ตอนที่ 579 พี่ชายมาตามกลับบ้าน
เนื่องจากอาการของฉีฉีดีขึ้นแล้ว หลินม่ายจึงไม่แวะไปที่โรงพยาบาลอีก
อีกไม่ถึงเดือนก็จะสิ้นปีแล้ว ที่บริษัทมีเรื่องมากมายให้เข้าไปจัดการ
ช่วงสิ้นปีจะมีการประเมินพนักงาน กิจกรรมเหล่านี้ต้องดำเนินการโดยทันที
ถึงนโยบายการประเมินพนักงานจะหยิบยืมมาจากหน่วยงานรัฐ แต่ตราบใดที่การประเมินมีความยุติธรรมมากพอ ก็สามารถกระตุ้นความกระตือรือร้นของพนักงานได้
ร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วเข้าสู่ช่วงเดือนที่สิบสองตามจันทรคติ ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจเฟื่องฟูที่สุดของตลอดทั้งปี ยอดขายจึงดีเป็นพิเศษ
ด้วยเหตุนี้จึงต้องประกาศรับสมัครคนงานเพิ่ม เพื่อเพิ่มกำลังในการผลิตไม่ให้ขาด สินค้าจะได้เพียงพอสอดรับกับอุปทาน
หลินม่ายตั้งใจว่าถึงพนักงานขายทุกสาขาจะไม่ได้หยุดงานครบเจ็ดวันในช่วงปีใหม่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ควรได้รับวันหยุดรวมสามวันในวันส่งท้ายปีเก่า และวันแรกกับวันที่สองหลังจากวันขึ้นปีใหม่
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนการผลิต และผลิตเสื้อผ้าให้มากขึ้นก่อนจะถึงต้นปี เพื่อให้แน่ใจว่าวันหยุดทั้งสามจะไม่ส่งผลกระทบต่อกิจการ
พนักงานขายทุกคนทุ่มเททำงานอย่างหนักตั้งแต่ระยะแรกที่ก่อตั้งโรงงาน หลินม่ายไม่อยากใช้งานพวกเขาหนักจนเกินไป
นอกจากนี้ยังต้องจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับวันหยุดปีใหม่ให้กับพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่ สาหร่ายทะเล เนื้อหมู แอปเปิล น้ำตาลทรายขาว และน้ำตาลทรายแดง
ภายในประเทศเวลานี้ น้ำตาลทรายแดงและน้ำตาลทรายขาวยังถือเป็นสินค้าขาดตลาด ไม่สามารถหาซื้อได้หากไม่มีคูปอง
กว่างสีเป็นมณฑลที่ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของประเทศ ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้มีการเก็บเกี่ยวอ้อยอย่างรวดเร็ว แทบทุกครัวเรือนของชาวไร่อ้อยจึงมีวัตถุดิบหลักสำหรับผลิตน้ำตาลเป็นจำนวนมาก
ครั้งหนึ่งตอนที่หลินม่ายได้พูดคุยกับคุณป้าชาวกว่างสี นางพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่าทางการได้ออกเอกสารรับรองผลผลิตจากครัวเรือนในปีนี้แล้ว ชาวบ้านจึงทำงานกันหนักมาก จำนวนอ้อยที่เก็บเกี่ยวได้ก็พลอยเยอะตามไปด้วย
น่าเสียดายที่หมู่บ้านของพวกเขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ถนนหนทางไม่สะดวก โรงงานรับซื้ออ้อยของรัฐจึงเข้ามาในพื้นที่ลำบาก ทำให้ไม่สามารถขายอ้อยได้ ชาวไร่อ้อยส่วนใหญ่จึงยังยากจน
หลินม่ายส่งข่าวนี้ไปให้กับจ้าวเลี่ยง ขอให้เขาช่วยจัดหาคนไปรับซื้ออ้อยจากพวกชาวบ้าน
ประการแรก คือเพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในท้องถิ่น ประการที่สอง คือเธอจะได้นำน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดงมาแจกจ่ายเป็นสวัสดิการให้กับบรรดาพนักงาน แถมยังเอาไปขายในตลาดสดได้อีก สถานการณ์นี้จึงได้รับประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย
เธอเคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะพยายามเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้มาก ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นโดยฉุดรั้งให้บริษัทของตัวเองประสบความยากลำบากเสียเอง
ดังนั้นเธอจึงใช้โมเดลการค้าแบบได้ประโยชน์ร่วมกันเป็นหลัก
สักวันหนึ่ง บริษัทเล็ก ๆ ของเธอจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นเครือข่ายธุรกิจใหญ่โต ถึงเวลานั้นเธออาจมีกำลังมากพอในการช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่มีอะไรมาผูกมัด
อย่างไรก็ตาม การทำการกุศลช่วยเหลือสังคมก็เป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากจะเป็นการโฆษณาบริษัทของตัวเองทางอ้อมแล้ว ยังสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
เมื่อชีวิตประสบความสำเร็จแล้ว ก็ควรแบ่งปันให้กับผู้อื่น
เธอหาเงินทองมาได้มากมายขนาดนี้ ต่อให้ตายก็หอบเอาไปด้วยไม่ได้
เธอเสียสละทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการ ไม่ถือเป็นการลดคุณภาพชีวิตของตัวเองแต่อย่างใด
ในเมื่อการบริจาคให้กับผู้ด้อยโอกาสเหล่านั้นสามารถทำได้ในทันที แล้วเรื่องอะไรเธอจะไม่ทำล่ะ?
ถึงอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเอาทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดที่มี ไปบริจาคเพื่อการกุศลเหมือนกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
สองสามีภรรยาชราเต็มใจทำการกุศลด้วยตัวเอง โดยที่พวกเขาไม่เคยแนะนำให้คนรอบข้างทำแบบเดียวกัน
ทั้งสองต่างเคารพในวิถีชีวิตของผู้อื่น นี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจและไม่ได้รับความกดดัน
ถึงแม้ทุก ๆ วันหลินม่ายจะมีงานยุ่งล้นมือ แต่เธอก็ยังสละเวลาออกไปตระเวนตามตำบลเล็ก ๆ รอบเจียงเฉิง เพื่อกว้านซื้อชาคุณภาพสูงซึ่งมีราคาถูกเป็นจำนวนมาก โดยวางแผนว่าจะเอาไปขายในมองโกเลีย
ชาเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในมองโกเลีย ขายกันในราคาสูง
หลินม่ายตั้งใจว่าคราวนี้ตัวเองจะไม่พกเงินสดไปเป็นจำนวนมากอีกแล้ว จะเอาเงินที่ได้จากการขายชานี่แหละไปซื้อเนื้อแกะและเนื้อวัว
งานในบริษัทได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากซื้อชาเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เธอจะได้เดินทางไปยังมองโกเลียในวันรุ่งขึ้นเสียที หลินม่ายอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
ชาติที่แล้วเธอไม่เคยเฉียดแม้แต่มองโกเลียนอก นับประสาอะไรกับมองโกเลียใน ดังนั้นจึงตั้งตารอเป็นพิเศษ
ก่อนออกเดินทาง หลินม่ายวางแผนว่าจะทำอาหารมื้อใหญ่สักสองมื้อ ไม่ใช่แค่สำหรับตัวเธอเองและฟางจั๋วหราน แต่ทำเผื่อเคอจื่อฉิงกับเฉินเฟิงด้วย
เคอจื่อฉิงจะกลับไปที่กว่างโจวในวันพรุ่งนี้แล้ว เฉินเฟิงก็จะออกเดินทางไปพร้อมหล่อนเพื่อเข้าพบพ่อแม่ฝ่ายหญิงอย่างเป็นทางการ แล้วสู่ขอหล่อนอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อคืนตอนที่เคอจื่อฉิงนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับหลินม่าย หล่อนกระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับ
หล่อนกลัวว่าพี่ชายตัวเองจะต่อต้าน เมื่อรู้ว่าตัวเองตัดสินใจคบหากับเฉินเฟิง
ทั้งพี่ชายและพ่อแม่ของเธอต่างอยากให้หล่อนแต่งงานกับชายหนุ่มที่รับราชการ เป็นหมอ หรืออาชีพอะไรก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายมีพรสวรรค์และเหมาะสมกับลูกสาวตัวเอง
จึงกลัวว่าถ้าเฉินเฟิงเดินเข้าไปสู่ขอโต้ง ๆ อาจถูกครอบครัวทุบตีออกมาก็ได้
หลินม่ายรู้สึกอึ้งกับจินตนาการอันล้ำเลิศของหล่อน ถามว่า “แล้วเธอชอบเฉินเฟิงหรือเปล่าล่ะ?”
