สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่
ดูท่าแล้ว คงจะเพราะซินเจี่ยเอ๋อร์เห็นจิ่นเกอมีนกขมิ้นท้ายทอยดำก็เลยงอแงจะเอาด้วย เพื่อที่เป็นการปลอบใจบุตรสาว สวีลิ่งควนก็เลยไปซื้อนกขมิ้นท้ายทอยดำที่เหมือนกับของจิ่นเกอมาให้บุตรสาวหนึ่งคู่ แต่ซินเจี่ยเอ๋อร์กลับคิดว่าสวีลิ่งควนไปขอมาจากจิ่นเกอ…
นางรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในจวนเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็ว เรื่องนี้ก็คงจะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
สวีลิ่งควนเองก็จริงๆ เชียว ซื้ออะไรไม่ซื้อ ดันไปซื้อนกขมิ้นท้ายทอยดำที่เหมือนกับของจิ่นเกออย่างกับแกะ
สืออีเหนียงกำชับกับหงเหวินและอาจินว่า “เรื่องนี้ก็รู้กันแค่นี้ พวกเจ้าอย่าไปพูดต่อที่ไหนอีก!”
ทั้งสองพากันขานรับด้วยความนอบน้อม
สืออีเหนียงกลัวว่าจิ่นเกอจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ หลังจากกลับเรือนไปแล้ว ก็ได้ป้อนต้มถั่วเขียวให้เขาพลางพูดขึ้นว่า “ดูเจ้าหนึ่ง เจ้าสอง เจ้าสาม เจ้าสี่ เจ้าห้าและเจ้าหกของเจ้าสิ โตขึ้นมากแล้ว นกขมิ้นท้ายทอยดำก็เหมือนกัน โตขึ้นไม่น้อย…”
“ท่านแม่พูดผิดแล้ว!” จิ่นเกอรีบพูดขึ้น “เจ้าหนึ่งกับเจ้าหกโตไม่เหมือนกัน…” แต่แตกต่างกันอย่างไร เขาไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ก็เลยจะจูงมือของสืออีเหนียงไปดู
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นว่า “แต่ในสายตาของแม่ เจ้าหนึ่งกับเจ้าสองโตเท่ากันนี่นา! เจ้าคงไม่ได้สังเกตมองนกขมิ้นท้ายทอยดำของพี่หญิงสองของเจ้าดีๆ อย่างแน่นอน ไม่แน่บางทีนกขมิ้นท้ายทอยดำของพี่หญิงสองอาจไม่เหมือนกับของเจ้าก็เป็นได้!”
จิ่นเกอไม่เข้าใจคำพูดของมารดาเท่าไรนัก แต่มารดาที่กำลังปลอบโยนเขาอยู่ ทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมาก จึงรีบทานต้มถั่วเขียวจนหมดด้วยความเชื่อฟัง หลังจากที่ทานต้มถั่วเขียวหมดแล้ว สืออีเหนียงก็ให้จิ่นเกอนำแตงหวานมาให้นางสองชิ้น
จิ่นเกอก็รีบนำแตงหวานสองชิ้นที่อยู่ในจานกระเบื้องลายครามบนโต๊ะเล็กให้สืออีเหนียงทันที
สืออีเหนียงจึงชมจิ่นเกอว่า “ฉลาดเสียจริง!”
