เสียงฟู่นี้เดิมทีไม่ได้มีอานุภาพมากมายอะไร มากสุดก็ทำให้รู้สึกเหมือนก๊าซปะทุขึ้นเท่านั้น ทว่า…เมื่อมันถูกซ้อนทับกันจนแข็งแกร่งถึงขีดสุด
ทุกอย่างก็ต่างออกไป
ต้องทราบก่อนว่าก่อนหน้านี้อักขระเสียงฟู่ 60 กว่าตัวซ้อนทับกันก็มีพลังมากพอที่จะทำลายความว่างเปล่าได้แล้ว ตอนนี้…ซ้อนทับกัน 3,000 กว่าตัว อานุภาพของมันจะเป็นเช่นไร แม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ยังไม่แน่ใจ
เนื่องจากเขาเป็นคนมีฝัน ความสนใจของเขาจึงมุ่งไปที่ท่วงทำนองเสียงฉินโบราณเท่านั้น เพื่อที่จะรังสรรค์บทเพลงที่สมบูรณ์ของตนเอง รวมถึงรวบรวมให้กลายเป็นบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองอันกว้างใหญ่
ดังนั้นเมื่อเขาหมกมุ่นอยู่กับความฝันนี้ เขาจึงไม่ได้สนใจเสียงฟู่ที่เหมือนกับเสียงผายลมมากนัก
สิ่งนี้ทำให้สือหลิงจื่อกลายเป็นผู้ฝึกตนที่ได้สัมผัสมันอย่างแท้จริง แม้ผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินก่อนหน้านี้จะแหลกสลายอยู่ในเสียงฟู่ แต่เสียงฟู่ในตอนนั้นยังห่างไกลจากตอนนี้มากนัก
ดังนั้น…ท่ามกลางราตรีอันบิดเบี้ยวจากฝีมือสือหลิงจื่อที่ทำให้มันยืดยาวออกไป หวังเป่าเล่อก็ขยับอักขระเสียงในร่างกาย และพริบตาต่อมา…
เสียงฟู่ก็ดังขึ้น
ดูเหมือนแค่หนึ่งเสียง แต่ในความเป็นจริงคือมากกว่า 3,000 เสียงซ้อนทับกัน แทบจะในพริบตาราตรีระหว่างหวังเป่าเล่อกับสือหลิงจื่อก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ กินพื้นที่ไปหลายร้อยจั้งและยังขยายออกไปเป็นบริเวณกว้าง ด้วยเหตุนี้ราตรีของบริเวณอื่นจึงสลายไป
ทว่า…ความตื่นตะลึงของฉากนี้ทำให้สือหลิงจื่อกลับดวงตาหดแคบ ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรฟ้าดินก็ดูเหมือนกำลังจะพังทลาย เพลงดาบและมีดกวีของเขาเจอกับหายนะเป็นอันดับแรก ในพริบตา…เงาร่างดาบจากบทเพลงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
มีดกวีก็เช่นกัน ทันทีที่ได้รับอิทธิพลมันก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ส่วนคลื่นเสียงที่เกิดจากเสียงฟู่ก็ยังคงไม่สิ้นสุด มันพุ่งเข้าใส่สือหลิงจื่อทำให้เขาตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่ดวงตาหดแคบ แม้แต่หน้าก็เปลี่ยนสี ร่างกายพลันถอยหนีอย่างรวดเร็วและสลายตัวไปในบทเพลงทันที เขาคิดจะใช้ร่างมายาหลบหนีอักขระเสียงอันน่าสะพรึงกลัวนั่น
ทว่าในพริบตาที่เขาแปลงกายเป็นบทเพลงนั้นเอง คลื่นเสียงฟู่ก็พุ่งมา ทุกที่ที่มันผ่านไปล้วนทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆพลิกตลบ สือหลิงจื่อที่ผสานเข้ากับบทเพลงนั้น ไม่นานบทเพลงของเขาก็พังทลาย ร่างกายราวกับถูกบีบบังคับให้ออกมาอีกครั้ง สีหน้าตื่นตระหนก กระอักเลือดเต็มปากอย่างควบคุมไม่ได้
เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกมวลอากาศมหาศาลระเบิดใส่หน้าและร่างกายก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปไกล
“นี่…นี่…” สือหลิงจื่อมึนงง สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน แม้จะมีคนพยายามทำลายสภาพตอนเขาแปลงกายเป็นบทเพลง แต่ส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาพลังภายนอกหรือใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนสภาพหรือไม่ก็อาศัยบทเพลงที่สมบูรณ์กว่าในการสยบเขา
แต่…การถูกอักขระเสียงตัวเดียวซัดปลิวเช่นนี้ เขาเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรกในชีวิต
หากแต่ความขุ่นเคืองของหวังเป่าเล่อยังไม่สิ้นสุด ท่ามกลางเสียงคำรามต่ำ หวังเป่าเล่อก็กวาดดวงจิตเทพสัมผัสอักขระเสียงของตนอีกครั้ง
พริบตาต่อมาเสียงฟู่ก็ดังขึ้นอีกรอบ
สือหลิงจื่อหน้าเปลี่ยนสีอย่างสิ้นเชิง เขารู้สึกได้ถึงวิกฤตความเป็นความตายอย่างรุนแรง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาทั้งไม่คุ้นเคยและไม่อยากจะเชื่อ สองมือผนึกมุทราอย่างรวดเร็ว ก่อนที่บทเพลงจะทยอยกันปะทุออกมา
เขาที่อยู่ในระดับบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองใช้แค่สองบทเพลงโจมตีหวังเป่าเล่อไปเมื่อครู่ แท้จริงแล้วในบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของเขามีทั้งหมดสิบบทเพลง ซึ่งในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้เขาไม่ลังเลเลยที่จะปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น
ทันใดนั้นบทเพลงอลังการก็ดังกระหึ่ม บทเพลงต่างๆ ก่อตัวเป็นอาวุธพุ่งเข้าใส่เสียงฟู่ของหวังเป่าเล่อ ทว่าในพริบตาที่ทั้งสองปะทะกัน บทเพลงเหล่านั้นก็พังทลาย
แต่ถึงอย่างไรสือหลิงจื่อก็นับเป็นระดับยอดฝีมือในด้านกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง บทประพันธ์แห่งท่วงทำนองพังพินาศ แต่ก็หักล้างอานุภาพอักขระเสียงของหวังเป่าเล่อไปได้ เพียงแต่…อักขระเสียงของหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ดังแค่ครั้งสองครั้ง
“มาอีกสิ!” หวังเป่าเล่อคำรามขณะอักขระเสียงดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม
ฟู่!
