เริ่มต้นในฐานะสตรีที่แท้จริงคนหนึ่ง!
เมื่อหันหน้าไปกลับสบเข้ากับแววตาคับแค้นใจต่างๆ นาๆ…
หัวใจเต้นตึกตักและเข้าใจแจ่มแจ้ง
ข้างนอกยังมีสนามรบรอนางอยู่ นางต้องกล่อมคนตรงหน้าให้เรียบร้อยเสียก่อน…
ดังนั้น…
“เอาน่า ข้าขอโทษ ข้าจะชดเชยให้ท่านคืนนี้แน่นอนตกลงไหม ถึงตอนนั้นสามีคิดจะทำเช่นไรล้วนได้หมด…”
“อย่าโกรธเลยนะ เสี่ยวชิงชิง…”
“เสี่ยวชิงชิงดีที่สุดเลย…”
สุดท้ายก็เป็นฝ่ายโผเข้าไปแนบริมฝีปากลงบนดวงหน้าหล่อเหลาของบุรุษรูปงามตรงหน้า…
หนิงเซ่าชิงที่ถูกโผเข้าใส่จนล้มพลิกตัวขึ้นมาแทน เพิ่งจะคร่อมมั่วเชียนเสวี่ยไว้ใต้ร่าง ก็มีเสียงดังขึ้นจากข้างนอกอีกครั้ง
“หัวหน้าตระกูล ฮูหยินน้อย บ่าวเป็นฉือหมัวมัวข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวว่าคนข้างกายฮูหยินน้อยจะไม่รู้กฎระเบียบ จึงตั้งใจให้บ่าวมาปรนนิบัติเจ้าค่ะ”
วาจานี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นการเอาใจใส่ดูแล แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการสอดส่องความเคลื่อนไหว
ตั้งแต่โบราณกาล การเชิญเทพเจ้าเข้ามาในบ้านนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่จะเชิญออกไปนั้นยาก[1]! หากให้นางมาปรนนิบัติครั้งนี้จริงๆ ก็เกรงว่าจะมีสารพัดเหตุผล และสารพัดคำแนะนำมาเยือนแน่ๆ คิดจะให้นางจากไปนั้นยากแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยตัวแข็งทื่อ คิดวาจาเหมาะสมในการปฏิเสธไม่ออกไปชั่วขณะ
หนิงเซ่าชิงที่ถูกกระตุ้นความรู้สึก แม้ว่าอยากจะมอบความรักให้มั่วเชียนเสวี่ยตายคาอก แต่กลับจำเป็นต้องอดกลั้นเอาไว้
เขาจะไม่รู้ความกังวลของมั่วเชียนเสวี่ยได้อย่างไร
แตะกลีบปากมั่วเชียนเสวี่ยแผ่วเบา ถือว่าเป็นการเก็บดอกเบี้ย และเป็นการปลอบโยนอย่างหนึ่ง
จากนั้นก็เอ่ยเสียงดังตอบคนนอกประตู “ฉือหมัวมัวกลับไปก่อนเถอะ ช่วยขอบคุณในความหวังดีของท่านย่าให้ข้าด้วย ทางมั่วซื่อมีซุนหมัวมัวคอยดูแลอยู่”
ซุนหมัวมัวเคยเป็นคนเก่าแก่ที่เคยปรนนิบัติมารดาของหนิงเซ่าชิง
แม่นมของหนิงเซ่าชิงสิ้นใจไปตั้งแต่หกเจ็ดปีก่อน เรือนของเขาย่อมไม่มีหมัวมัวหลักจัดการดูแลเรื่องราว เซี่ยซื่อคิดจะส่งคนมาปรนนิบัติหลายครั้ง ก็ล้วนถูกเขาอาศัยเหตุผลว่าตอนนี้ยังไม่ต้องการบอกปัดไป
ดังนั้นเรื่องในเรือนของเขาล้วนมีเยวี่ยเซี่ย เด็กสาวผู้เป็นบุตรีของแม่นมดูแลแทนมาโดยตลอด
แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะดูเหมือนว่าเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วมีนิสัยเย็นชามาตลอด ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอันใดมาก เพียงแต่ไม่ชอบให้คนที่ไม่คุ้นเคยมาเดินไปเดินมาอยู่ข้างกาย ไม่ชอบให้ภายในเรือนมีคนว่างงานมากเกินไป
ทว่า นับตั้งแต่มั่นใจแล้วว่าจะกลับเมืองหลวง เขาก็เตรียมการต่างๆ เพื่อให้มั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาในจวนแห่งนี้อย่างราบรื่น แต่ก่อน ในเรือนมีเขาที่เป็นนายท่านเพียงคนเดียว ไม่มีหมัวมัวจัดการดูแลเรื่องราวก็ไม่เป็นไร ตอนนี้มีเชียนเสวี่ยด้วย ทั้งหมดจึงไม่เหมือนกัน
การตายของมั่วหมัวมัวเป็นเหตุไม่คาดฝัน และเป็นการเตือนเขา เขาได้ทำการตรวจสอบหมัวมัวจำนวนมากเป็นการลับแล้ว
