ปลายเดือนสิบเอ็ด ก็มีข่าวยกทัพกลับแคว้นพร้อมกับชัยชนะ
มั่วเชียนเสวี่ยก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าพอตระกูลซูกับแดนตะวันตกร่วมมือกันจะจัดการหนานหลิงได้รวดเร็วเพียงนี้
ได้ยินว่าหลูเจิ้งหยางกำลังถูกจับตัวกลับมา
ได้ยินว่าคนที่กลับมาด้วยกันกับกองทัพใหญ่ยังมีทูตที่ยอมจำนนของหนานหลิง และองค์หญิงที่หนานหลิงเสนอให้แต่งงานเพื่อสงบศึกด้วย
หิมะตกลงมาอีกครา เสื้อคลุมจิ้งจองของเยวี่ยเซี่ยก็ทำเสร็จสิ้น
หนิงเซ่าชิงมองเสื้อคลุมจิ้งจอกตัวนี้ แล้วมองหิมะขาวโพลนบนพื้นด้านนอก ก่อนจะใส่ลงกล่องไปพร้อมกับชุดสีชาดที่เลือกไว้ให้มั่วเชียนเสวี่ยแต่แรก แล้วให้คนเอาไปส่งที่จวนกั๋วกง
เนื่องจากกลับมาพร้อมชัยชนะ ภายในเมืองหลวงจึงมีผู้คนออกมายืนเรียงรายอยู่สองฟากฝั่งถนนเพื่อต้อนรับ
มั่วเชียนเสวี่ยคลุมเสื้อคลุมจิ้งจอกขาวที่หนิงเซ่าชิงให้คนส่งมาให้เอาไว้ นางยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
ซูชีกับชังมู่นั่งอยู่บนม้าตัวสูงใหญ่ ด้านหลังเป็นขบวนทหารเดินตามมา พวกเขาเข้าเมืองกันอย่างองอาจผึ่งผาย
ซูชีที่อยู่ในชุดแม่ทัพตลอดร่างห่อหุ้มความเยาะเย้ยถากถางสังคมของเขาเอาไว้จนมิด กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเป็นความเย็นเยียบที่ทหารชาตินักรบที่ผ่านศึกสงครามมาแล้วเท่านั้นที่จะมีได้
ด้านหลังไม่ไกลกันนั้น มีรถนักโทษเคลื่อนตามมา
หิมะตกหนักในวันนี้เหน็บหนาวเย็นยะเยือก คนในรถนักโทษสวมเสื้อผ้าชั้นเดียว ขดตัวอยู่ในมุมรถ
ผมเผ้าเขายุ่งเหยิง ปิดบังใบหน้าไปครึ่งซีก ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยก็ยังคงจำได้จากเสื้อผ้าสีกรมชั้นเดียวและริมฝีปากที่เบ้คว่ำของเขาว่าคนผู้นี้คือหลูเจิ้งหยาง
สตรีสองฟากฝั่งถนนที่ออกมาต้อนรับต่างโยนกระเป๋าเล็กๆ ที่พกติดตัวและดอกไม้ให้ซูชีกับชังมู่
แต่กลับโยนเศษผักและไข่ไก่ใส่รถนักโทษ
ปวงชนต่างไม่ใช่คนที่มีวรยุทธ์ จะโยนไม่แม่นก็ไม่แปลก ดังนั้นไข่ไก่มากมายกระแทกโดนโครงไม้ก็แตกทันที
ทว่า แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ไข่ขาวกับไข่แดงพวกนั้นหยดติ๋งๆ ลงด้านล่าง ซึ่งเป็นบนตัวของหลูเจิ้งหยาง เขาจึงมีสภาพอเนจอนาถยิ่ง
ตามพิธีการแล้ว กองทัพใหญ่คว้าชัยกลับมา ฮ่องเต้ต้องจัดงานเลี้ยงใหญ่ในวังหลวง และเชิญทหารน้อยใหญ่ในกองทัพที่มีคุณูปการมาเพื่อเป็นการขอบคุณ
ซูชีกลับปฏิเสธงานเลี้ยงฉลองไป หลังจากลงชื่อเข้างานในวังแล้ว ก็จับกุมหลูเจิ้งหยางมายังจวนกั๋วกง
มั่วเชียนเสวี่ยฟังผู้ดูแลมั่วรายงานอย่างปรีดา ซ้ำอารมณ์ก็ดีขึ้นพรวดพราด
ซูชีจับหลูเจิ้งหยางขังกับมือ นางก็สามารถล้างแค้นให้บิดาแท้ๆ ฆ่าไอ้สารเลวนี้ด้วยมือตัวเองได้แล้ว
นางให้สืออู่รีบไปรายงาน พลางขอให้ซูชีจับหลูเจิ้งหยางไปไว้ในลานต่อสู้อันกว้างขวาง ส่วนตัวเองเก็บกวาดเล็กน้อย ก่อนจะรีบตามไปที่ลานต่อสู้
เมื่อซูชีนำรถนักโทษมาถึง มั่วเชียนเสวี่ยก็รออยู่ในลานต่อสู้แล้ว
