หนิงเซ่าชิงจึงเล่าบทสนทนาที่ได้คุยกับบิดาวันนี้และรูปแบบในยามนี้ รวมถึงความกังวลของเขาให้ฟังทั้งหมด
มั่วเชียนเสวี่ยเสนอแนะความเห็นจากมุมของเขา ให้เขาส่งคนไปหาประสบการณ์สองเมืองก็พอ
แดนตะวันตกกับเป่ยต้าฮวงเดิมทีก็เป็นดินแดนที่อยู่ติดกันและล้วนมีแต่ลมพายุเต็มไปหมด
เพียงแต่ที่แตกต่างก็คือแม้แดนตะวันตกจะมีพายุหนัก แต่ที่ที่มีดินย่อมมีพืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
ซ้ำมั่วเทียนฟ่างเพาะปลูกเป็นเวลานานหลายปี ทัศนียภาพในยามนี้จึงเปลี่ยนแปรไปไม่น้อย
ซึ่งแตกต่างจากเป่ยต้าฮวง ที่นั่นเป็นที่ที่ไร้ลมพายุ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีพืชพรรณขึ้น
นั่นเป็นปัญหาของคุณภาพดิน
นางยังต้องคิดหาวิธีให้ดีว่าจะเปลี่ยนคุณภาพดินอย่างไร
หรือก็คือหาไร่นาที่เหมาะสมกับคุณภาพดินชนิดนั้น
เพียงพริบตาเดียวก็เข้าเดือนสิบเอ็ดแล้ว
สงครามเบื้องหน้าเข้าสู่ความดุเดือด ทว่าภายในเมืองหลวงกลับไร้ความวิตกแม้แต่น้อย
หลังจากเรื่องตระกูลเซี่ยจบลง ก็กลับสู่สภาพร้องรำทำเพลงเฉลิมฉลองสันติสุข
หิมะแรกในเมืองหลวง
มั่วเชียนเสวี่ยถูกเชิญให้เข้าร่วมงานชมหิมะที่จัดโดยตระกูลกุ้ยตรงชานเมือง
ฮูหยินชนชั้นสูงมากมายต่างมาประจบเอาใจ
หาใช่เพื่อการใด แต่เพื่อหวังจะได้ผักในเรือนกระจกของมั่วเชียนเสวี่ยสักนิดหน่อย
“คุณหนูใหญ่มั่ว อีกเดือนกว่าก็ถึงวันแต่งแล้ว ยินดีด้วยนะเจ้าคะ”
“ถึงเวลานั้นก็เชิญทุกท่านร่วมงานด้วยเลยนะ” นางไม่มีบิดาและพี่ชาย ประโยคนี้สตรีคนอื่นๆ ฟังแล้วเขินอายไม่เอ่ยคำ ทว่า นางฟังแล้วกลับต้องไปเชิญคนเขาจึงจะไม่เสียมารยาท
“คุณหนูใหญ่มั่ว หากต้องการอะไรก็บอกมาได้เลยนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณฮูหยินที่ห่วงใย…”
หลังจากสนทนาตามมารยาทแล้ว บรรดาฮูหยินก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องผัก
“ผักที่คฤหาสน์ของคุณหนูใหญ่สามารถส่งให้ที่จวนพวกเราสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ หลายวันมานี้เหล่าไท่ไท่ไม่ค่อยอยากอาหารเลย จึงอยากได้ผักที่กินแล้วชุ่มคอหน่อย…”
“เหล่าไท่เหยี่ยบ้านข้าร่างกายไม่ค่อยดี หมอบอกว่าทางที่ดีให้ทานอาหารรสจืดๆ เป็นหลัก แต่ยามนี้นอกจากผักกาดขาวกับหัวไชเท้าที่กักตุนแล้ว ไหนเลยยังจะมีผักที่ชุ่มคออื่นๆ อีก เหล่าไท่เหยี่ยหมู่นี้โวยวายไม่อยากกินข้าวแล้ว…”
ข้ออ้างสารพัดมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเอาความกตัญญูมาอ้าง
อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ คนที่มีกำลังทรัพย์ใครบ้างจะไม่อยากกินผักสดเขียวชอุ่มกรุบกรอบ
หากไม่อ้างเรื่องกตัญญู จะให้บอกว่าตัวเองอยากกินเองอย่างนั้นรึ
ทว่า หลังจากที่นางส่งผักให้ภัตตาคารอวี่จี้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะกินเอง ที่เหลือล้วนส่งให้จวนตระกูลหนิงหมด ไหนเลยยังจะเหลือไว้ขายให้คนนอกอีก
โชคดีที่ถงจื่อจิ้งเป็นคนฉลาด แม้จะมีเรือนกระจกสร้างขึ้นด้านหลังนาง แต่ยามนี้ก็มีผักสดใหม่วางแผงในตลาดแล้ว
