ตอนที่ 584 ผู้ให้เบาะแสนิรนาม
ช่วงเช้าหลังจากวันนั้นสามวัน พวกเขาก็เดินทางกลับจากมองโกเลียมาถึงเจียงเฉิง
คุณย่าฟางและคนอื่น ๆ ต้องเฝ้าคอยวันที่หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานจะกลับมา เธอบอกให้โต้วโต้วพาอาหวงออกไปชะเง้อดูหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็เจอแต่ความว่างเปล่า
วันนี้พอโต้วโต้วพาอาหวงออกไปหน้าบ้านอีกครั้ง หล่อนก็เห็นว่าหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานมาปรากฏตัวที่หน้าประตูลานบ้านแล้วจริง ๆ หนึ่งเด็กหญิงหนึ่งสุนัขดีใจมาก รีบวิ่งไปเปิดประตูให้พวกเขา และเห่าต้อนรับ
โต้วโต้วถามด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่าพวกเขาซื้อของอร่อย ๆ มาฝากหล่อนหรือเปล่า
หลินม่ายลูบศีรษะน้อย ๆ ของหล่อนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน แม่เอาเนื้อแดดเดียวมาฝากหนูด้วย”
ตั้งแต่เล็กจนโต โต้วโต้วเคยกินเนื้อวัวแค่ครั้งเดียว
ครั้งแรกคือเนื้อแดดเดียวที่ฟางจั๋วหรานซื้อมาฝากคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางในช่วงปีใหม่ปีที่แล้ว
เมื่อได้ยินว่ามีเนื้อวัวให้กิน หล่อนก็แทบจะน้ำลายไหล
หลินม่ายหยิบเนื้อแดดเดียวออกมากำมือหนึ่งแล้วยื่นให้หล่อน
เด็กหญิงตัวน้อยกัดเคี้ยวเนื้อแดดเดียวตุ้ย ๆ ชมไม่หยุดปากว่ามันอร่อยมาก
หล่อนยังบอกหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานด้วยว่ามื้อเที่ยงวันนี้มีสตูว์เนื้อกับมันฝรั่ง
คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในบ้าน หลินม่ายยิ้มกว้างพร้อมกับถามคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางว่าวันนี้ที่บ้านมีเมนูเนื้อวัวด้วยหรือ
คุณย่าฟางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เธออุตส่าห์ดั้นด้นไปซื้อเนื้อวัวมาจากมองโกเลียใน แล้วที่บ้านจะไม่มีเนื้อวัวได้อย่างไร?”
หลินม่ายวางข้าวของในมือลง จากนั้นก็เข้าไปในครัวเพื่อดูสตูว์เนื้อกับมันฝรั่ง
จากนั้นเธอก็หยิบมะเขือเทศหลายลูกออกมาจากช่องแช่แข็ง สับเป็นชิ้นเล็กนิดหน่อย แล้วโยนลงไปในหม้อสตูว์เนื้อ
คุณย่าฟางจ้องมองการกระทำของเธออย่างว่างเปล่า “เอาลงไปต้มแบบนั้นจะอร่อยได้ยังไงกัน?”
