เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงทำได้เพียงแค่นั่งลงบนขั้นบันไดข้างกายเขาอย่างอับจนหนทาง
มันเป็นฤดูหนาวตอนที่มีหิมะตกหนักในเมืองหลวง
แต่เขากลับไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าอันบอบบางราวกับกระเบื้องเคลือบนั้นให้ความรู้สึกเย็นชาโหดเหี้ยมผิดปกติ
บางทีพวกนางอาจอยู่ที่นั่นนานเกินไป เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเริ่มสัมผัสได้ถึงความเย็นที่แขนขา
ทันใดนั้นเด็กชายก็เงยหน้าขึ้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าในที่สุดเขาก็มองเห็นนางเสียที และกำลังจะอ้าปากคุยกับเขา
แต่เขากลับมองผ่านใบหน้าของนางไป ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กแต่งกายในชุดอันประณีตงดงามคนหนึ่ง
เด็กหญิงตัวน้อยช่างงดงามอย่างมาก และยังดูเหมือนจะมีสายเลือดสูงส่งอีกด้วย นางสวมชุดกระโปรงยาวติดกระดุมสองแถวกับเสื้อคลุมขนสัตว์สีชมพู นางหอบขนมทานเล่นจำนวนหนึ่งเอาไว้พร้อมกับมองเขาด้วยสีหน้าค่อนข้างหวาดกลัว นางรีบวางสิ่งที่อยู่ในมือลง แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาได้ยินนางพูดเสียงอู้อี้ว่า ”องค์ชายสามน่ากลัวยิ่งนัก พี่ฉางเฟิง รอข้าด้วย!”
“น่ากลัวหรือ” เด็กชายก้มลงมองฝ่ามือของตัวเองและหัวเราะอยู่ในลำคอราวกับได้ยินเรื่องตลกขบขัน พร้อมกับเผยบรรยากาศแห่งความชั่วร้ายที่เห็นแล้วชวนให้ปวดร้าวใจออกมา
ถ้าเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจไม่ผิด เด็กผู้หญิงคนนั้นคงจะเป็นเจ้าของร่างเดิมในความทรงจำสมัยที่นางยังเด็ก
นางเป็นเด็กใจดี ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจตอนที่นางมองเด็กชาย
นี่คือสาเหตุที่ทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปฏิบัติต่อเจ้าของเดิมของร่างนี้แตกต่างไปจากคนอื่นๆ หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายของนางแข็งทื่อ
นางรู้สึกผิดอยู่ในใจมาโดยตลอด นางคิดว่าตัวเองไม่ควรแย่งร่างนี้มา
แต่ก่อนหน้านี้หยวนหมิงเคยบอกกับนางว่า ถ้านางไม่ยึดร่างนี้มาตั้งแต่แรก ป่านนี้ร่างนี้ก็คงจะเน่าเปื่อยไปแล้ว
ความคิดของหยวนหมิงนั้นเรียบง่าย โดยพื้นฐานแล้วหากนางไม่ได้เดินทางมาที่นี่ เฮ่อเหลียนเวยเวยคนในอดีตก็คงตายอยู่ในแม่น้ำสายนั้น และคงไม่ได้เร่ร่อนไปพร้อมกับวิญญาณคนตายเช่นนี้
การคิดเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกผิดน้อยลง
แต่…
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไป ดวงตาของนางกระตุกเล็กน้อย
คนที่องค์ชายต้องการคือนาง หรือ… เจ้าของคนเดิมของร่างนี้กันแน่
ทันใดนั้นหัวใจที่เดิมเคยมั่นคงมาตลอดของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็พลันเกิดความลังเลขึ้นมา
นางไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์
แม้กระทั่งตอนที่อยู่ด้วยกัน นางก็ยังต้องใช้หนังสือคู่มือช่วย
แต่อย่างไร ความคิดเดียวที่นางเห็นเป็นสำคัญก็คือนางจะไม่มีวันปล่อยให้คนคนนั้นต้องทนทุกข์ทรมาน!