เพียงแต่เขาไม่ถนัดการเข้าสังคมด้านนอก ไม่เคยออกจากบ้านมาก่อน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้
มั่วเชียนเสวี่ยจึงขายผักของเขาจนเกลี้ยง เพื่อสร้างชื่อให้ตัวเอง เพื่อสิ่งดีๆ และเพื่อสร้างรายได้ให้ถงจื่อจิ้งด้วย
บอกคนนอกว่ามอบผักเหล่านี้ให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ฐานะของคนเหล่านั้นที่นางมอบให้ ล้วนเป็นบุคคลที่ทำให้เทียนฉีสั่นสะเทือนกันทั้งนั้น จะมาเอาผักนางไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ได้อย่างไร
ล้วนต้องมีของขวัญตอบแทนเอาไว้ทั้งนั้น
ประการแรกเพื่อคบค้าสมาคมด้วย ประการที่สองเพื่อหน้าตา
แม้แต่เหล่าฮูหยินตระกูลหนิง วันๆ เอาแต่กินผักที่มั่วเชียนเสวี่ยมอบให้เพื่อแสดงความเคารพ ก็ไม่มีขาดตกเรื่องรางวัล มอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ มาให้นาง
ด้วยเหตุนี้ ยังไม่ทันแต่งเข้ามา ย่ากับหลานสะใภ้ก็ปรองดองกันแล้ว ทำเอาหัวหน้าตระกูลอาวุโสกับหนิงเซ่าชิงต่างปลื้มอกปลื้มใจ
ส่วนของเล็กๆ น้อยๆ ที่หญิงชรามอบให้พวกนั้น มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ถือสา อย่างไรเสียก็ปูความสัมพันธ์ได้เรียบร้อยแล้ว หญิงชราชอบหรือไม่ชอบนาง นางไม่สนใจแต่แรกแล้ว
ทว่า นางต้องให้หนิงเซ่าชิงกับหัวหน้าตระกูลอาวุโสกินดีอยู่ดี จะมอบให้แต่บรรพชนอย่างเดียวก็คงไม่ได้
ให้นางพอได้หน้าในฐานะลูกหลานก็พอแล้ว
เรือนกระจกสร้างรายได้ให้นาง ซ้ำยังกระชับความสัมพันธ์พวกนี้ให้นางได้อีก มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกประสบความสำเร็จมาก
เพียงแต่ก็ค่อนข้างเสียดายเช่นกัน
ยามนี้ฝ่าบาทให้ความสำคัญต่อซินอี้หมิงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ด้วยฐานะของนาง นางไม่เหมาะที่จะเข้าใกล้เจี่ยนชิงโยวมากเกินไป ซินอี้หมิงจะได้ไม่โดนสงสัย ทีนี้คงได้ทำงานยากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางที่สาธารณะ แม้จะเคยพบหน้ากันมาหลายครา ก็ทำเพียงทักทายกันเท่านั้น แม้แต่คำถามตามมารยาทก็ยังไม่อาจพูดอะไรได้มาก
เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ แม้สามีทั้งสองตระกูลจะไม่ฉลาดเฉลียว แต่พวกนางล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจดี
ทั้งคู่ทอดมองกัน ยามสบตากันก็แลกเปลี่ยนสายตาห่วงใยให้กันและกัน
เมื่อหนิงเซ่าชิงจัดการงานราชงานหลวงเสร็จแล้ว ก็เดินออกจากห้องมาทอดมองไปยังลานบ้าน หิมะขาวโพลนไปทั่ว
เขานึกถึงวันที่หิมะตกเมื่อปีที่แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยสวมเสื้อกันหนาวขอบขนสีเทายืนอยู่ตรงหน้าเขา
ตอนนั้นเขารู้สึกว่านางสุภาพเยือกเย็น อ่อนโยนและงดงาม รู้สึกว่าเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งร่างนั้นไม่คู่ควรกับนาง
ตอนนั้นอยากจะเอาขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่ล่าได้ตอนเด็กๆ มาทำเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกแล้วสวมให้นางด้วยตัวเอง