สำหรับนางแล้ว นอกจากเมนูไข่ผัดมะเขือเทศหรือการกินมะเขือเทศแบบดิบ ๆ แล้ว แทบไม่สามารถเอามันไปปรุงด้วยกรรมวิธีอื่น ๆ ได้เลย
หลินม่ายพยักหน้า “อร่อยมากเชียวล่ะค่ะ”
หลังจากปรุงสตูว์เนื้อและยกออกมาเสิร์ฟบนโต๊ะแล้ว เมื่อทุกคนลองชิมดู ก็รู้สึกว่ารสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ได้จากมะเขือเทศนั้นอร่อยจริง ๆ
ระหว่างรับประทานอาหาร ทุกคนต่างฟังหลินม่ายเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับมองโกเลียใน
หลังเสร็จสิ้นมื้ออาหาร หลินม่ายก็ล้างจาน แล้วออกไปตรวจดูกิจการตลาดสดฝูตัวตัวสักหน่อย
หลังจากห่างหายไปหลายวัน เธอรู้สึกไม่สบายใจถ้าตัวเองไม่ได้ออกไปสูดอากาศ
ยังไม่ทันเดินไปถึงหน้าตลาด หลินม่ายเห็นว่าบริเวณทางเข้าตลาดสดฝูตัวตัวประดับประดาไปด้วยแสงไฟราวกับมีงานรื่นเริง ดูเจริญหูเจริญตาอย่างยิ่ง มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ สองข้างทางก่อนเข้าตลาดสดเต็มไปด้วยแผงลอยขายสินค้าทางการเกษตรต่าง ๆ
เจ้าของแผงลอยพวกนั้นล้วนเป็นคุณปู่คุณย่าที่แต่งตัวซอมซ่อ ลูกค้าหลายคนแวะซื้อผักหนึ่งกำมือ หรือเต้าหู้สักสองชิ้นจากแผงลอยเหล่านั้น
จ้าวเลี่ยงกำลังสั่งให้พนักงานสองสามคนขนธัญพืชลงมาจากรถบรรทุกตรงหน้าประตูทางเข้าตลาด เมื่อหันไปเห็นหลินม่าย เขาก็ประหลาดใจอย่าง รีบวิ่งไปหาเธอในไม่กี่ก้าว
เมื่อเห็นเธอจ้องมองพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยเหล่านั้นตาไม่กะพริบ จึงแตะท้ายทอยด้วยความรู้สึกผิดพร้อมกับอธิบายว่า “ผมคิดว่าผู้ค้ารายย่อยพวกนั้นมีอิทธิพลแค่เล็กน้อยต่อตลาดของเรา แถมพวกเขาส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ผมก็เลยไม่ขับไล่พวกเขา ตราบใดที่พวกเขาไม่เอาของมาขายเป็นจำนวนมากเกินไป หรือตั้งแผงขวางทางเข้าตลาดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าคุณไม่พอใจ ผมจะสั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไล่พวกเขาออกไปเดี๋ยวนี้” พูดจบ เขาก็ตั้งท่าจะเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนมาหา
หลินม่ายรีบพูดว่า “ฉันไม่ได้ไม่พอใจหรอก”
จริงอย่างที่จ้าวเลี่ยงพูด คุณปู่คุณย่าเหล่านั้นเอาสินค้าทางการเกษตรมาขายแค่คนละนิดละหน่อย
แผงลอยบางแผงมีผักวางขายอยู่แค่สิบถึงยี่สิบชั่ง ไก่เป็น ๆ สองสามตัว หรือไข่หนึ่งตะกร้า ซึ่งส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อตลาดสดของพวกเขา
คุณปู่คุณย่าเหล่านั้นดูเหมือนเป็นคนที่มีชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างแร้นแค้น การอนุญาตให้พวกเขาขายสินค้าทางการเกษตรภายในเขตตลาดสดต่อไป ก็ถือเป็นการช่วยเหลือพวกเขาอีกทางหนึ่ง
เธอเองก็เคยมีฐานะยากจนมาก่อน จึงอดสงสารไม่ได้เมื่อเห็นคนยากจนเหล่านั้น
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่มีทีท่าโกรธเคืองแต่อย่างใด จ้าวเลี่ยงก็รู้สึกโล่งใจมาก เดินตรวจตราตลาดสดไปพร้อม ๆ กับเธอ
ตลาดสดมีทุกอย่างตราบเท่าที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าอยากได้อะไรก็มีขายเป็นส่วนใหญ่
ลูกค้ามากมายเดินเบียดเสียดแทบจะกระทบไหล่กัน
หลินม่ายกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามว่า “ฉันขนส่งเนื้อวัวกับเนื้อแกะมาตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ ทำไมนายถึงไม่เอามาขายล่ะ?”
