ทันทีที่เด็กชายพูดจบ เสียงระเบิดก็ดังก้องไปทั่วบรรยากาศ
อสรพิษสีดำที่เคยพันอยู่รอบตัวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากพลังบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นอย่างไร้ที่มา!
หมอกสีเลือดโรยตัวลงในอากาศพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา…
วิญญาณอาฆาตทั้งสองตนตัวแข็งทื่อ พวกเขาค่อยๆ หันศีรษะมองกลับไปด้านหลัง
รองเท้าหุ้มข้อสีดำย่ำลงกับพื้นอย่างเป็นจังหวะ สายลมที่พัดเข้ามาจากทั่วทุกทิศทางทำให้เสื้อคลุมสีดำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลอยขึ้น เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเย็นชาและสง่างาม กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายปกคลุมไปทั่วตัวของเขา และแผ่กระจายออกไปพร้อมกับหมอกสีดำ
วิญญาณอาฆาตจ้องเขาตาไม่กะพริบ นัยน์ตาสีดำตาลของเขาเบิกกว้างจนมีขนาดเท่ากับจานรองแก้ว ราวกับว่าเขาเพิ่งได้เห็นสิ่งที่เหลือเชื่อ ความประหลาดใจอย่างรุนแรงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ริมฝีปากสีซีดของเขาเผยอขึ้นทีละน้อยราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าคอของเขาแห้งผากเกินกว่าจะส่งเสียงใดๆ ออกมาได้
เขาทำได้เพียงมองดูไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวยาวๆ ย่นระยะเข้ามาหาพวกเขาเท่านั้น…
ทันใดนั้นเวลาก็ราวกับหยุดนิ่งอยู่กับที่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของวิญญาณอาฆาตทั้งสองตน ขาเรียวยาวของเขาดูแข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งขึ้นเมื่อมองจากด้านล่าง โหนกแก้มที่เด่นออกมาจากใบหน้าด้านข้างของเขาเผยให้เห็นผิวขาวซีดชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด อีกทั้งยังเจือไปด้วยความชั่วร้าย เมื่อเทียบกับตัวตนอันเย็นชาที่เขามี ท่าทางเช่นนี้ก็เหมือนกับการเสริมบรรยากาศอันยากจะอธิบายได้ให้กับเขา
“ฝ ฝ่าบาท…” สีหน้าของวิญญาณอาฆาตเปลี่ยนไปในทันที พวกเขายกมือขึ้นกำเสื้อของตัวเองพร้อมกับทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสพลางหอบหายใจออกมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปยกวิญญาณอาฆาตตนหนึ่งขึ้นจากพื้น มุมปากของเขากระตุกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย ”ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย บอกข้ามาว่าเจ้าเอานางไปไว้ที่ไหน”
“ที่… ที่กลางแม่น้ำ…” ใบหน้าที่เดิมเคยขาวซีดของเด็กชายเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง
วิญญาณอาฆาตอีกตนหนึ่งตัวสั่นด้วยความกลัว เขากลัวว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะทำร้ายพี่ชายของตัวเอง แต่ก็ยังพยายามเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า ”ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมเพียงแค่ทำพันธสัญญากับใครบางคนเท่านั้น พวกกระหม่อมไม่รู้ว่านางเป็นเหยื่อของท่าน”
“เจ้าเรียกใครว่า ’ฝ่าบาท’” ประกายแสงสีแดงวาบขึ้นในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทันทีที่เขาเคลื่อนสายตาลง จากนั้นเขาก็ทุ่มวิญญาณอาฆาตที่อยู่ในมือลงกับพื้นด้วยการเหวี่ยงแขนซ้ายอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว เสียงสะอื้นไห้ของบรรดาภูตผีที่อยู่รายล้อมปกคลุมไปทั่วบริเวณ แต่บนใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มเกียจคร้านติดจะชั่วร้ายกลับคืนมา ร่างของเขาอาบไปด้วยเลือด แม้กระทั่งใบหน้าก็ยังเต็มไปด้วยรอยสีแดงเข้มอีกจำนวนหนึ่ง ในเวลานี้เขาดูเหมือนกับนายเหนือหัวผู้ควบคุมความมืด ความเย็นชาไม่แยแสที่เขาเคยมีก่อนหน้านี้พลันลดน้อยลง แต่กลับแทนที่ด้วยสีหน้าท่าทางอันหล่อเหลาที่สามารถทำให้ทุกคนตกตะลึง!
