ปัง!
เงาไม้สั่นไหวไปตามสายลม แรงกระแทกอย่างรุนแรงทำให้สิ่งที่เด็กชายตัวน้อยแบกอยู่บนหลังแตกออกเป็นเสี่ยง
เขาเงยหน้าขึ้นมองชายชุดขาว และเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นห่วง ”นายท่าน”
“ไม่เป็นไร เราได้ปราณแห่งความเคียดแค้นมาพอแล้ว” ชายคนนั้นยกมือเรียวสวยขึ้นสัมผัสกับใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย และกล่าวว่า ”ครั้งนี้นางจะต้องกลับมาแน่นอน”
ปัง!
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้สิ่งที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลับเป็นโลงศพที่ตั้งอยู่ข้างชายคนนั้น
นัยน์ตาสีดำของชายคนนั้นหดเข้าหากัน เขาชะงักนิ้วพร้อมกับมองไปด้านหลังอย่างหวั่นใจ
ขนนกสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นก่อนจะค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นชายร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง
ร่างนั้นก้าวออกมาจากขนนกสีดำที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าพร้อมกับถือสัตว์อสูรครึ่งปีศาจที่มีหน้าที่เฝ้ายามไว้ในมือข้างหนึ่ง เพียงสะบัดเสื้อคลุมแค่ครั้งเดียว ปราณแห่งความเคียดแค้นทั้งหมดก็พลันพูดเขาฉีกกระชากไปจนหมดสิ้น
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย สันกรามของเขาเป็นราวกับอ่าวอันเงียบสงบ มันทั้งเย็นชาและสง่างามจนไม่มีใครสามารถละสายตาไปจากเขาได้ จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า ”เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาแตะต้องคนของข้า! หึ ผู้พิทักษ์ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
“ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรนาง” ชายสวมเสื้อคลุมสีขาวแขนกว้างดูเรียบง่ายหันกลับมาพร้อมกับกลิ่นธูปสมุนไพรที่ลอยอยู่ในอากาศ คนคนนั้นเป็นใครไปไม่ได้อีกนอกจากคุณชายจิ่งอู๋ซวง ”นางไม่ใช่คนของโลกนี้ ปล่อยให้นางกลับไปยังที่ที่นางจากมาเถิด มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้นที่พระชายาจะสามารถกลับมาได้ ในเมื่อท่านไม่ตาย ท่านเองก็คงอยากให้พระชายากลับมามิใช่หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยันเล็กน้อย เขาไม่พูดอะไร แต่กลับทำเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อยาวของตัวเอง เปลวไฟสีน้ำเงินขนาดมหึมาไหวตามแรงลมจนมอดดับลง
“ไม่หรือ” จิ่งอู๋ซวงยิ้มเล็กน้อย และไอออกมาเบาๆ ก่อนลุกขึ้นยืน เขากล่าวเสียงเบาว่า ”นางกำลังจะกลับมาแล้ว…”
ราวกับตอบรับคำพูดของเขา เปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นใต้โลงศพไม้จันทน์ ก่อนกลายเป็นสัญลักษณ์รูปยันต์แปดเหลี่ยมห้าธาตุเรืองรองด้วยแสงอันอ่อนโยนของพระพุทธองค์ มันคือผนึกขับไล่วิญญาณที่ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายและพระอาจารย์ชื่อดังจำนวนมากร่วมแรงกันสร้างขึ้นก่อนหน้านี้ ผนึกนี้แข็งแกร่งมากเสียจนปีศาจทุกตนต่างก็หวาดกลัวในพลังของมัน
ค่ายกลสำเร็จแล้ว ต่อให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะเป็นคนที่มีความสามารถยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ทุกอย่างย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!
เมื่อจิ่งอู๋ซวงคิดได้ดังนี้ เขาก็เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ตอนนี้เขาแค่ต้องรอให้คนที่อยู่ในโลงศพตื่นขึ้นมาเท่านั้น แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเดินตรงเข้าหาผนึกขับไล่วิญญาณนั้นอย่างคาดไม่ถึง!