จิ่นเกอก็หัวเราะด้วยความชอบใจ
สืออีเหนียงเป็นคนตั้งชื่อสุนัขพันธุ์ปักกิ่งเอง จุดประสงค์ก็เพื่อให้จิ่นเกอนับเลขเป็น เบื้องต้นถือว่าไม่เลวทีเดียว จิ่นเกอค่อนข้างคุ้นเคยและสามารถใช้ตัวเลขทั้งหกได้อย่างชำนาญ
นางจึงเริ่มสอนเลข ‘เจ็ด’ ให้กับจิ่นเกอ
เด็ดดอกมะลิดอกเล็กๆ เจ็ดดอก ทานยาเม็ดเสวี่ยจินเจ็ดเม็ด เล่านิทานเจ็ดเรื่อง จัดเรียงถ้วยชาเจ็ดถ้วย…สองแม่ลูกเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
สวีซื่อเจี้ยก็เลิกเรียนกลับมาพอดี
สืออีเหนียงให้สาวใช้น้อยรีบไปตักน้ำมาให้เขาล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็ให้เขาทานต้มถั่วเขียวแช่เย็น
เวลานั้นเองก็มีป้ารับใช้เข้ามาเรียนว่า “บ่าวได้ขนเรือพายเล็ก ไม้พายและม่านบังแดดของเรือลงมาเตรียมตามคำสั่งของท่านเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
แววตาของสวีซื่อเจี้ยป็นประกายขึ้นมาทันที รอให้ป้ารับใช้ผู้นั้นถอยออกไปแล้ว เขาก็รีบถามขึ้นทันทีว่า “ท่านแม่ ใครจะพายเรือหรือขอรับ” น้ำเสียงเจือไปด้วยความอิจฉา
ที่ผ่านมาสืออีเหนียงรู้สึกว่าริมน้ำไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก สวีซื่อเจี้ยและคนอื่นๆ ได้พายเรือครั้งล่าสุดก็ตอนเทศกาลซานเย่ว์ซาน นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น “พรุ่งนี้จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพี่สองของพวกเจ้าที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยไปพายเรือด้วยกัน”
“จริงหรือ!” สวีซื่อเจี้ยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “พวกเราได้ไปทุกคนหรือขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้าตอบ
“ข้าจะไปบอกเรื่องนี้กับพี่สี่เอง” สวีซื่อเจี้ยรีบพูดขึ้นทันที “สองวันมานี้ท่านอาจารย์ให้พี่สี่ท่อง ‘คัมภีร์วิจารณ์พจน์’ พี่สี่นอนดึกแทบทุกคืน พรุ่งนี้เราไปพายเรือกัน พี่สี่จะต้องดีใจมากแน่ๆ ขอรับ!”
“อืม!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับจ้องมองเขา “พรุ่งนี้ให้พี่สี่ของเจ้ามาเช้าหน่อย พวกเราทานอาหารเช้าด้วยกัน!”
สวีซื่อเจี้ยรีบไปหาสวีซื่อจุนด้วยความดีใจทันที
จิ่นเกอซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของมารดา “ท่านแม่ ข้าก็จะไปด้วย ข้าก็จะไปด้วย!” ราวกับกลัวว่านางจะลืมเขาไว้อย่างไรอย่างนั้น
อากาศค่อนข้างร้อน จิ่นเกอเลยไม่ได้ออกไปเที่ยวมาสักระยะหนึ่งแล้ว
สืออีเหนียงอุ้มบุตรชายขึ้นมาหอมไปหนึ่งที “ได้ไปทุกคน!”
จิ่นเกอรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
เช้าตรู่ของวันถัดมา หลังจากที่เขาลืมตาตื่นขึ้น ก็รีบมาเคาะประตูเรือนของสืออีเหนียงทันที “ท่านแม่ ท่านแม่ พวกเราไปพายเรือกันขอรับ”
“เหตุใดเขาถึงมาเช้าขนาดนี้!” สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างประหลาดใจ เปิดนาฬิกาพกขึ้นมาดู ก็พึ่งจะต้นยามเหม่าเท่านั้น
สืออีเหนียงเร่งให้เขารีบไปสวมเสื้อผ้า “ได้ยินว่ามีอะไรให้เล่น ก็ย่อมตื่นเช้าเป็นธรรมดา” นางรีบจัดเตียงให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปเปิดประตู
จิ่นเกอรีบเข้าไปจูงมือของมารดาออกไปด้านนอก “ไปพายเรือ ไปพายเรือเร็วเข้า”
“ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลย” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับอุ้มบุตรชายขึ้นมากอดไว้ “พี่ชายของเจ้ายังไม่มากันเลย รอให้ทุกคนมาครบก่อน ทานอาหารเช้าด้วยกันแล้ว เราค่อยไปพายเรือเล่นด้วยกัน”
“เช่นนั้นพี่ชายก็ควรรีบมา” จิ่นเกอหมุนตัวจะรีบไปเรียกสวีซื่อเจี้ยด้วยความรีบร้อน
สืออีเหนียงส่งจิ่นเกอให้กับแม่นมกู้ที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ อย่างไม่กล้าเข้าใกล้ “ให้เขาไปหาเจี้ยเกอ!”
