ยามค่ำคืนมาเยือน หมอกหนาหลายชั้นเริ่มก่อตัว และแม้กระทั่งแสงจันทร์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังเงาไม้ก็ยังถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงสด มันอึมครึมและมืดมิดจนชวนให้รู้สึกอึดอัด
ณ ตำหนักเจาหยาง บรรดานางกำนัลต่างถือโคมเอาไว้ในมือและยืนก้มหน้าด้วยท่าทางเคารพอยู่ตลอดสองข้างนาง ในห้องนั้นมีเพียงแสงสว่างจากไข่มุกราตรี ดังนั้นแสงภายในห้องจึงดูมืดสลัวกว่าปกติ
แผนการเปลี่ยนวังหลวงในครั้งนี้ดูราวกับการล้างวังหลวงทั้งวัง
ฮ่องเต้มองฎีกาที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับหรี่ตาลงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ไม่สามารถระงับความโกรธที่ก่อตัวขึ้นได้ เขายกมือขึ้นแล้วปาฎีกานั้นใส่หน้าขันทีเกา
ขันทีเกาได้แต่สะดุ้งโหยงด้วยความเจ็บปวดอยู่เงียบๆ เพราะไม่กล้าส่งเสียงออกมา เขาทำได้เพียงก้มตัวลงหยิบฎีกาฉบับนั้นขึ้นมา เมื่อเขาเห็นข้อความที่อยู่บนนั้น ดวงตาของเขาก็จมสู่ภวังค์ จากนั้นเขาจึงก้าวออกไปยืนข้างๆ โดยไม่พูดอะไร
“องค์ชายสามชักจะเหิมเกริมและข้ามหน้าข้ามตาข้าไปทุกที แม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าก็ยังถูกโบยเพราะคำสารภาพของเหล่าอู่ในครั้งนี้!” ฮ่องเต้หายใจเข้าลึกๆ แล้วมองยาอายุวัฒนะในมือด้วยดวงตาดำทะมึน เขาก้มหน้าลงพร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า ”ดูเหมือนข้าต้องรีบย้ายที่นั่นไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว จะให้เขาหามันเจอไม่ได้…”
เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนบอกว่าสถานการณ์ภายในราชสำนักนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และตอนนี้ขุนนางทุกคนก็ได้รู้ซึ้งถึงขอบเขตอำนาจอันเด็ดขาดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับตาตัวเองอีกครั้ง ตอนแรกนั้นมันเป็นเพียงแค่พิธีสวดมนต์ของพระอาจารย์ชื่อดังเท่านั้น แต่ใครเล่าจะคิดว่าหลังจากนั้นพวกเขาจะเสียขุนนางไปหลายคน รวมถึงคนที่มาจากจวนผู้อาวุโสด้วย
“ฝ่าบาท พวกเราควรทำอย่างไรกับพระอาจารย์ที่มาทำพิธีสวดมนต์ดีพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมรอรับคำสั่ง พวกเขาจะขังคนพวกนั้นเอาไว้ในวังหลวงก็คงไม่ได้
หากเป็นตัวเขาในยามปกติ ป่านนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคงสังหารคนพวกนี้ไปนานแล้ว แต่เวลานี้ ทันทีที่เขานึกถึงดวงตาเป็นกังวลคู่นั้น นิ้วของเขาก็หยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ เขาจึงตอบขึ้นว่า ”เนรเทศพวกเขาออกไปซะ ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี”
“พ่ะย่ะค่ะ” ในเวลาเดียวกันกับที่เงาทมิฬลดสายตาลง ผู้ช่วยของกรมขุนนางก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความโล่งอก เพราะเขากลัวเหลือเกินว่าองค์ชายจะสั่งตัดหัวตามอำเภอใจ ต่อให้พระอาจารย์ชื่อดังพวกนี้จะไม่ได้มาที่วังหลวงด้วยเจตนาร้ายแต่แรก แต่การสังหารพระสงฆ์จำนวนมากเช่นนี้พร้อมกันก็ยังนับว่าเป็นบาปอยู่ดีมิใช่หรือ
โชคดีที่คราวนี้องค์ชายจัดการกับปัญหานี้ด้วยวิธีการปกติแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปัดเสื้อคลุมตัวเองอย่างช้าๆ และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็งอันเต็มไปด้วยความสูงส่ง ”ผู้ช่วยหลี่ มีอะไรอีกหรือไม่”