แต่สำหรับผู้ชายส่วนใหญ่แล้ว นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่แน่ใจ
นางมักจะเอนเอียงไปทางความเป็นสตรีนิยมมากกว่า
นางผ่านช่วงเวลาแห่งความเยาว์วัยและไร้เดียงสามาแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่หลงเหลือความเมตตาอยู่ในหัวใจอีกต่อไป
นางชอบการทุ่มความรู้สึกของตัวเองลงไปกับการมองไปข้างหน้ามากกว่า อีกทั้งยังไม่สามารถเรียนรู้การทำตัวไร้เดียงสาเหมือนอย่างเด็กผู้หญิงคนนั้นได้…
หากรู้สึกหวาดกลัวเขา ก็จงอย่าได้เข้าใกล้
อย่างไรองค์ชายที่นิสัยเหมือนแมวนั่นก็เป็นคนอ่อนไหวยิ่งนัก
หากดูจากสายตาที่เขาใช้มองคนอื่นในยามปกติ ก็สามารถบอกได้ว่าเขาหยิ่งผยองเพียงใด เพราะเขาสามารถรักษาท่าทางอันทรงอำนาจของราชวงศ์เอาไว้ได้อยู่เสมอ
แต่เจ้ากลับทำร้ายเขา แล้วยังกล้าพูดว่าเจ้ากลัวเขาอีกหรือ?!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมรับว่านางค่อนข้างหัวเสียกับเรื่องนี้มากทีเดียว แต่ไม่แน่ใจว่านางโมโหกับคำพูดของเด็กสาวคนนั้นหรือเพราะท่าทางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกันแน่
ขาของนางเริ่มหมดเรี่ยวแรงราวกับว่าร่างทั้งร่างกำลังจมน้ำ มันควรจะเป็นความรู้สึกที่สบายตัว แต่สีของน้ำกลับทำให้คนที่เห็นรู้สึกหดหู่ สีแดงเข้มที่ปรากฏให้เห็นทั่วทุกแห่งนั้นสามารถทำให้ทุกคนขนหัวลุกได้เลยทีเดียว ของเหลวที่อยู่ในแม่น้ำสายนี้ดูเหมือนเลือดมนุษย์มากกว่าน้ำเสียอีก
นางกำนัลกลุ่มเดิมที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเคยเห็นปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าของพวกนางยังคงปราศจากอารมณ์ใดๆ มันแข็งกระด้างไม่ต่างไปจากหุ่นไม้ เสียงดังน่าสลดใจดังขึ้นทันทีที่โซ่บริเวณข้อเท้าของพวกนางจมลงสู่แม่น้ำ แต่พวกนางกลับดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงนั้น พวกนางกลับมุ่งหน้าเดินต่อด้วยสีหน้าเหม่อลอยจนกระทั่งน้ำในแม่น้ำท่วมพ้นศีรษะของตน และเหลือทิ้งไว้เพียงแค่กลุ่มผมสีดำที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเท่านั้น
ภาพนั้นจัดว่าน่าสยดสยองทีเดียว แต่แล้วระยะห่างระหว่างเฮ่อเหลียนเวยเวยกับพวกนางก็พลันหดสั้นลงเรื่อยๆ
กลุ่มผมสีดำนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาหาเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับถูกสิ่งที่อยู่ใต้น้ำควบคุมเอาไว้ ดูเหมือนว่ามันกำลังพยายามที่จะกลืนตัวนางเข้าไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามหลบ แต่แล้วนางก็ตระหนักได้ว่าแขนขาทั้งสี่ของนางไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของตัวเองอีกต่อไป นางรู้สึกราวกับว่าพวกมันถูกคนอื่นควบคุมอยู่ สติของนางแจ่มชัดแต่นางกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ ดังนั้นนางจึงหันไปเผชิญหน้ากับกลุ่มผมสีดำเหล่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง นางยกแขนขึ้น และฟาดไปทางกลุ่มผมสีดำที่จับตัวกันเป็นก้อนนั้นสุดแรง!
กลุ่มผมสีดำนึกไม่ถึงว่านางจะโต้ตอบกลับ มันหยุดอยู่กับที่ไปชั่วอึดใจ ก่อนจะยิ่งทวีความร้ายกาจขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเม้มริมฝีปากพร้อมกับเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก ใบหน้าของนางซีดจนขาวจากสีสันที่ถูกดูดหายไป แต่มันก็ไม่สามารถหยุดยั้งการลงมือในครั้งที่สองของนางได้
ฟิ้ว!