สือหลิงจื่อที่บทเพลงถูกทำลายไปหมดแล้วตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เลือดกระอักออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกถูกมวลอากาศระเบิดใส่หน้าทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ
ความจริงคือ…แม้อักขระเสียงจะทรงพลัง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับความอับอายขายหน้าของเขา ความอับอาย…ได้มาถึงระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแล้ว
ทุกอย่างยังไม่จบสิ้น ท่ามกลางราตรีที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ และกำลังจะถูกเวลากลางวันเข้ามาแทนที่ แม้ทั้งนอกร่างกายสือหลิงจื่อและหวังเป่าเล่อต่างปรากฏมวลแห่งการเคลื่อนย้ายและกำลังจะถูกส่งตัวออกไป แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ไว้หน้าและระเบิดพลังสุดตัว
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” หวังเป่าเล่อคำราม จากนั้นเสียงฟู่ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า…จนกระทั่งครั้งที่แปดก็ระเบิดออกมาติดๆ กัน
ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่!
สือหลิงจื่อไร้หนทางหลบหนี เสียงฟู่ที่สี่ทำให้เขากระอักเลือด ดวงตาแดงก่ำ เขาพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อท่ามกลางเสียงกรีดร้องคำราม
ทว่าเขากลับได้รับการทักทายจากเสียงฟู่ที่ห้าและหกกลางอากาศแทน
ร่างของเขากระเด็นกลับไปทันที เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาคลุ้มคลั่งและสำแดงบทเพลงเพื่อโจมตีอีกครั้ง แต่เสียงฟู่ที่เจ็ดและแปดก็ได้ทำลายทุกอย่างจนหมดสิ้น สือหลิงจื่อกระอักเลือดซ้ำๆ ร่างกายเหมือนเชือกที่ถูกตัดขาด กระเด็นกระดอนไปไกลหลายร้อยจั้ง
“อ้าอ้าอ้าอ้าอ้า!!” กว่าจะหยุดร่างกายที่กระเด็นไปได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น ลมหายใจหอบถี่ สือหลิงจื่อคับแค้นใจถึงขีดสุด อวัยวะภายในปริแตก ลมปราณรวยริน แต่จิตสังหารและความขุ่นแค้นของเขากลับยิ่งรุนแรง
จนเขาเกือบจะสังเวยตัวเองระเบิดเคล็ดวิชาลับที่ตนเก็บซ่อนมาหลายปีเพื่อเตรียมจะช่วงชิงตำแหน่งเต๋าจื่ออันดับหนึ่งออกมา
แต่…ก็สายเกินไปแล้ว ขณะนี้ราตรีที่เขากับหวังเป่าเล่อยืนอยู่ได้ถูกแสงแดดยามเช้าปกคลุมจนทุกอย่างไม่อาจดำรงอยู่ได้ ร่างของเขาและหวังเป่าเล่อหายวับ
หลังจากนั้นก็มาปรากฏอยู่ทางเหนือของเมืองที่ห่างไกลจากร้านอาหารของหวังเป่าเล่อ ในลานบ้านนั้นหรูหรามาก มีเสียงคำรามด้วยความบ้าคลั่งและความหงุดหงิดถึงขีดสุด
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าจะตามหาเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!!”
เสียงนี้ดังมาจากลานบ้านปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองปรารถนาเสียง ส่งผลให้ผู้คนในเมืองได้ยินโดยทั่วกัน ผู้คนไม่น้อยถึงกับหน้าเปลี่ยนสี พากันมองไปยังทิศทางของเสียง บางคนจำเสียงนี้ได้และรู้จักตัวตนของสือหลิงจื่อจึงทำหน้าประหลาดใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับสือหลิงจื่อกัน”
“คลุ้มคลั่งถึงเพียงนี้แล้วยังโกรธเกรี้ยว สือหลิงจื่อแบบนี้หาได้ยากอย่างยิ่ง…”