“ไม่ ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะร้องขอความเมตตาแทนบรรดาพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นเช่นนี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรวบรวมหลักฐานการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างผู้อาวุโสอู่และนายทหารในวังหลวงเข้าด้วยกันแล้วยืนขึ้น ”ในเมื่อไม่มีอะไร ทำไมเจ้าไม่ไปตรวจสอบดูล่ะว่าระดับน้ำในแม่น้ำของวังหลวงสูงขึ้นได้อย่างไรทั้งที่ไม่มีฝนตกในช่วงนี้ เจ้าเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือไม่ ผู้ช่วยหลี่”
ช่วงนี้ผู้ช่วยหลี่ติดพันอยู่กับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในวังหลวง แต่จะพูดก็ต้องพูดว่าเขายังนึกไม่ออกเลยว่าจะจัดการกับมันอย่างไร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสาเหตุการตายคืออะไร
หากคดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องเพียงแค่หนึ่งหรือสองคน เช่นนั้นมันย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ใครจะคิดว่าภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน จะมีนางกำนัลจำนวนมากเสียชีวิตภายในวัง มิหนำซ้ำร่างของพวกนางยังถูกสูบเลือดออกจนหมดตัวด้วยวิธีการใดก็ไม่มีใครรู้
ตอนนี้บรรดานางกำนัลทุกคนล้วนแต่หวาดกลัวจนตกอยู่ในอาการเหม่อลอยระหว่างทำงาน
หากคดีนี้เกิดขึ้นนอกวังหลวง อย่างน้อยเขาก็คงมีเวลามากพอให้ทำการตรวจสอบ
แต่บังเอิญว่ามันเกิดขึ้นในวังหลวง สถานที่ที่ควรจะปลอดภัยที่สุดในจักรวรรดิจ้านหลง!
เรื่องที่เกิดขึ้นย่อมทำให้ชื่อเสียงของฮ่องเต้มีมลทิน
ในฐานะผู้ช่วยของกรมขุนนางผู้มีหน้าที่ในการสืบสวนคดีนี้ ความทุกข์ทรมานที่เขาต้องประสบพบเจอในเวลานี้นั้นมีมากเพียงใดก็สุดจะคาดเดา
ตอนนี้เมื่อองค์ชายสามเตือน ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้
โอ้ ใช่แล้ว แม่น้ำนั่น!
แม่น้ำสายนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
หากไม่ใช่เพราะมีแม่น้ำสายนั้นปรากฏขึ้น ร่างของนางกำนัลพวกนั้นคงไม่ถูกพบช้าขนาดนี้
เรื่องนี้จะต้องไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน บนโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญ!
ผู้ช่วยของกรมขุนนางหรี่ตาลงอีกครั้ง สีหน้าของเขาเด็ดเดี่ยว ”ทำไมกระหม่อมถึงไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นกัน ความคิดขององค์ชายช่างชัดเจนยิ่งนัก”
“เพราะเจ้าโง่น่ะสิ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยคำห้าคำนั้นใส่เขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับค่อยๆ เดินออกไป
ผู้ช่วยของกรมขุนนางหันไปมองเงาทมิฬ เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งถูกองค์ชายดูถูกหรือ
เงาทมิฬเงยหน้าขึ้นมองเพดาน แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจในสีหน้าของผู้ช่วยหลี่
ทุกวันนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรับมือกับปัญหาทางการเมืองได้อย่างใจเย็นกว่าปกติ และยังยอมให้ผู้ช่วยหลี่ได้จัดการกับปัญหาเล็กน้อยแทนเขา และเมื่อใกล้ได้เวลา เขาก็มุ่งหน้ากลับไปที่ตำหนักจิ่วฉง
สำหรับคนที่กลัวเขาขึ้นสมองนั้น การที่เขากลับไปจึงทำให้พวกเขาโล่งอกยิ่งนัก…
“ฝ่าบาท” นางกำนัลที่อยู่ในตำหนักจิ่วฉงรีบตรงเข้ามารับใช้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทันทีที่พวกนางเห็นเขาเดินเข้ามาข้างใน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมือขึ้นปลดกระดุมคอเสื้อตัวนอก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเอียงเล็กน้อย แต่มันก็ยังดูดียิ่งนัก ”พระชายาอยู่ที่ไหน”