เด็กชายตัวน้อยมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าพร้อมกับทำตาโต ”เขาคิดที่จะทำลายค่ายกลเปลี่ยนวิญญาณจริงๆ ขอรับ! เขาไม่รู้หรือว่าไม่ว่าจะเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในผนึกขับไล่วิญญาณร้าย วิญญาณของเขาจะหายสาบสูญไปตลอดกาล?”
ตุ้บ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินตรงไปที่โลงศพ แม้จะเป็นการเดินเพียงไม่กี่ก้าว แต่กลับสง่างามยิ่งนัก กระดูกสันหลังที่ตั้งตรง และมือคู่งามที่ทิ้งลงข้างลำตัวนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาได้รับการอบรมมาดีเพียงใด
แม้ว่าใบหน้าของเขาถูกแสงแห่งพระพุทธองค์จากผนึกขับไล่วิญญาณเฉือนเข้าหลายต่อหลายครั้ง เลือดสีซีดหยดลงบนพื้น และเปลี่ยนพื้นหินให้กลายเป็นสีแดง แต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นิ้วของเขาราวกับถูกไฟเผา มันแทบงอเข้าหากันไม่ได้
ดูเหมือนว่าผนึกนั้นจะรับรู้ได้ถึงตัวตนของเขา และยิ่งเปล่งแสงออกมามากขึ้น แสงนั้นแทงทะลุผ่านอกของเขาราวกับต้องการยับยั้งการรุกรานจากปีศาจ
ในเวลาเพียงแค่อึดใจเดียว เล็บอันคมกริบราวกับมีดก็เริ่มงอกออกมาจากนิ้วเรียวสวยของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!
“นายท่านขอรับ! ท่านจะ…”
กิเลนอัคคีที่รู้สึกได้ถึงอันตรายรีบกลับมาหาเขาทันที! แต่มันก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ถูกแสงแห่งพระพุทธองค์ล้อมรอบอยู่ นัยน์ตาของเขาก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เศษชิ้นส่วนวิญญาณของนายท่านยังมิได้รวมเป็นหนึ่งเดียว การเดินเข้าหาผนึกขับไล่วิญญาณมีแต่จะทำให้…
ความคิดของมันหยุดลงเพียงเท่านั้น!
แทนที่จะคิดต่อ มันกลับกระโจนไปข้างหน้าและคิดจะใช้กรงเล็บของตัวเองทำลายส่วนหนึ่งของผนึกนั้น
แต่ก่อนที่มันจะทันได้แตะต้องสัญลักษณ์ที่อยู่บนพื้น กรงเล็บของมันก็ไหม้เกรียมจากความร้อนดั่งไฟเผา!
แค่ยืนอยู่ที่ทางเข้าของผนึกขับไล่วิญญาณร้าย มันก็ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีอันรุนแรงถึงเพียงนี้
แล้วผู้เป็นนายของมันที่อยู่ในนั้น อีกทั้งยังถูกโอบล้อมไปด้วยแสงแห่งพระพุทธองค์เล่าจะทุกข์ทรมานเพียงใด
ในเวลานั้นเองที่กิเลนอัคคีรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง มันกลัวว่าผู้เป็นนายของมันจะสูญสลายไปอีกครั้ง มันต้องรออีกกี่ร้อยปีถึงจะได้พบกับนายท่านอีกครั้งกัน
“มันจบแล้ว” จิ่งอู๋ซวงมองแสงแห่งพระพุทธองค์ แล้วหลับตาลงอย่างโล่งใจ
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเพราะไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนนิ่งอยู่ในตอนแรกกลับส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน เขายิ่งดูหล่อเหลาขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งในขณะเดียวกันก็ยังดูชั่วร้ายขึ้นเมื่อตกอยู่ภายใต้แสงแห่งพระพุทธองค์ ราวกับดอกไม้หายากในวันวิษุวัตที่บานสะพรั่งไปทั่วแดนปีศาจ
ปีกขนาดใหญ่ที่อยู่กลางหลังของเขากางออกโดยไร้ซึ่งการเตือนล่วงหน้า และใช้ปีกคู่นั้นบดบังแสงแห่งพระพุทธองค์ทั้งหมด
ขนนกสีดำอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย ความมืด และความเห็นแก่ตัวร่วงหล่นลงมาทีละเส้น
บทเพลงแห่งปีศาจเริ่มบรรเลงขึ้น ปีกคู่นั้นพาเขาบินขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับจะสามารถเอื้อมคว้าดวงดาวทั้งผืนฟ้าเข้ามาสู่อ้อมอก