ในเรือนหลักล้วนต้องการหัวหน้าหมัวมัวที่สามารถออกงานอย่างเป็นทางการได้ ทั้งยังต้องเฉลียวฉลาดมากความสามารถคนหนึ่ง คอยควบคุมดูแลเรื่องราวต่างๆ ช่วยนายหญิงประจำตระกูลจัดการเรื่องต่างๆ ไม่ใช่พึ่งพาสาวใช้กำกับดูแล แม้ว่าชูอีจะฉลาด ติดตามฝึกฝนอยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยมาตลอดจนสามารถออกงานทางการได้บ้าง แต่ว่าข้อแรกนางนางไม่มีคุณสมบัติ ข้อที่สองนางไร้ประสบการณ์ที่ได้ประสบด้วยตนเอง อย่างที่สามยิ่งไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ความดำมืดและอุปสรรคที่จะพบเจอในการกระทำสิ่งต่างๆ ภายในจวนใหญ่ แล้วจะแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้เช่นไร
ดังนั้น ผ่านการครุ่นคิดพิจารณาไปรอบหนึ่ง เขาก็ย้ายซุนหมัวมัว สาวใช้ที่เป็นสินเดิมซึ่งเคยปรนนิบัติมารดาในปีนั้นมาทำหน้าที่เป็นหมัวมัวที่คอยควบคุมดูแลเรื่องต่างๆ ในเรือนหลักชั่วคราว
เดิมฉือหมัวมัวเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เห็นหนิงเซ่าชิงออกหน้าในเรื่องนี้ ก็ยิ้ม พลางตอบกลับด้วยความเคารพอยู่ด้านนอกประตู “เช่นนั้นบ่าวกลับไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าก่อนนะเจ้าคะ ฮูหยินน้อยแต่งตัวเร็วหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นแล้ว เกรงว่าตอนนี้อยู่ระหว่างไปห้องโถงใหญ่ สุขภาพร่างกายของผู้ชราไม่ค่อยดีมาตลอด ท่านอย่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องรอนาน”
วาจากล่าวได้ไม่เบาไม่หนัก มีการตักเตือนมีการบอกกล่าว เหมาะสมกับฐานะของนางพอดี
“ไปเถอะ”
หนิงเซ่าชิงสวมรองเท้าแล้วลุกขึ้น “ซุนหมัวมัวเป็นคนที่เคยปรนนิบัติมารดาข้า เจ้าใช้ได้ดีก็ใช้ ใช้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องกังวลอะไร”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็เป็นคนที่เคยปรนนิบัติมารดาเขามาก่อน ไม่มีความผิดพลาดใหญ่โตอันใด มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีทางไม่ไว้หน้าหนิงเซ่าชิงเด็ดขาด
ฉือหมัวมัวถอยออกไปแล้ว ซุนหมัวมัวที่รอปรนนิบัติอยู่นอกประตูแต่แรกก็ผลักประตูเข้ามา
ซุนหมัวมัวดูแล้วเป็นคนซื่อและจริงใจมาก ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม มองมั่วเชียนเสวี่ยแล้วแสดงความเคารพระหว่างนายบ่าวเต็มพิธี
มั่วเชียนเสวี่ยให้เหอเปา กล่าวทักทายพอเป็นพิธีสองสามประโยคแล้วก็ให้นางลุกขึ้น
ตระกูลขุนนางเก่าแก่มีกฎระเบียบของตนเอง ซุนหมัวมัวเป็นคนเก่าแก่ มือเท้าก็คล่องแคล่วเช่นกัน ในไม่ช้าก็ชี้ไปที่ชูอีและจื่อจิงให้ชำระกายมั่วเชียนเสวี่ยจนเสร็จ เยวี่ยเซี่ยปรนนิบัติหนิงเซ่าชิง สืออู่เก็บกวาดทำความสะอาดห้อง…
แต่ละคนล้วนมีงานทำ เป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย ซุนหมัวมัวก็เป็นคนสวมเสื้อผ้าและแต่งหน้าให้มั่วเชียนเสวี่ยด้วยตนเอง
อย่างไรเสีย นางก็เคยปรนนิบัติมารดาของหนิงเซ่าชิงมาก่อน มั่วเชียนเสวี่ยจึงเกรงใจนางสามส่วน ตอนนี้คนที่นางสามารถพึ่งพาได้ก็เกรงว่าจะมีแค่คนตรงหน้านี้ จึงเป็นธรรมดาที่จะปลอบโยนและบีบบังคับในเวลาเดียวกัน