“พระชายากำลังอาบน้ำอยู่เพคะ” นางกำนัลคนนั้นตอบอย่างเคารพพร้อมกับยื่นมือออกไปรับเสื้อตัวนอกมาจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกมุมปาก ”อาบน้ำหรือ” หึ นางอาสาพาตัวเองมาป้อนให้ถึงปากเขาเชียวหรือ
“ไปอุ่นเหล้าและเตรียมมันใส่กาเอาไว้ จากนั้นนำมันมาที่นี่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสั่งด้วยน้ำเสียงอันลึกล้ำพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลัก แล้วจึงสุ่มหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาม้วนหนึ่ง
นางกำนัลรับคำและออกไป
โดยปกตินั้นเวลาที่พระชายาอยู่ที่นี่ องค์ชายจะไม่ยอมให้พวกนางอยู่ในห้องบรรทม และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
ขันทีคนอื่นๆ ที่เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีต่างก็รีบก้มหน้าแล้วถอยออกไป
ภายในห้องโถงแห่งนี้เหลือไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่เพียงลำพัง เขาอ่านม้วนกระดาษที่อยู่ในมือด้วยท่าทางสบายๆ ร่างของเขาอยู่ในชุดนอนตัวยาวที่คลุมลงมาถึงข้อเท้า กลิ่นอายราวกับผู้บำเพ็ญเพียรปกคลุมไปทั่วร่างของเขา ใบหน้าหล่อเหลาราวกับแสงจันทร์อันงดงามนั้นดูแตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับความเฉยชาที่เขาแสดงออกยามเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ในเวลานี้เขาดูน่าสัมผัสและมีบรรยากาศน่าดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง
เมื่ออวิ๋นปี้ลั่วที่ปลอมตัวเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามาข้างใน นางก็รู้สึกใจเต้นเมื่อเห็นเขา ภาพนั้นทำให้นางยากจะหายใจให้เป็นปกติได้
ในจำนวนผู้ชายทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ มีแค่เพียงชายคนนี้เท่านั้นที่หล่อเหลามากเสียจนทำให้ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถต้านทานเขาได้
อวิ๋นปี้ลั่วผ่อนลมหายใจ และลดเสียงลง ”องค์ชาย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาของเขาลึกล้ำราวกับบ่อน้ำโบราณที่แผ่บรรยากาศอันเย็นชาออกมา
แต่ในเวลานี้ความเย็นชานั้นกลับมีความอบอุ่นแฝงอยู่
อวิ๋นปี้ลั่วเห็นมันได้อย่างชัดเจน และเพราะมันเห็นได้ชัดถึงเพียงนั้น ความอิจฉาริษยาจึงปะทุขึ้นภายในใจของนาง
นางกล้าดีอย่างไร!
ผู้หญิงคนนั้นกล้าดีอย่างไรถึงโผล่มาจากที่ไหนไม่รู้และชิงเอาการดูแลเอาใจใส่ของเขาไปจากนาง!
นางเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเขามาตั้งแต่เด็ก
ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการมากไปกว่านางอีกแล้ว!
อวิ๋นปี้ลั่วกำมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวเข้าหากัน ทุกอย่างเป็นเพราะใบหน้านี้
หากวิญญาณดวงนั้นไม่ได้เข้ามาสิงในร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางก็คงไม่มีวันดึงดูดความสนใจขององค์ชายได้
ตอนนี้ในเมื่อนางเองก็มีใบหน้าเช่นเดียวกันกับเฮ่อเหลียนเวยเวย นางเชื่อว่าในไม่ช้าองค์ชายจะต้องมอบความรักให้กับนางเช่นกัน!
อวิ๋นปี้ลั่วยิ้มให้กับความคิดนั้น นางไม่ใช่คนโง่ และนางพอจะรู้จักนิสัยใจคอของผู้หญิงคนนั้นอย่างคร่าวๆ และรู้ว่าปกติแล้วนางเป็นคนจองหองอวดดีมาก และคิดว่าในยามปกตินั้นนางก็คงไม่ได้มาอยู่ใกล้ชิดกับองค์ชายเท่าใดนัก ดังนั้นอวิ๋นปี้ลั่วจึงเลียนแบบท่าทางของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”องค์ชายจัดการธุระเสร็จแล้วหรือ”