จ้าวเลี่ยงตอบกลับ “เราลองขายไปได้แค่หนึ่งวันเท่านั้นเองครับ ทันทียกพวกมันไปวางบนแผง ลูกค้าก็กรูกันเข้ามาแย่งซื้อจนเกือบจะทะเลาะกัน ผมก็เลยสั่งหยุดจำหน่าย และวางแผนว่าจะขายแค่สองวัน คือวันที่ 28 และ 29 ของเดือนธันวาคม คำนวณจากประชากรในเจียงเฉิงที่มีจำนวนมากแล้ว เนื้อวัวกับเนื้อแกะที่มีคงพอขายแค่สองวันเท่านั้น”
หลินม่ายบอก “ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป พวกมันก็จะมีขายแบบไม่ขาดตลาดแล้ว”
จ้าวเลี่ยงถามเหตุผลด้วยความสงสัย
หลินม่ายจึงเล่าให้เขาฟังว่าเธอติดต่อจ้างแม่ของถ่าน่าให้เป็นนายหน้ารับซื้อแล้วเรียบร้อย
ทันใดนั้น ความโกลาหลก็เกิดขึ้นที่บริเวณทางเข้าตลาด
หลินม่ายหันมองด้วยความสงสัย ที่แท้หนิวลี่ลี่ก็มาดักสัมภาษณ์ลูกค้าในตลาดอยู่นี่เอง
หลินม่ายรอให้หล่อนสัมภาษณ์เสร็จ จากนั้นก็เดินเข้าไปหา ทักทายแบบติดตลกด้วยรอยยิ้ม “สำนักหนังสือพิมพ์ของเธอไม่มีต้นฉบับจะตีพิมพ์แล้วเหรอ ถึงต้องมาทำข่าวเกี่ยวกับตลาด?”
หนิวลี่ลี่เดินออกไปพร้อมกับเธอ “ใช่ว่าสำนักพิมพ์ของเราขาดต้นฉบับหรอก แต่มีผู้อ่านคนหนึ่งโทรมาร้องเรียนที่สำนักหนังสือพิมพ์อีกแล้ว บอกว่าตลาดของเธอเอาเนื้อวัวกับเนื้อแกะมาขาย เขาสงสัยว่าเธอไปติดสินบนเจ้าพนักงานกรมวางแผนทางเศรษฐกิจเพื่อให้พวกเขาจัดสรรเนื้อวัวและเนื้อแกะมาให้เธอขายหรือเปล่า หัวหน้าก็เลยส่งฉันมาสืบหาความจริงและสัมภาษณ์ ปรากฏว่าวันนี้ตลาดไม่มีเนื้อวัวกับเนื้อแกะขายแล้ว”
หลินม่าย “ฉันกับจั๋วหรานเป็นคนไปติดต่อรับซื้อเนื้อวัวกับเนื้อแกะมาจากมองโกเลียในเองแหละ ที่จริงฉันมีใบเสร็จค่าบริการขนส่งสินค้าของสถานีรถไฟโฮฮอตด้วยนะ เธออยากดูไหม?”
หนิวลี่ลี่พยักหน้า “อยากสิ”
หลินม่ายหยิบใบเสร็จค่าบริการขนส่งของสถานีรถไฟโฮฮอตออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วแสดงให้เธอดู
หนิวลี่ลี่จัดการถ่ายรูปใบเสร็จนั้นไว้ “มีใบเสร็จนี้แค่อย่างเดียว ฉันก็กลับไปไขข้อข้องใจที่ผู้อ่านคนนั้นสงสัยได้แล้ว”
หลินม่ายหวนนึกถึงเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ตลาดสดของเธอถูกร้องเรียนว่ามีการขายสินค้าเลี่ยงภาษีโดยบุคคลนิรนาม ครั้งนี้ก็มีผู้อ่านให้ข้อมูลบิดเบือนกับทางสำนักหนังสือพิมพ์อีก จนเธออดสงสัยไม่ได้ หรือว่าสองคนนี้จะเป็นคนเดียวกัน?
ถ้าสองคนนี้เป็นคนคนเดียวกันจริง ๆ ก็ต้องเป็นคนที่มีความแค้นส่วนตัวกับเธอพอสมควร
ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่เพียรพยายามร้องเรียนเธอโดยไม่เปิดเผยตัวตนครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่มีหลักฐาน
เธอตัดสินใจถามหนิวลี่ลี่เกี่ยวกับผู้อ่านที่โทรเข้ามาร้องเรียนสิ่งที่เกิดขึ้นกับสำนักหนังสือพิมพ์
หนิวลี่ลี่ตอบ “ฉันบอกเธอแล้วว่าผู้อ่านที่โทรเข้ามาไม่ได้แจ้งชื่อแซ่ของตัวเองด้วยซ้ำ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสืบรู้ว่าเขาคนนี้เป็นใคร”
หลินม่ายกลอกตา “งั้นเธอช่วยทำสำเนาเทปมาให้ฉันฟังเสียงหน่อยได้ไหม?”