แม่นมกู้ยิ้มพร้อมกับเดินเข้ามารับจิ่นเกอ
สืออีเหนียงหันไปเรียกให้ชิวอวี่เข้ามาหวีผมให้นาง
จากนั้นสาวใช้น้อยก็เข้ามาเรียนว่า “คุณชายน้อยสี่มาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงหันไปหาสวีลิ่งอี๋ที่มีสาวใช้น้อยกำลังช่วยเขาแต่งตัวอยู่ “ท่านโหวเห็นแล้วหรือไม่ แต่ละคนตื่นเต้นไม่แพ้กันเลยเชียว!” จากนั้นก็หันไปสั่งกับสาวใช้น้อยว่า “เชิญคุณชายน้อยสี่ไปนั่งรอที่ห้องปีกทิศตะวันตก” จากนั้นนางก็ปักผมด้วยปิ่นปักผมหยกทองคำและสวมต่างหูดอกไม้ เสร็จแล้วก็เดินไปที่ห้องปีกทิศตะวันตกทันที
สวีซื่อจุนยืนตรงประดุจต้นสนอยู่ด้านใน หว่างคิ้วที่สุขุมหนักแน่นนั้นยังคงแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น
“หิวแล้วหรือยัง” สืออีเหนียงถามเขาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “รอพี่สองของเจ้ามาถึงแล้วเราค่อยนั่งทานข้าวด้วยกัน”
“ยังไม่หิวขอรับ!” สวีซื่อจุนเดินเข้าไปคารวะสืออีเหนียง สวีซื่อเจี้ยและจิ่นเกอก็เดินจูงมือกันมาถึงพอดี
“พี่สี่!” สวีซื่อเจี้ยเห็นหน้าสวีซื่อจุนแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบกล่าวทักทายสวีซื่อจุนด้วยความดีใจ
สวีซื่อจุนเองก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที “น้องห้า!”
ราวกับว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปีอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
จิ่นเกอปล่อยมือของสวีซื่อเจี้ยแล้ววิ่งไปยืนอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง
“ท่านแม่ พี่สี่และพี่ห้าก็มาแล้ว!” จิ่นเกอดึงชายกระโปรงของสืออีเหนียงเบาๆ
“ยังมีพี่สองของเจ้าอีกคน!” สืออีเหนียงโน้มตัวลงมาช่วยจิ่นเกอจัดระเบียบเสื้อผ้า
จิ่นเกอเอียงศีรษะด้วยสีหน้าที่งุนงง เห็นได้ชัดว่าเขาจำสวีซื่ออวี้ไม่ได้แล้ว
“ตอนที่เจ้ายังเล็กมาก เขาเคยพาเจ้าไปพายเรือเล่นด้วย” สืออีเหนียงอธิบายให้จิ่นเกอฟัง
แต่จิ่นเกอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เขาแค่อยากจะรีบไปพายเรือให้เร็วขึ้นก็เท่านั้น จึงกอดขาของมารดาไว้ “ทานข้าว ทานข้าว”
สืออีเหนียงจึงหันไปสั่งกับชิวอวี่ว่า “หากคุณชายน้อยสองมาถึงแล้วก็ไปตั้งโต๊ะอาหาร!” จากนั้นก็พาเด็กๆ เข้าไปคารวะสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋อุ้มบุตรชายคนเล็กที่สุดขึ้นไปบนเตียงเตา
สวีซื่ออวี้ก็มาถึงพอดี
เขาจ้องมองจิ่นเกอที่ตัวสูงกว่าเตียงเตาด้วยความอึ้ง “น้องหกโตขนาดนี้แล้วหรือ”
“เขาโตแต่ตัวก็เท่านั้น” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็หันไปพูดกับจิ่นเกอว่า “รีบเรียกพี่สองเร็วเข้า!”