วิญญาณอาฆาตสองตนนั้นยืนอยู่ข้างกัน พวกมันหวาดกลัวเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา และทำได้เพียงแค่มองชายคนนั้นสาวเท้าเดินหายลับไปในความมืดยามราตรีเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเขาคือจอมปีศาจผู้ชั่วร้ายที่เคยท่องอยู่ในแดนมนุษย์ แต่เขาเบื่อหน่ายกับอำนาจอันสูงส่งเทียมเทพที่มาพร้อมกับใบหน้าบริสุทธิ์และปราศจากซึ่งมลทินของตัวเอง เช่นเดียวกันกับความสง่างามที่เขาได้มาโดยไม่ต้องพยายามแม้แต่น้อย ท่าทางราวกับนักพรตผู้ทรงศีลของเขาสามารถหลอกลวงผู้คนได้ทั้งโลก
ไม่ว่าจะเป็นภูตผีหรือปีศาจ ทุกสรรพสิ่งล้วนแต่ให้การเคารพในตัวเขาอย่างสูงสุด
ครั้งหนึ่งผู้ชายคนนี้เคยยืนอยู่เหนือสวรรค์ทั้งเก้า อาบแสงอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่สักการะบูชาของประชากรชาวปีศาจจำนวนมากมาโดยตลอด
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เคยถามเขาว่าเขาปรารถนาจะทำสิ่งใด
เขาตอบว่า ”ข้าปรารถนาให้ท้องฟ้ามิอาจกั้นขวางดวงตาข้า แผ่นดินนี้มิอาจฝังหัวใจของข้าได้ และปรารถนาให้ทุกสรรพสัตว์ได้รับรู้ถึงเจตจำนงของข้า ให้พระพุทธองค์ทั้งหมดจงสลายหายไปราวกับควันไฟ!”
ไม่ผิดแน่!
เขาคือราชาของพวกเขา!
แต่ทำไมถึงดูเหมือนกับว่าราชาของพวกเขาจำพวกเขาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวล่ะ?!
อีกอย่างหนึ่ง ราชาของพวกเขาก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วมิใช่หรือ
เขาจะกลายเป็นมนุษย์ได้อย่างไร
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังสัมผัสได้ถึงพลังปีศาจที่ยังไม่เสถียรภายในร่างของเขาได้ด้วย
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
วิญญาณอาฆาตทั้งสองตนมองหน้ากันด้วยความสับสน ในดวงตาของพวกเขามีความสงสัยอย่างมากปรากฏขึ้น
หลังจากสงครามครั้งนั้น นักล่าปีศาจและบรรดาลูกหลานของคนพวกนั้นก็ฉวยโอกาสนำเลือดเนื้อของพวกเขาไปใช้สร้างผนึกพวกนั้นขึ้นมา
พวกเขาสามารถหนีเอาตัวรอดมาได้เพราะพวกเขาเกิดจากปราณแห่งความเคียดแค้นของมนุษย์
วิญญาณของราชาถูกแบ่งออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนนับไม่ถ้วน และกระจัดกระจายไปทั่วโลกแดนมนุษย์ แต่กายเนื้อของเขากลับสูญหายไปตลอดกาล ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ดังนั้นทั้งมนุษย์และบรรดาปีศาจจึงคิดว่าเขาจากไปแล้ว…
นอกเสียจากว่าเขาวางแผนที่จะกลับมาเอาไว้ตั้งแต่ต้น
แผนการที่ไม่มีใครคาดคิด… นั่นก็คือการเกิดใหม่!
แกร๊ก...
ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินไปถึง กลุ่มหมอกหนาทึบที่ลอยค้างอยู่ในอากาศก็เริ่มส่งเสียงเหมือนกระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะเปิดทางให้กับเขา
บันไดลึกปรากฏขึ้นกลางแม่น้ำอย่างเลือนราง ล้อมรอบไปด้วยคบเพลิงที่มีเปลวไฟสีน้ำเงินลุกโชติช่วงอยู่
เด็กชายตัวน้อยที่กำลังจับตาดูเพลิงแห่งความเคียดแค้นชะงักไปเล็กน้อย ดวงตากลมของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ นัยน์ตาคู่นั้นสอดส่ายไปมา ”นายท่าน นี่เป็นกลิ่นของชายคนนั้นหรือขอรับ”
สัตว์อสูรครึ่งปีศาจยังขาดความมั่นคงหนักแน่นหากเทียบกับเด็กชายตัวน้อย เมื่อตกอยู่ภายใต้ความกดดันอันไร้ที่มานี้ เลือดของมันจึงเริ่มเดือดพล่านในทันที ยิ่งกว่านั้นกรงเล็บของมันก็ยังเริ่มสั่นอย่างไม่อาจควบคุมจนมันแทบยืนไม่อยู่ มันรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังออกคำสั่งกับมันอยู่ และสั่งให้มันคุกเข่าลง!