เคอจื่อฉิงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเองอย่างอาย ๆ ตอบกลับด้วยเสียงต่ำ “ฉันต้องชอบเขาอยู่แล้วสิ ถ้าไม่ชอบฉันจะยอมนอนกับเขาเหรอ…”
หลินม่ายกระชากผ้าห่มที่ถูกดึงขึ้นไปคลุมศีรษะของหล่อนออก จับอีกฝ่ายเขย่าตัวแรง ๆ ทันที “ในที่สุดเธอก็ยอมรับแล้วว่าคืนนั้นเธอเป็นฝ่ายรุก เธอเต็มใจนอนกับเฉินเฟิงจริง ๆ ด้วย”
เคอจื่อฉิงยิ่งอับอายเข้าไปใหญ่ รีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงอีกครั้ง แล้วหัวเราะคิกคักอยู่ข้างใน
หลินม่ายตบหล่อนเบา ๆ ผ่านผ้าห่มนวม ปลอบหล่อนว่าอย่ากังวลมากเกินไป
ถึงเฉินเฟิงจะไม่ได้ประกอบอาชีพที่มีเกียรติพวกนั้น แต่เขาก็มีตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัทของเธอ แถมยังได้รับเงินเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือน รูปลักษณ์หรือก็หล่อเหลา สูงยาวเข่าดี ไม่มีเหตุผลที่ครอบครัวของเคอจื่อฉิงจะดูถูกเขา
ส่วนเรื่องมรดกพันล้านที่เฉินเฟิงจะได้จากทางพ่อเลี้ยง หลินม่ายยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
ถ้าเฉินเฟิงอยากบอกเคอจื่อฉิง ก็ให้เขาเป็นคนบอกหล่อนด้วยตัวเองก็แล้วกัน เพื่อนอย่างเธอไม่อยากพูดมากจนเกินไป
ถึงหลินม่ายจะปลอบโยนเคอจื่อฉิงจนผล็อยหลับไป ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานะของเพื่อนสาวและเฉินเฟิง
ยุคสมัยนี้ ผู้คนยังให้ความสำคัญกับงานในองค์กรของรัฐเป็นอันดับหนึ่ง
ถ้าคนในครอบครัวของเคอจื่อฉิงยึดมั่นในอาชีพเหล่านั้น พวกเขาอาจคัดค้านไม่ยอมให้เคอจื่อฉิงและเฉินเฟิงแต่งงานกันก็ได้
เมื่อนึกถึงสถานการณ์นี้ หลินม่ายก็ขมวดคิ้วมุ่น
เธอถือวัตถุดิบที่ซื้อมาจากตลาดฝูตัวตัวไว้ในมือทั้งสองข้าง เดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง กระทั่งเห็นว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าดูคุ้นเคยเป็นพิเศษ
เธอเพ่งมองให้แน่ใจ นั่นไม่ใช่เคอจื่อหลาง พี่ชายของเคอจื่อสิงหรอกหรือ?
เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรกัน?
หลินม่ายรีบวิ่งไปหาเคอจื่อหลางแล้วตะโกนว่า “พี่เคอ สวัสดีค่ะ”
เคอจื่อหลางหันหน้ากลับไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นหลินม่ายก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีครับ ผมกำลังตามหาคุณอยู่พอดี”
หลินม่ายอดประหลาดใจไม่ได้ ถ้าเขาจะตามหาใครสักคน เขาควรไปตามหากับฟางจั๋วหรานถึงจะถูก ทำไมต้องมาตามหาเธอโดยตรงด้วย หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเคอจื่อฉิง?
การคาดเดาของหลินม่ายถูกต้อง การที่เคอจื่อหลางเดินทางมาเจียงเฉิงเพื่อตามหาเธอในครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับเคอจื่อฉิงอย่างไม่ต้องสงสัย
เคอจื่อฉิงขอลางาน แต่ระยะการลางานของหล่อนนานเกือบหนึ่งสัปดาห์ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไปถึงหูของเคอจื่อหลางอย่างรวดเร็ว
เขาจึงได้รับคำสั่งจากพ่อแม่ให้พาตัวเคอจื่อฉิงกลับไปที่กว่างโจว
หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
เคอจื่อหลางยิ้มด้วยสีหน้าเขินอาย “น้องสาวผมแวะมาสร้างปัญหาให้คุณอีกแล้วใช่ไหมครับ?”