“พี่สอง!” จิ่นเกอเรียกเขาเสียงดังชัดเจน
สวีซื่ออวี้ยิ้มพร้อมกับเรียกเขาตอบ “น้องหก”
“พอได้แล้ว!” สวีลิ่งอี๋เห็นว่าทุกคนมากันครบหมดแล้ว ก็ลุกขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไปทานข้าวเช้าเถิด! ทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว จะได้ไปทักทายท่านย่าของพวกเจ้าให้เร็วขึ้นหน่อย” จากนั้นก็หันไปพูดกับสวีซื่ออวี้ว่า “วันนี้ท่านย่าของเจ้าจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน เจ้าก็หาโอกาสคุยกับท่านย่าของเจ้าดีๆ ก็แล้วกัน มีเรื่องอันใดก็ค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้”
สวีซื่ออวี้โค้งตัวขานรับด้วยท่าทีที่นอบน้อม จากนั้นก็เดินตามหลังสวีลิ่งอี๋ไปที่ห้องปีกทิศตะวันตก
ทุกคนพากันทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
จิ่นเกอทานไปเพียงไม่กี่คำก็เงยหน้าขึ้นมา พยายามจ้องมองสวีซื่ออวี้ด้วยตาหงส์คู่โตของเขา
สวีซื่ออวี้ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา จึงกะพริบตาให้กับเขา
จิ่นเกอเห็นแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ ลูกชิ้นที่อยู่ในช้อนหล่นลงไปในถ้วยข้าวต้ม น้ำข้าวต้มกระเด็นกระดอนเต็มไปหมด กระเด็นเลอะหน้าของจิ่นเกออีกด้วย
สืออีเหนียงรีบเข้าไปช่วยจิ่นเกอเช็ดหน้าทันที
จิ่นเกอไม่เข้าใจว่าเหตุใด จู่ๆ ลูกชิ้นถึงตกเข้าไปในถ้วยข้าวต้มได้ จึงพยายามจ้องมองช้อนกับถ้วยข้าวต้มสลับกันไปมาด้วยความสงสัย ยู่ปากจนแก้มกลมพองไปหมด
สวีซื่ออวี้เองก็ก้มหน้าลงต่ำ
ไหล่ของเขาสั่นเทาด้วยความขบขัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมาทานต่อ
*****
บรรยากาศยามเช้าของเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนปกคลุมไปด้วยต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม คลื่นน้ำเขียวใสราวกับพึ่งผ่านการชะล้าง ลมทะเลสาบที่เย็นสดชื่นพัดโชยมากระทบไม่ขาดสาย พลอยทำให้จิตใจเหมือนได้รับการชะล้างจนสะอาดหมดจด
ไท่ฮูหยินจับราวทางเดินของเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนทอดสายตามองทะเลสาบปี้อีด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ใบหน้าท่วมท้นไปด้วยความสุข
“ท่านแม่!” ฮูหยินสองเดินออกมาจากศาลา สายตาของนางไม่ได้ละจากสืออีเหนียงที่กำลังพาเด็กๆ พายเรือเล่น “ทางนี้ลมค่อนข้างแรง” สืออีเหนียงที่ร่าเริงมีชีวิตชีวาพลอยทำให้นางยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว “เราเข้าไปในเรือนเถิดเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินไม่ได้สนใจ แต่กลับชี้ไปยังกลางทะเลสาบ ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าสายตาดี ช่วยข้าดูหน่อยว่านั่นใช่จุนเกอหรือไม่”
ฮูหยินสองมองไปยังทิศทางสายตาของไท่ฮูหยิน ก็เห็นจุนเกอที่เป็นคนขี้กลัวมาโดยตลอดกลับยืนขึ้นมาพายเรือ เขากำลังพูดคุยกับสวีซื่อเจี้ยพลางหันไปพูดคุยกับคนพายหัวเรือที่อยู่ทางด้านหลังของเขา สีหน้าของเขาดูสนุกสนานเป็นอย่างมาก
“ใช่เจ้าค่ะ!” นางรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ “ดูท่าทางแล้ว คงจะดีใจเป็นอย่างมาก!” พูดจบ ก็นึกถึงไท่ฮูหยินที่คอยเป็นห่วงสวีซื่อจุนมาโดยตลอด จึงชะงักคำพูดไป จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลังเลว่า “จะให้หาข้ออ้างให้พวกเขาขึ้นมาที่ศาลาริมน้ำหรือไม่เจ้าคะ”
สวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยนและจินซื่อนั่งอยู่ด้วยกัน สืออีเหนียง สวีซื่ออวี้ จิ่นเกอและซินเจี่ยเอ๋อร์นั่งเรืออีกลำ ส่วนสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี่ยนนั่งเรืออีกลำ ต่างก็กำลังแข่งพายเรือกันอย่างสนุกสนาน
“ไม่ต้อง!” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นานๆ ทีจะได้เล่นสนุกเช่นนี้ มีป้ารับใช้คอยตามประกบอยู่ด้วย คงไม่มีเรื่องอันใดกระมัง!” พูดจบก็จับไหล่ของฮูหยินสองเดินเข้าไปในศาลาริมน้ำ
วันนี้ฟังซื่อสวมชุดเป้ยจื่อสีเขียวน้ำทะเล ช่วงท้องของนางนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กำลังนั่งคุยกับฮูหยินห้าที่ตั้งครรภ์อยู่เหมือนกัน
เมื่อเห็นไท่ฮูหยินเดินเข้ามา นางก็รีบเท้าเอวพร้อมกับลุกขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องลุกขึ้น ไม่ต้องลุกขึ้น!” ไท่ฮูหยินเดินไปนั่งที่เตียงหลัวฮั่นสีดำเงาที่ฝังด้วยแร่กลีบหิน “เดิมทีตั้งใจจะให้พวกเจ้ามาพักผ่อนหย่อนใจ หากว่ามัวแต่ระวังเช่นนี้ สู้อยู่เรือนไม่ดีกว่าหรือ!”
