยู่ใต้แม่น้ำสายนั้นไม่ใช่พืชน้ำ แต่กลับเป็นซากศพ
รอบตัวนางมืดสนิท นอกจากแสงสลัวๆ แล้ว นางก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย
เบื้องหน้าของนางคือทุ่งดอกม่านถัวหลัว กว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด พวกมันมีสีแดงเข้มและดูน่าหลงใหลยิ่งนักยามเมื่อถูกสายลมพัดพา นางได้ยินเสียงหวีดหวิวดังเบาๆ แต่ไม่ชัดเจนนัก
พวกมันแฝงไปด้วยความงดงามและเย้ายวน
ดอกไม้สีแดงเช่นนี้ใช่ว่าจะเห็นได้ทั่วไป
แต่ดอกม่านถัวหลัวพวกนี้กลับขึ้นกระจายไปทั่วทั้งริมฝั่งแม่น้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น นางหันหลังกลับและเห็นป้ายหลุมศพป้ายหนึ่งตั้งอยู่ตรงนั้น บนป้ายนั้นมีตัวอักษรสองตัวเขียนกำกับเอาไว้ ตัวอักษรพวกนั้นถูกเขียนขึ้นอย่างหวัดๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย มันเขียนว่า ’ยมโลก’
ยมโลกหรือ
“เกิดอะไรขึ้น” แม้นางจะไม่ได้เรียนมามากนัก แต่นางก็รู้ว่ายมโลกคืออะไร มันคือขุมนรกที่ภูตผีอยู่รวมกันมิใช่หรือ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ดวงตาของหยวนหมิงหลุบลง ”มีใครบางคนสร้างค่ายกลอาคมขึ้นในวังหลวง และพาตัวเจ้ามาที่นี่โดยอาศัยปราณแห่งความเคียดแค้นที่อยู่ในวัง นางกำนัลที่เจ้าเห็นเมื่อครู่นี้คือบรรดาคนที่ตายในวังหลวง และพวกนางถูกใช้เพื่อนำทางเจ้ามาที่นี่ ดูเหมือนแผนการของอีกฝ่ายจะไม่ใช่การใช้พระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้นเรียกวิญญาณเจ้าออกมา แต่พวกเขาต้องการใช้วิธีนี้พาเจ้ามาสับเปลี่ยนวิญญาณในยมโลกแทนต่างหาก คาถาเรียกวิญญาณเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น นับว่าเป็นกลอุบายที่แยบยลยิ่งนัก เขาฉวยโอกาสงมือตอนที่ทุกคนมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่การก่อกบฏนั้น…”
“พูดมาขนาดนี้แล้ว พวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบโซ่เหล็กที่อยู่ข้างตัวขึ้น สติปัญญาของนางกลับมาแจ่มแจ้งดังเดิม ”ถ้าเจ้าเข้ามาได้ ก็น่าจะออกไปได้ หากใช้พลังในฐานะปีศาจรับใช้ของเจ้า เรื่องนี้ย่อมไม่เกินกำลังสำหรับเจ้า”
น้ำเสียงของหยวนหมิงแผ่วลง ”แน่นอน มันย่อมไม่เป็นปัญหาสำหรับข้า แต่พวกเราต้องแน่ใจเสียก่อนว่าคนคนนั้นจะไม่เคลื่อนไหวอะไรอีก หากเป็นไปตามการคาดเดาของข้า ข้าคิดว่าเขาน่าจะใช้ค่ายกลเจ็ดดาราเหนี่ยวนำวิญญาณ การสร้างค่ายกลนี้ทำให้เขาต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงคืนจึงจะสามารถสับเปลี่ยนวิญญาณของเจ้าได้ พวกเรายังพอมีเวลา แต่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว โอกาสที่จะทำสำเร็จยังมีน้อยเกินไป”
“ทำไมหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งใจฟัง
ความโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยวนหมิง ”ใช่ว่าทุกคนจะรู้วิธีใช้ค่ายกลเจ็ดดาราเหนี่ยวนำวิญญาณ จากที่ข้ารู้ ค่ายกลนี้สูญหายไปกว่าร้อยปีแล้ว แต่ตอนนี้มันกลับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง คนที่ใช้มันย่อมไม่ปล่อยให้เราหาตัวเขาเจอแน่หากเขาคิดที่จะใช้ค่ายกลนี้ และถ้าหากไม่มีใครดับโคมเปลี่ยนวิญญาณที่อยู่กับเขาได้ละก็ ต่อให้พวกเราสามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย แต่เจ้าก็ไม่สามารถกลับคืนสู่กายเนื้อของตัวเองได้อยู่ดี…”