กล่าวตามตรง แม้ว่าฐานะของนางจะแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ความจริงกลับไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่ในเรือนหลังตระกูลหนิงยิ่ง ในเรือนหลังมีเรื่องมากมายที่หนิงเซ่าชิงสอดมือเข้ามาไม่ได้ นางก็ไม่ยินยอมที่จะพึ่งพาหนิงเซ่าชิงไปทุกเรื่อง
ตั้งแต่การแต่งหน้า อาภรณ์สวมใส่ ไปจนเครื่องประดับต่างๆ ซุนหมัวมัวล้วนเลือกอย่างรอบคอบ มองออกเลยว่านางตั้งใจมาก
แต่งเข้ามาวันแรก ก็เป็นวันพบปะญาติพี่น้องสตรีมากมายในตระกูล จะแสดงอำนาจและความน่าเกรงขามให้ผู้คนรู้สึกกดดันได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูวันนี้แล้ว
ฐานะฮูหยินอันดับหนึ่งในตระกูลของนางจะวางรากฐานในวันนี้ เป็นการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดในชีวิตนาง หากวันนี้เกิดเรื่องงามหน้าขึ้น ไม่เพียงแต่จะทำให้หนิงเซ่าชิงขายหน้า แต่ตระกูลหนิงก็ขายหน้าด้วยเช่นกัน ชั่วชีวิตนี้นางก็ไม่ต้องคิดจะเงยหน้าขึ้นมาเลย
นางยังคงสวมอาภรณ์สีแดงทั้งตัว แต่กลับไม่เหมือนเมื่อวาน
ชุดแดงเมื่อวานคือชุดแต่งงาน ชุดแดงวันนี้กลับเป็นแดงที่แสดงถึงฐานะภรรยาเอก
บนศีรษะประดับด้วยเครื่องประดับศีรษะเลี่ยมจากหยกโลหิตที่หนิงเซ่าชิงให้ตอนนางปักปิ่นชุดนั้น
เดิมมั่วเชียนเสวี่ยนึกว่าจะดูพื้นๆ ธรรมดา แต่เมื่อเห็นดวงหน้าแดงระเรื่องดงาม เครื่องประดับสีทอง อาภรณ์สีแดง และหยกโลหิตอยู่หน้ากระจกแล้ว กลับต้องตื่นตะลึง
คนในกระจกสะดุดตามาก สง่างามสูงศักดิ์แต่กลับนุ่มนวลยิ่ง ปะปนไปด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีลางๆ ทำให้นางตาเป็นประกาย
มั่วเชียนเสวี่ยมองหนิงเซ่าชิงที่สวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้วด้านบน พบหน้ากับคนตระกูลหนิงอย่างเป็นทางการครั้งแรก จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นนั้นเป็นการโกหก
หนิงเซ่าชิงพยักหน้าอมยิ้ม เข้ามาจูงมือนาง
ไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดให้มากความ เพียงแค่ความอบอุ่นที่ส่งมาจากมือนั้น ก็ทำให้จิตใจของมั่วเชียนเสวี่ยสงบนิ่งแล้ว
หนิงเซ่าชิงกระชับมือแน่น มั่วเชียนเสวี่ยกระชับมือตอบกลับ ทั้งสองคนเดินออกไปข้างนอก
ด้านนอกจัดเตรียมเสลี่ยงไว้เรียบร้อยนานแล้ว
วันนี้ฐานะของนางไม่เหมือนแต่ก่อน แม้ว่าจะอยู่ในเรือน ก็มีเสลี่ยงให้นั่งเข้าออก
เรือนที่มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงพักอาศัย เป็นสถานที่ที่หนิงเซ่าชิงพักมาแต่เดิม…จื่อจู๋หว่าน ที่มีความหมายว่าสิ่งมงคลที่มาจากทิศตะวันออก
จื่อจู๋หว่านอยู่ไม่ไกลจากเรือนหลักที่ใช้ทำงานของหนิงเซ่าชิง แต่อยู่ห่างจากห้องโถงภายในตัวเรือนระยะหนึ่ง จึงนั่งเสลี่ยงเคียงข้างกันไป ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า อาบย้อมทิศตะวันตกให้เป็นสีแดง
มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้อาศัยแสงอาทิตย์พิจารณามองหนิงเซ่าชิงอย่างละเอียด
วันนี้หนิงเซ่าชิงก็สวมอาภรณ์สีแดงเช่นกัน และสุภาพอ่อนโยนเหมือนเคย แต่เมื่อมองดูพลันเห็นมีความยินดีปรีดาและความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมา
[1] การเชิญเทพเจ้าเข้ามาในบ้านนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่จะเชิญออกไปนั้นยาก เป็นการเปรียบเปรยถึงคนที่มาอาศัยอยู่ในบ้านคนอื่นโดยไม่ยอมจากไป