ในความทรงจำของซูชีนั้น มั่วเชียนเสวี่ยไม่ค่อยสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นนอกจากสีฟ้า เสื้อคลุมสีขาวที่ใส่วันนี้กลับสวมสีแดงไว้ด้านในตลอดร่าง
เดิมเขาคิดว่านางแค่เหมาะกับสีฟ้าซีดๆ แบบนั้น ในความงดงามและสุภาพมีความหยิ่งทระนงแฝงอยู่
คิดไม่ถึงว่าสีแดงเพลิงเร่าร้อนนี้จะยิ่งขับให้นางดูเปราะบางน่ารื่นรมย์
ชายกระโปรงยาวสีแดงสดฝังหินจันทราแวววาวเอาไว้ ราวกับดวงดาวพราวพร่างแสง
ชายกระโปรงที่ขาวราวหิมะวิบวับกับอาภรณ์สีชาดขับให้คนงามยิ่งจับตา งดงามดุจหยก
ซูชีดวงตาเป็นประกาย
บรรยากาศดุร้ายและความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากร่างเพราะสวมชุดนักรบจางลงไม่น้อย สีหน้าอ่อนโยนขึ้นอย่างชัดเจน
“ข้าพาตัวหลูเจิ้งหยางมาแล้ว…”
บรรดาเจ้านายจะคุยกัน ไม่เพียงแต่ซูชีและทหารสองนายที่ขับรถนักโทษมาที่พากันถอยออกไปเงียบๆ เท่านั้น
สืออู่กับผู้ดูแลที่นำทางอยู่ข้างๆ ก็พากันถอยไปนอกป่าเช่นกัน
มั่วเชียนเสวี่ยมองเลยซูชีไปยังรถนักโทษด้านหลังเขา
ศัตรูคู่แค้นที่อยู่เบื้องหลังได้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ขอแค่นางขยับนิ้ว…
แค้นของบิดาก็จะได้ชำระ!
น้ำใจนี้ใหญ่หลวงและหนักอึ้งนัก
มั่วเชียนเสวี่ยค่อนข้างซาบซึ้ง แต่ก็รู้สึกกดดันมากเช่นกัน
นางจะทำอย่างไรจึงจะตอบแทนน้ำใจใหญ่หลวงเช่นนี้ได้
หลูเจิ้งหยางทั่วร่างมีแต่ไข่แดงไข่ขาวเต็มตัว สกปรกยิ่งนัก
เขาหลับตาลง ขดตัวอยู่ในมุมนิ่งงันไม่ขยับไหวคล้ายตายไปแล้ว
หากไม่ใช่เพราะอากาศหนาวเหน็บเกินไป และลมหายใจเขาหนักอึ้งมาก สามารถเห็นไออากาศตรงจมูกเขาได้จางๆ เลยทีเดียว มั่วเชียนเสวี่ยคงได้นึกว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ
เผชิญหน้ากับคนใกล้ตายเช่นนี้ ความกระหายอยากจะฆ่าของมั่วเชียนเสวี่ยพลันมลายไปสิ้น
ให้ฆ่ามดไร้บ้านให้กลับเช่นนี้นางกลับหมดสนุก
มั่วเชียนเสวี่ยดึงสายตากลับมา
คนในกรงขังกลับลืมตาโพรงขึ้น
ดวงหน้าทะมึน แววตาเคียดแค้งชิงชังเย็นยะเยือกดุจงูพิษ
“มั่วเชียนเสวี่ย เป็นนังแพศยาหลายใจอย่างเจ้าจริงๆ ด้วย! เก่งจริงๆ! เจ้าไม่เพียงแต่ยั่วหนิงเซ่าชิงให้ตายใจ ยังยั่วซูชีเสียจนจิตใจหลงใหลจนหมด ยินดีเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า…”
หลูเจิ้งหยางเหน็บแนมไม่หยุด
ทว่าเขายังไม่ทันด่าให้สาแก่ใจ ซูชีก็โบกพัดเหล็กในมือ นึกไม่ถึงว่ารถนักโทษนั่นจะถูกผ่าครึ่ง
“หลูเจิ้งหยาง เจ้าจะตายอยู่รอมร่อแล้วยังกล้าพูดเพ้อเจ้ออีก”
ซูชีตวาดใส่หลูเจิ้งหยางเสร็จก็หันมามองมั่วเชียนเสวี่ย “เชียนเสวี่ย รีบลงมือเถิด เดี๋ยวไอ้ระยำนี่มันจะกล่าววาจาสกปรกใส่เจ้าอีก…”
หลูเจิ้งหยางล้มออกจากกรงขัง แต่กลับหลบไม่พ้น จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นเสียงดังไปทั่วทุกสารทิศว่า “หนิงเซ่าชิง ซูชีสวมหมวก…”
เขานอนจำศีลอยู่ในเทียนฉีมานานหลายปี จึงรู้เรื่องในจวนกั๋วกงเป็นอย่างดี
จากการจัดการเรื่องราวของหนิงเซ่าชิงนั้น ภายในรัศมีรอบตัวมั่วเชียนเสวี่ยสามร้อยเมตรต้องมีองครักษ์ลับซ่อนอยู่แน่
ในเมื่อเขาลำบาก คนอื่นมันก็ต้องลำบากด้วย!