เขามองดูรอยเลือดที่เปรอะอยู่บนมือแล้วแลบลิ้นเลียมัน พร้อมกับเผยรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นที่มุมปาก
นัยน์ตาของจิ่งอู๋ซวงหดเข้าหากันอย่างไม่เชื่อสายตา!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจเขา แต่กลับมองไปยังโลงศพที่อยู่ไม่ไกลแทน สีตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดจนกระทั่งในนัยน์ตานั้นไม่หลงเหลือสีดำปรากฏให้เห็นอีกต่อไป แม้กระทั่งตาขาวก็ยังปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดที่พันกันหลายต่อหลายชั้นราวกับรูปสลักบนเสาสีแดงเลือดสองต้น
แม้แต่ร่างกายของเขาก็ยังแผ่บรรยากาศแห่งความมืดมิดและความชั่วร้ายออกมาประหนึ่งภูตผีในปราสาทอันเก่าแก่ ดูสง่างามแต่ก็ยังน่าขนลุก และเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“แย่แล้ว!” กิเลนอัคคียืนขึ้นอย่างรวดเร็ว วิญญาณของนายท่านยังไม่สมบูรณ์ เขาจะต้องคลุ้มคลั่ง และกลายเป็นคนโหดเหี้ยมไร้ซึ่งความปรานีอย่างแน่นอน!
เช่นนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยที่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในที่นี้จะไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตหรอกหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นเหยื่อที่นายท่านโปรดปรานที่สุดอีกด้วย
ดังนั้นคนแรกที่จะถูกนายท่านดูดเลือดจนหมดตัวก็คือ…
“นายท่าน! ทำเช่นนั้นไม่ได้นะขอรับ!” กิเลนอัคคีคำราม ”หากท่านดูดเลือดของนางจนแห้งละก็ ท่านจะต้องเสียใจในภายหลังแน่!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้หันกลับมา เขาเดินตรงไปที่โลงศพนั้นอย่างช้าๆ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่กิเลนอัคคีพูดเลยแม้แต่นิดเดียว
เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวย มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เส้นเลือดสีเขียวและแดงที่อยู่บนใบหน้าอันงดงามราวกับเถาวัลย์หลากสีสันที่พันอยู่บนแก้มสีซีดของนาง ”ช่างเป็นวิญญาณที่สวยงามจริงๆ”
ค่ายกลถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์!
สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่กลิ่นคาวเลือด กลิ่นหอมหวานอันรุนแรงนั้นพรั่งพรูเข้ามาในโพรงจมูก กระทบสมอง และปลุกเร้าประสาทสัมผัสอันเปราะบางแต่ละเส้นของเขา
ความต้องการกลืนกินทำให้เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ความรู้สึกนั้นไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ มันโหดร้ายยิ่งกว่าความหิวโหยของมนุษย์เป็นร้อยเท่า!
ทันใดนั้น เขาก็อุ้มเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นมา!
หมอกสีดำล้อมรอบตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยจนมองไม่เห็นสิ่งใด นางสัมผัสได้ถึงนิ้วมืออันเย็นเฉียบที่โอบอยู่รอบเอวของตัวเอง ความเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขานั้นช่วยปลอบประโลมอารมณ์ของนางได้เป็นอย่างดี
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาพอใจยิ่งนักที่ได้เหยื่อที่เชื่อฟังเช่นนี้มาไว้ในมือ เขาประทับจูบลงที่ซอกคอของนาง เขาปฏิบัติต่อนางด้วยความรักใคร่เอ็นดูมาโดยตลอด และการปฏิบัติอันอ่อนโยนของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้ในยามที่เขากำลังจะกลืนกินนาง…