หลินม่ายสั่นศีรษะ “จื่อฉิงไม่ได้สร้างปัญหาให้ฉันซะหน่อยค่ะ หล่อนอาสาช่วยฉันทำงานด้วยซ้ำไป”
เคอจื่อหลางชำเลืองมองวัตถุดิบจำนวนมากในมือเธอ “ผมรู้จักน้องสาวตัวเองดี ถึงหล่อนไม่ได้มารบกวนคุณเรื่องอื่น แต่หล่อนต้องรบกวนคุณเรื่องอาหารการกินแน่”
หลินม่ายได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ไม่กล้าตอบอะไร
ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้วิลล่า ก็เห็นว่าเคอจื่อฉิงวิ่งออกมาจากตัวบ้านเพื่อมาเปิดประตูให้กับเฉินเฟิง ก่อนจะกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเฉินเฟิงเต็มรัก
เคอจื่อหลางตกตะลึงจนนิ่งอึ้งไปทันที หันมาถามหลินม่ายว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
หลินม่ายปวดหัวกับสถานการณ์ตรงหน้า ถามกลับ “จื่อฉิงกับเฉินเฟิงเป็นแฟนกัน คุณไม่รู้เรื่องนี้เหรอคะ?”
ใบหน้าของเคอจื่อหลางเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธ “ยัยเด็กบ้า กล้าดียังไงถึงปิดบังเรื่องใหญ่แบบนี้จากคนในครอบครัว! ผมพยายามถามหล่อนตั้งหลายครั้งว่าทำไมรอบนี้ถึงได้ขอลางานนานนัก หล่อนบอกว่าตั้งใจมาหาคุณ ที่แท้ก็แอบมาหาแฟนนี่เอง”
เมื่อเห็นว่าเขาเกือบจะวิ่งปรี่เข้าไปหาทั้งสองอยู่แล้ว หลินม่ายจึงรีบหันไปห้ามปรามเขา “พี่เคอคะ ใจเย็นลงก่อนเถอะค่ะ!”
เคอจื่อหลางพยายามสงบสติอารมณ์
ถึงยังไงน้องสาวของเขาก็เป็นหญิงสาวที่บรรลุนิติภาวะและอายุเกินยี่สิบแล้ว เขาจึงไม่ต้องการทำให้หล่อนอับอายในที่สาธารณะ
แต่ภาพที่เขาเห็น และสิ่งที่ได้ยินต่อจากนี้ ทำให้เขาไม่สามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้อีกต่อไป
เคอจื่อฉิงพูดด้วยใบหน้าเป็นกังวล “เราเพิ่งจะรู้จักกันแค่แป๊บเดียว คุณก็ไปที่บ้านฉันเพื่อขอฉันแต่งงานซะแล้ว ฉันกลัวว่าพี่ชายอาจมองออกว่าเราสองคนเคยมีความสัมพันธ์เกินเลยไปถึงจุดนั้น ถึงพี่ชายฉันจะดูเป็นคนโง่ที่หลอกง่าย แต่เขาฉลาดกว่าที่คิดซะอีก”
เคอจื่อฉิงกำลังระบายความกังวลต่าง ๆ นานาที่อัดอั้นอยู่ในใจ ทันใดนั้นเมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ที่อยู่ในความคิดมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของหล่อนก็ซีดลงด้วยความตกใจ
หล่อนอุทานลั่น “เวรแล้ว พี่ชาย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
เคอจื่อหลางพยายามสะบัดมือของหลินม่ายที่พยายามตะครุบแขนเสื้อของเขาเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “ดีเหลือเกินที่ฉันตัดสินใจมาที่นี่ ไม่งั้นคงไม่รู้ว่าเธอแอบทำอะไรน่าละอายลับหลัง แถมยังได้รู้ด้วยว่าในสายตาเธอแล้วฉันเป็นคนโง่ยังไง!”
เคอจื่อฉิงรู้ตัวว่าตัวเองคงตายแหง ๆ ต่อให้พระโพธิสัตว์จะเสด็จลงมาโปรดก็ไม่สามารถช่วยเหลือหล่อนได้
หล่อนกลัวมากจนหลบไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเฉินเฟิง
เฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้าแล้วยอมรับอย่างอาจหาญ “พี่ชาย ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเองครับ อย่าโทษจื่อฉิงเลย”
“ต้องเป็นความผิดนายแหงอยู่แล้วสิวะ!”
ถึงเคอจื่อหลางจะเป็นคนที่วางตัวดีแค่ไหน แต่ด้วยความโมโห ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเหวี่ยงกำปั้นขึ้นชกเฉินเฟิง
น้องสาวผู้บอบบางราวกับดอกไม้ของเขาโดนชายผู้คนนี้กระทำย่ำยี จะให้ทนได้อย่างไร เขาทนไม่ได้หรอก!