คนหนึ่งเป็นคนที่เขาริษยาที่สุดในชีวิต คนหนึ่งเป็นคนที่จับตัวเขา ล้วนเป็นคนที่เขาแค้นเข้ากระดูกทั้งสิ้น และเป็นแกนนำหลักของเทียนฉีด้วย
หากทั้งคู่ต่อสู้กัน…ทั้งสองตระกูลก็จะแตกหักกัน…
ละครฉากนี้ต้องยอดเยี่ยมมากแน่!
หลูเจิ้งหยางยังไม่ทันเอ่ยจบ รอยยิ้มทะมึนบนสีหน้ายังไม่ทันเบ่งบานเต็มที่ กำลังจากฝ่ามือของซูชีก็มาถึง
กำลังจากฝ่ามือแหวกอากาศฟาดใส่หลูเจิ้งหยาง
หลูเจิ้งหยางกระเด็นลอยขึ้น ราวกับว่าวที่เชือกขาด เขาตกลงไปริมรั้ว ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บภายในหนักไม่น้อย
หลูเจิ้งหยางที่กำลังภายในทั่วร่างเสียหายหมดเกลี้ยงแม้แต่หายใจยังไม่สม่ำเสมอ ฟุบกับพื้นหอบหายใจหนักราวกับสุนัข
แม้ว่าคำพูดของหลูเจิ้งหยางจะสกปรก แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้สติขึ้นมา
นางส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเห็นหลูเจิ้งหยางเป็นแบบนี้แล้ว อวิ๋นเหยาจะคิดอย่างไร
จะแค้นหรือจะสงสาร…
หากวันนี้นางจัดการหลูเจิ้งหยางเป็นการส่วนตัว รับน้ำใจจากซูชีไว้ แล้วให้คำพูดของหลูเจิ้งหยางลอยเข้าหูหนิงเซ่าชิง ลอยเข้าหูตระกูลหนิง ลอยเข้าหูฝ่าบาท…
เกรงว่าจะเป็นก้อนหินก้อนเดียวสร้างคลื่นได้พันระลอก
เรื่องความหึงหวงของหนิงเซ่าชิงยังไม่ต้องพูดถึง อันตรายจากหนานหลิงได้จัดการสิ้นแล้ว ฝ่าบาทคงได้ยื่นมือมายุ่งอีกครา
ที่สำคัญกว่านั้นคือหากนางรับน้ำใจวันนี้เอาไว้ ข่าวลือไม่น่าฟังแพร่สะพัดออกไป เกรงว่าคงจะได้พัวพันกับซูชีจริงๆ แน่
มั่วเชียนเสวี่ยจัดการความคิดและอารมณ์เรียบร้อย ความพลุ่งพล่านบนสีหน้าก็เริ่มแข็งทื่อ
เมื่อนางมองไปยังซูชีอีกครา มันก็แข็งทื่อไปหมดแล้ว
“หลูเจิ้งหยางเป็นนักโทษร้ายแรงของเทียนฉี ตามหลักการแล้วควรให้ฝ่าบาทออกคำสั่งจัดการ ไม่เกี่ยวอะไรกับจวนกั๋วกงของข้า คุณชายซูมาผิดที่แล้วกระมัง”