ชายชุดขาวเคลื่อนสายตาขึ้นมอง กระแสคลื่นแห่งความประหลาดใจแล่นเข้ามาในดวงตาของเขา ภาพที่สะท้อนอยู่ในน้ำนั้นคือภาพของนัยน์ตาสีดำสนิทที่จ้องมองกลับมาหาเขาด้วยความอ่อนโยน สง่างาม แต่ก็แฝงไปด้วยความอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ”เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ!” ทันทีที่พูดจบ ชายคนนั้นก็หันหน้าไปหาเด็กชายตัวน้อย ”กี่โมงแล้ว เหลือเวลาอยู่อีกเท่าใด”
“ไม่มากขอรับ” เด็กชายตัวน้อยโยนวิญญาณอาฆาตอีกตนหนึ่งเข้าไปในคบเพลิงที่ลุกโชติช่วงอยู่นั้น
เปลวเพลิงขยายใหญ่ขึ้นก่อนจะค่อยๆ ลามไปรอบโลงศพ และล้อมรอบเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้!
ชายคนนั้นหัวเราะออกมาเล็กน้อย และกัดนิ้วมือของตัวเองอย่างแรง ก่อนจะยื่นนิ้วส่งเลือดหยดหนึ่งเข้าไปในปากของเฮ่อเหลียนเวยเวย สายตาเปี่ยมด้วยความรักของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าอันซีดเซียวของนาง
“ตอนนี้ต่อให้คนคนนั้นปรากฏตัวขึ้น เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกต่อไป เจ้าไม่สามารถแทนที่พระชายาได้ ดังนั้นจงกลับไปในที่ของเจ้าเสีย เฮ่อเหลียนเวยเวย”
พรึ่บ!
เปลวเพลิงสีน้ำเงินลุกโชน!
หลังกลับจากนรก ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็สามารถเรียกประสาทสัมผัสของตัวเองกลับคืนมาได้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนผิวหนังกำลังติดไฟ อีกทั้งนางยังไม่สามารถผสานร่างเข้ากับร่างนั้นได้ ความรู้สึกแสบร้อนที่เกิดขึ้นทำให้นางรู้สึกราวกับตัวเองกำลังถูกทรมานอยู่ในเพลิงนรกก็ไม่ปาน
นางทำอะไรไม่ได้นอกจากมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากผิวทะเลสาบ และก้าวเท้าเดินตรงไปยังร่างนั้นอย่างสง่างาม…
ในเวลาเดียวกันนั้น นางไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับตัวเลยด้วยซ้ำ วิสัยทัศน์การมองเห็นของนางถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ภาพของร่างนั้นและทะเลเพลิงขนาดใหญ่เท่านั้น
วิญญาณของนางราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะ และกำลังล่องลอยไปที่ไหนสักแห่ง
ว่ากันว่าช่วงเวลาก่อนสิ้นใจนั้นจะเต็มไปด้วยภาพความทรงจำจากช่วงชีวิตที่ผ่านมา
แต่สิ่งที่นางเห็นกลับเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในตำหนักจิ่วฉง
เขาถูกข้ารับใช้ในวังหลวงกลั่นแกล้งจนถึงขั้นที่ได้กินเพียงแค่เศษอาหาร แม้กระทั่งมารดาของเขาที่ดูสง่างามเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยังใช้เขาเป็นกระสอบทรายในตอนที่นางสูญเสียความโปรดปรานไป นางจะเรียกเขาเข้ามายืนข้างๆ และใช้เข็มเงินแทงเขาทีละเข็ม
เลือดเย็นๆ ไหลซึมออกมาจากระหว่างนิ้วของเขาในตอนที่เขาเอนหลังพิงกับประตูไม้ ผมยาวของเขาถูกย้อมเป็นสีเดียวกันกับน้ำหมึกที่สยายลงมาบนไหล่นั้นทำให้เขาดูเหมือนภูตที่กำลังหมดหวังกับชีวิต
สายตาของเขาก้มลงมองพื้นระหว่างพึมพำราวกับกำลังเหยียดหยันตัวเองว่า ”ช่างโง่เขลานัก! ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะต้องเป็นเช่นนี้ แต่ข้ากลับยังคาดหวังและไร้เดียงสายิ่งนัก”
ระหว่างที่เขาพูดอยู่นั้น ลมสายหนึ่งก็พัดเอาผมของเขาไปปิดบังนัยน์ตาสีแดงอันน่าหลงใหลนั้นเอาไว้
นางยืนอยู่ตรงหน้าเขา และไม่สามารถข่มความเจ็บปวดอันบีบคั้นหัวใจที่ก่อตัวขึ้นมาได้อีกต่อไป นางอยากยื่นแขนออกไปรั้งเขาเข้าสู่อ้อมกอดของนางยิ่งนัก
แต่น่าแปลกที่นางกลับทะลุผ่านร่างของเขาไป…