ใบหน้าของฟังซื่อพลันเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ “เจ้าค่ะ” นางขานรับด้วยความนอบน้อม จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงดังเดิม
จากนั้นไท่ฮูหยินก็ได้ถามไถ่ถึงเรื่องของกินของใช้หลังจากที่นางตั้งครรภ์
ด้านนอกของเรือนศาลาริมน้ำมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ยังมีเสียงของป้ารับใช้ที่คอยเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า “ฮูหยินสี่ ระวังนะเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นมา “คนพายเรือกลับมากันแล้ว!”
ฮูหยินสองพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ตำแหน่งของพระอาทิตย์อยู่ตรงกลางศีรษะพอดี ไอระอุที่ปะทุขึ้นมาจากผืนน้ำทะเลสาบก็เริ่มหนาแน่น หากยังไม่กลับมา เกรงว่าคงจะถูกย่างจนควันโขมงกระมัง!”
นางพึ่งจะพูดจบ เสียงอื้ออึงก็ดังเข้ามาใกล้ สืออีเหนียงพาเด็กๆ เดินเข้ามาพอดี
“ท่านย่า ท่านย่า!” ซินเจี่ยเอ๋อร์วิ่งตรงไปหาไท่ฮูหยิน “ท่านดูนี่!” นางแบมือของนางออก ในมือของนางมีจอกแหนอยู่สองสามใบ “ข้าเด็ดมาจากในทะเลสาบเมื่อครู่นี้เจ้าค่ะ”
“ไอ๊หยา!” ไท่ฮูหยินอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา “สวยจริงเชียว!”
สวีซื่ออวี้กลับเอาแต่อุ้มจิ่นเกอไว้ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าจิ่นเกอเอาแต่หน้ามุ่ยไม่ยอมพูดจา ก็ถามเขาเสียงเบาว่า “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือ” ถามเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่าจิ่นเกอพึ่งเริ่มหัดพูด กลัวว่าเขาจะพูดไม่เป็น ก็เลยถามเขาว่า “เวียนหัวหรือไม่”
ซินเจี่ยเอ๋อร์เผยรอยยิ้มที่ภูมิใจขึ้นมาทันที
สวีซื่อฉินก็เดินไปนั่งข้างฟังซื่อ จากนั้นก็ถามขึ้นเสียงเบาว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ใบหน้าของฟังซื่อแดงระเรื่อขึ้นมา จากนั้นก็ตอบกลับเสียงเบาว่า “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” แต่ก็กลัวว่าเขาจะไม่ได้ยิน จึงรีบพยักหน้าตามด้วย
สวีซื่อเจี่ยนกลับหันไปพูดกับจินซื่อเสียงเบาว่า “ให้เจ้าไปกับท่านอาสะใภ้สี่ เจ้ากลับจะมากับข้าให้ได้ คราวนี้เป็นอย่างไร ให้พี่สองเป็นคนดูแลจิ่นเกอและซินเจี่ยเอ๋อร์เช่นนี้ ท่านย่าและท่านป้าสะใภ้สองเห็นแล้วจะคิดอย่างไรเล่า!”
จินซื่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขลาดกลัวว่า “ข้า…ก็ข้ากลัวนี่นา!”
“ล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นท่านอาสะใภ้สี่เป็นคนที่จิตใจดีที่สุด มีอะไรให้กลัวกัน!” สวีซื่อเจี่ยนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างกระด้าง
ก็เพราะแม่สามีบอกว่าน้องหกถูกเอาอกเอาใจจนเปราะบาง จะให้ดีควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา ไท่ฮูหยินจะกล่าวโทษเอาได้ ไม่ต้องไปมาหาสู่ได้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่!
จินซื่อทำได้เพียงแค่บ่นพึมพำในใจ แต่กลับไม่กล้าพูดให้สวีซื่อเจี่ยนฟัง