เพียงแต่ตอนนั้นออกจากเมืองหลวงแล้ว จึงไม่มีโอกาส…
มุมปากเขาหยักยกขึ้น ภาพที่มั่วเชียนเสวี่ยคลุมเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกอย่างงดงามปรากฏขึ้นในหัวของเขา
เขานึกมาถึงตรงนี้ก็สั่งเยวี่ยเซี่ยให้หยิบขนสุนัขจิ้งจอกขาวผืนนั้นออกมา เพื่อทำเป็นเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวให้มั่วเชียนเสวี่ย
เยวี่ยเซี่ยไม่พอใจ
เดิมทีจิ้งจอกขาวก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยอยู่แล้ว ซ้ำขนสุนัขจิ้งจอกขาวผืนนั้นของนายท่านยิ่งเป็นขนจิ้งจอกชั้นเยี่ยมที่ไร้ซึ่งตำหนิแม้แต่นิดเดียว
เป็นของล้ำค่าที่ประมาณราคาไม่ได้ที่แท้จริง นั่นเป็นสัตว์ที่ดีที่สุดที่นายท่านล่ามาได้เลย
ตอนนั้นเซี่ยซื่ออยากได้ นายท่านก็บ่ายเบี่ยงว่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก
เหล่าฮูหยินอยากได้ เขาก็หักใจมอบให้ไม่ได้
บอกไว้เลยว่าจะไม่ยกให้ใครทั้งนั้น
ยามนี้ฮูหยินยังไม่ทันแต่งเข้ามา นายท่านก็จะยกของล้ำค่าผืนนี้ให้เสียแล้ว
รักใคร่ปานนี้หาใช่เรื่องดี แต่มันคือหายนะ
แน่นอนว่าเยวี่ยเซี่ยกล้าคิดแค่ในใจเท่านั้น นางรับคำสั่งจากนายท่านมาก็ออกไปตระเตรียม
เสื้อคลุมตัวนี้นางต้องลงมือเอง จะทำให้วัตถุดิบดีๆ เช่นนี้มาเสียเปล่าไม่ได้
สวนดอกไม้ชมหิมะของตระกูลกุ้ยแม้จะอยู่ชานเมือง แต่ก็อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวง
ในบรรดาร้านที่มารดาทิ้งไว้ให้มั่วเชียนเสวี่ยนั้นมีร้านขายวัตถุโบรารณเทียนเสิ่งเซวียนด้วย นางให้ผู้ดูแลคอยดูแลตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว ขอแค่มีคนเอาหินเลือดไก่สีแดงมาขายที่ร้าน ไม่ว่าราคาเท่าใดก็จะซื้อเข้าร้านไว้ก่อน
วันนี้เสี่ยวเอ้อร์ในร้านเพิ่งจะมารายงานว่ามีคนเอาหินเลือดหงส์ชั้นเยี่ยมมา เพียงแต่ตั้งราคาไว้สูงลิ่ว ผู้ดูแลจึงตัดสินใจเองไม่ได้
มั่วเชียนเสวี่ยเร่งรุดมาที่เทียนเสิ่งเซวียนด้วยความลิงโลด
นางทราบจากการบอกเป็นนัยของเสี่ยวเอ้อร์ว่าคนที่เอาหินมาขายคือคุณชายอาภรณ์ไหมคนนั้นที่ผู้ดูแลกำลังต้อนรับอยู่ ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายและกิริยาท่าทางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนคนกำลังขัดสนเงินทอง
ผู้ดูแลเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาก็รีบหาที่หาทางให้คุณชายอาภรณ์ไหมคนนั้นนั่ง “ท่านนั่งก่อน โปรดนั่งนิ่งๆ รอข้าเดี๋ยว ครู่เดียวก็กลับมา”
คุณชายคนนั้นพินิจมองมั่วเชียนเสวี่ยเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้ง เจ้าของร้านตัวจริงคงมาแล้ว
ผู้ดูแลพามั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาในโถงด้านใน แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
หินชิ้นนี้ราคาสูงลิ่วจริงๆ คุณชายคนนั้นตั้งราคาไว้หนึ่งแสนตำลึง อีกทั้งยังจะเอาเงินสดด้วย
เงื่อนไขและราคานี้ แม้เป็นคนที่ผ่านโลกมามากอย่างมั่วเชียนเสวี่ยยังสั่นสะท้าน