ใบมีดสีเงินบางราวกระดาษแทงทะลุศูนย์กลางของกลุ่มผมสีดำด้วยความคมอันน่าตกใจ!
ในที่สุดกลุ่มผมสีดำนั้นก็หยุดนิ่ง มันลอยค้างเติ่งอยู่บนผิวน้ำเหมือนกับสาหร่ายกอใหญ่
แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวกว่านั้นกลับมาถึงตัวนางเสียแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้น มันเป็นใบหน้าที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง แต่เพราะนางอยู่ใกล้กับมันมากเกินไป ดังนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหน มันก็ชวนให้ขนลุกยิ่งนัก
“แม้ปราณแห่งความเคียดแค้นจะไม่มีผลกับเจ้า แต่ข้าก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะดื้อด้านถึงเพียงนี้ เจ้าควรคืนร่างมาให้ข้าตั้งนานแล้ว ทำไมเจ้าถึงต้องเอาแต่แย่งของที่เป็นของข้าไปด้วย” ปากที่อยู่บนใบหน้านั้นขยับอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สายตาที่ว่างเปล่าของมันจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แต่กระทั่งความเหน็ดเหนื่อยก็ยังไม่สามารถปิดบังความสูงส่งของนางเอาไว้ได้ ”เจ้าเองก็น่าจะจมน้ำตายไปนานแล้วมิใช่หรือ ทำไมยังไม่ตายเสียทีเล่า”
“เจ้า…” ใบหน้านั้นเผยความเดือดดาลออกมา แต่ทันใดนั้นมันก็เหมือนกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในตอนที่มองหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย ดังนั้นมันจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว สาเหตุที่เจ้าไม่ยอมทิ้งที่นี่ไปนั้นไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใด แต่เป็นเพราะองค์ชายสามนี่เอง แต่เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าหากไม่ใช่เพราะข้า องค์ชายสามย่อมไม่มีวันปฏิบัติต่อเจ้าพิเศษกว่าคนอื่นแน่ อย่าบอกนะว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังไม่เข้าใจว่าองค์ชายสามหมกมุ่นอยู่กับใคร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมีดสั้นในมือแน่น ”เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้าควรถามเขาเป็นการส่วนตัว ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหมายตาข้าหรือไม่นั้น ข้าย่อมได้คำตอบทันทีที่สามารถกลับไปได้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะเชื่อในทุกสิ่งที่เจ้าพูด เหอะ นี่เจ้ากำลังดูถูกสติปัญญาของข้าอยู่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยพร้อมกับดวงตาอันเย็นชา
“เจ้ารู้ดีกว่าใครว่าองค์ชายสามเป็นห่วงเป็นใยร่างนี้มากเพียงใด ข้าคงไม่ต้องเตือนเจ้าหรอกกระมัง” ใบหน้านั้นเผยรอยยิ้มออกมาราวกับพยายามเยาะเย้ยนาง ”เขาเป็นห่วงร่างนี้มากกว่าเจ้าด้วยซ้ำ ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว เจ้ามันก็เป็นแค่เพียงตัวแทนเท่านั้น จึงย่อมไม่คู่ควรกับการได้รับความสนใจจากเขามากถึงเพียงนั้นอยู่แล้ว เวลานี้ต่อให้เจ้าดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ ทันทีที่ผนึกคลาย ปีศาจทุกตนจะคลุ้มคลั่งเสียสติ และข้าก็จะได้กลับไป!”
ระหว่างที่ฟังนางพูดอยู่นั้น จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วกระดูกสันหลัง!
นางหันกลับไปมองข้างหลัง และทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่าก้อนผมสีดำก้อนนั้นไม่ได้หายไปไหน กลับกัน มันกลับแทงทะลุซี่โครงของนาง พร้อมกับค่อยๆ พันรอบตัวนางทีละน้อย และดึงตัวนางให้จมลงสู่แม่น้ำอันไร้ก้นบึ้ง…