หนิวลี่ลี่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว “เธอสงสัยว่าคนที่จงใจโทรไปหาสำนักหนังสือพิมพ์โดยไม่ระบุตัวตนต้องการจะทำลายชื่อเสียงของเธอ ก็เลยอยากรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครสินะ?”
หลินม่ายพยักหน้า
“งั้นฉันจะลองทำสำเนาเทปเสียงแล้วเอามาให้เธอลองฟัง เผื่อว่าเธอจะจำเสียงได้ว่าใครคือผู้อ่านนิรนามคนนั้น”
หลินม่ายกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้มว่าเรื่องระหว่างหล่อนกับฟางจั๋วเยวี่ยไปถึงไหนแล้ว
หนิวลี่ลี่มองเธอด้วยความประหลาดใจ “เธอไม่รู้เหรอว่าฟางจั๋วเยวี่ยเขาบอกเลิกฉันไปแล้ว?”
หลินม่ายคลี่ยิ้มเจื่อน “ฉันเดินทางไปทำธุรกิจตั้งหลายวัน ไม่ได้อยู่ที่เจียงเฉิงซะหน่อย เพิ่งกลับมาเที่ยงวันนี้เอง ยังไม่เจอจั๋วเยวี่ยด้วยซ้ำ ก็เลยไม่รู้อะไรเลย”
จากนั้นเธอก็ถามด้วยเสียงซุบซิบ “ทำไมพวกเธอสองคนถึงเลิกกันล่ะ?”
“เขาบอกว่าเราสองคนดูเข้ากันไม่ได้น่ะ”
หลินม่ายตกตะลึง
ทันใดนั้นก็จำได้ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยเตือนฟางจั๋วเยวี่ยว่า ถ้าเขาไม่ได้ชอบหนิวลี่ลี่จากใจจริง ก็ควรไปบอกเลิกหล่อนซะ
ในเมื่อฟางจั๋วงเยวี่ยไม่ได้ชอบหนิวลี่ลี่ ถ้าอย่างนั้นคนที่เขาชอบจริง ๆ ก็คือเถาจืออวิ๋นงั้นเหรอ?
ชักน่าสนุกแล้วสิ!
จากนั้นหลินม่ายก็แวะไปที่เขตชุมชนบนถนนชิงเหนียน
สิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดคืองานประชาสัมพันธ์ขายห้องชุดบนถนนชิงเหนียนนี่แหละ
ฝ่ายขายของอาคารอสังหาริมทรัพย์บนถนนชิงเหนียนทำงานได้ดีมาก ทั้งในแง่ของการตกแต่งและการเลือกใช้เครื่องเรือนต่าง ๆ
พนักงานขายทั้งสี่คน รวมถึงหัวหน้าฝ่ายขายอีกหนึ่งคนล้วนสวมชุดยูนิฟอร์มเข้ารูป สาว ๆ ทุกคนแต่งหน้าสวยงามสดใส ส่งเสริมให้พวกเธอดูน่าเชื่อถือเป็นพิเศษ
น่าเสียดายที่หน้างานของฝ่ายขายเงียบเหงาไม่มีแม้แต่วิญญาณผ่าน
ทั้งหัวหน้าฝ่ายขายและพนักงานขายทั้งสี่คนไม่รู้จักหรือเคยเห็นหน้าหลินม่ายมาก่อน
เมื่อเห็นหญิงสาวแต่งตัวดีเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็ตื่นตัวนึกว่าลูกค้าสนใจมาเยี่ยมชมห้อง
พนักงานขายสี่สาวรีบวิ่งไปดักหน้าดักหลัง แย่งกันให้บริการหลินม่าย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
น่าจะเป็นยัยหรงหรือเปล่านะที่โทรฟ้อง
ไหหม่า(海馬)