เฉินเฟิงมีร่างกายแข็งแกร่ง ทั้งยังสูงกว่าเคอจื่อหลาง
เขาเหยียดแขนออกไปโดยสัญชาตญาณเพื่อป้องกันหมัดของเคอจื่อหลาง ทำให้อีกฝ่ายเซถอยหลังไปสองสามก้าวราวกับว่าตัวเองชนเข้ากับแผ่นเหล็ก
โชคดีที่หลินม่ายรีบประคองเขาไว้จากด้านหลัง ทำให้เขาไม่เสียการทรงตัวจนเกินไป ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาคงล้มก้นจ้ำเบ้าไปกองกับพื้นแล้ว
เคอจื่อฉิงขมวดคิ้วทันที ก้าวออกมาจากด้านหลังเฉินเฟิง จ้องเขม็งมองเขาด้วยสายตาเฉียบคม จากนั้นก็ระดมต่อยและเตะเขาทันที “คนบ้า กล้าดียังไงถึงทุบตีพี่ชายฉัน! พ่อแม่ยังไม่เคยตีพวกเราเลย มีแต่เราสองพี่น้องที่ตีกันเอง! นายกล้าตีพี่ชายฉัน ฉันจะต่อยนายเดี๋ยวนี้!”
เฉินเฟิงถูกทุบตี แต่เขาไม่ได้ต่อสู้กลับ
หลินม่ายรีบวิ่งเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกันเหมือนกรรมการห้ามมวย หันไปพูดกับเคอจื่อฉิง “จื่อฉิง เฉินเฟิงยังไม่ทันได้ตีพี่ชายเธอด้วยซ้ำ!”
เคอจื่อฉิงไม่ฟังเธอ ผลักเธอออกไปด้านข้าง แล้วใช้ความรุนแรงกับเฉินเฟิงต่อไป
เคอจื่อหลางทนเห็นภาพนั้นไม่ได้อีกต่อไป วาดขาเตะบั้นท้ายเคอจื่อฉิงแล้วตะโกนลั่น “หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว กลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้ จะทำตัวน่าอายไปถึงไหน!”
เคอจื่อฉิงกลายร่างเป็นหญิงสาวแสนเชื่อฟังภายในไม่กี่วินาที ยอมเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย
เฉินเฟิงที่สภาพเสื้อผ้ายุ่งเหยิงไล่ตามเขาไปสองก้าว พูดว่า “พี่ชายครับ ถ้ากลับไปแล้วอย่าลงโทษจื่อฉิงของผมเลยนะ”
เคอจื่อหลางตอบกลับโดยไม่หันหน้ากลับมามอง “หุบปากซะ น้องสาวฉันยังไม่ได้แต่งงานกับนาย!”
เฉินเฟิงเหลือบมองไปทางหลินม่ายด้วยความจนปัญญา
ตอนแรกเขากังวลไม่น้อยว่าหลังจากนี้สองพี่น้องอาจมีปากเสียงขัดแย้งกันไปตลอดทาง
เคอจื่อฉิงพยายามดึงแขนเสื้อพี่ชายเข้ามาใกล้เพื่อแสดงความประจบ แต่กลับถูกพี่ชายผลักไสอยู่เรื่อย
หลังจากนั้น การแรงสะบัดก็ยิ่งทวีคูณขึ้น จนในที่สุดเคอจื่อฉิงเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น
เคอจื่อหลางรู้สึกผิดที่ทำให้น้องสาวเจ็บตัว รีบดึงหล่อนขึ้นมา แล้วเดินจากไปโดยจูงมือหล่อนตามหลัง
หลินม่ายหันหน้าไปส่งยิ้มให้เฉินเฟิง “ดูเหมือนว่าพวกเราคงกังวลมากเกินไปแล้วล่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องยังเป็นไปด้วยดี!”
เฉินเฟิงเห็นแบบนั้นก็คลี่ยิ้มด้วยความโล่งใจ
ถึงเคอจื่อฉิงจะถูกพี่ชายมาลากกลับไปก่อน แต่เฉินเฟิงก็ยังเดินทางไปที่กว่างโจวในวันรุ่งขึ้นตามแผนเดิมที่วางเอาไว้
อีกหนึ่งวันถัดมา หลินม่ายและฟางจั๋วหรานก็เริ่มออกเดินทางเช่นเดียวกัน
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่ชายรู้แล้ว เห็นเต็มสองตาเลย กลับไปเคลียร์กันดีๆ แล้วกันนะ
ไหหม่า(海馬)