บทที่ 569 ทุกอย่างพร้อมแล้ว เพียงแค่รอให้สิ่งมีชีวิตจากต่างอาณาจักรมา!
“ต้นหลิวเล็ก ๆ หนึ่งต้น กับก้อนหินน้อย ๆ หนึ่งก้อน กล้าดีเช่นไรจึงมารังแกกันเช่นนี้ สิ่งที่น้องชายประสบมาช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก พี่ชายย่อมต้องสนับสนุนเจ้า ไปเถอะ พวกมันทั้งสองต้องได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง!”
ตงฟางเวิ่นกล่าวออกมาด้วยท่าทางชอบธรรมจนจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงอดรู้สึกประทับใจไม่ได้ ประหนึ่งได้พบญาติสนิทชิดเชื้อ จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงกล่าวขอบคุณตงฟางเวิ่นครั้งแล้วครั้งเล่าสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับต้นหลิวและเจ้าก้อนหิน
“ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ”
ตงฟางเวิ่นตบไหล่ของจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง ก่อนกล่าวอำลาแล้วจากไป
จักรพรรดิหวงหลงเองก็ทะยานกลับไป และสั่งให้คนจากแดนสังสารวัฏตั้งที่มั่น ต่อจากนี้สถานที่ตรงนี้จะเป็นกองบัญชาการสูงสุดของแดนสังสารวัฏ
หลังจากจบการต่อสู้ จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงก็สามารถสร้างบารมีครั้งใหญ่ เหล่าคนจากแดนสังสารวัฏต่างก็ยอมรับให้ความเคารพจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง ไม่หลงเหลือความไม่พอใจอีกต่อไป
ฝีมือและพลังที่จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงแสดงออกมาให้เขาหวาดเกรงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงพลิกเกมในตอนท้าย ทำลายกระดานหมากล้อมของตงฟางเวิ่น สิ่งนี้เกินความคาดหมายของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความสามารถที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงของจักรพรรดิหมากล้อมหวงหลง
จักรพรรดิหวงหลงช่างน่ากลัว อยู่เหนือชั้นมากกว่าพวกเขายิ่งนัก สมควรได้รับความสำคัญจากเบื้องบน!
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปตรวจสอบสถานการณ์ต่าง ๆ ในอาณาจักรแห่งนี้ให้ละเอียดเสียก่อน”
จักรพรรดิหมากล้อมหวงหลงออกคำสั่งให้คนจากแดนสังสารวัฏรั้งอยู่ที่นี่ ขณะที่ตนเองรีบจากไปยังเมืองชิงซาน
เขาแทบอดทนรอที่จะต้องสั่งสอนต้นหลิวและเจ้าก้อนหินไม่ไหวแล้ว!
…
ทะเลสีดำกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าลอยอบอวล แสงอาทิตย์ล้วนราวกับไม่อาจส่องผ่านมาถึง
เมื่อหลิงอินปรากฏตัวยังสถานที่แห่งนั้น นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ประหนึ่งเซียนที่ไม่แปดเปื้อนแม้นฝุ่นธุลี ใบหน้าเองก็งดงามเปี่ยมเสน่ห์ชวนให้หัวใจผู้คนสั่นสะท้าน
นางก้าวเดินบนทะเลสีดำอย่างแช่มช้า ร่างของนางเปล่งแสงเจิดจ้าท่ามกลางความมืดมิด ทำให้ความมืดทั้งหมดเจือจางลง
ตอนนี้นางแข็งแกร่งกว่าตอนที่มาทะเลต้องห้ามครั้งล่าสุดหลายเท่า เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถข้ามทะเลดำอันกว้างใหญ่ไปถึงเกาะในส่วนลึกของทะเลต้องห้าม
“ท่านเซียน เหตุใดท่านจึงมาที่นี่!”
จ้าวสมุทรรีบปรี่เข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ขณะเดียวกันภายในใจของเขาก็งงงวยเป็นอย่างมาก เหล่าบูรพาจารย์ยังเดินทางมาไม่ถึง ไม่ได้สัมผัสกับผนึกในเส้นทางเสียด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดหลิงอินจึงมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก?
ตามการคาดการณ์ของเขา หลิงอินสมควรจะมาหลังจากที่ผนึกถูกแตะต้องไปแล้ว
อย่างไรเสีย หากผนึกไม่ถูกสัมผัส พวกหลิงอินก็ไม่มีทางรับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ในเส้นทางแห่งนี้
“ไม่มีอะไร ข้าแค่ลองมาดูเฉย ๆ”
หลิงอินพูดเสียงเรียบและก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น
ครั้งนี้นางมาเพื่อสยบปราบปราม ได้รับมอบหมายให้ลงมือที่นี่ นางจึงมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อรอให้คนจากทะเลต้องห้ามมาถึง
“อ่า เช่นนั้นหรือ?”
จ้าวสมุทรกระสับกระส่าย เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างมาก รับรู้ได้ว่าอาจมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นในอนาคต
เขาต้องการจะติดต่อเหล่าบูรพาจารย์และรายงานสถานการณ์ให้ฟัง แต่ทว่าหลิงอินอยู่ด้านข้างเขาเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าจะลงมือเคลื่อนไหว เนื่องเกรงว่าหลิงอินจะสามารถสังเกตเห็น นำพาตัวเขาเองสู่ความตาย
หลิงอินปรายตามองไปที่จ้าวสมุทร “ทำไม หรือเจ้าจะไม่ต้อนรับข้า?”
“ไม่มีทาง ไม่มีทาง ข้ายินดีต้อนรับท่านเป็นอย่างยิ่ง!”
จ้าวสมุทรรีบตอบกลับ จากนั้นก็ลากเก้าอี้ไปให้หลิงอินนั่ง
“เช่นนั้นก็ดี”
หลิงอินยิ้ม จากนั้นก็นั่งลงโดยมีจ้าวสมุทรคอยปรนิบัติอยู่ด้านข้าง
…
ในขณะเดียวกันเซี่ยเหยียน ต้าเต๋อ เมิ่งจี อันหลานเสวี่ย สือเฟิง ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน และพวกอ้ายฉานต่างพากันแยกย้ายไปประจำการตามตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ
สือเฟิงมีร่างกายแข็งแกร่งกำยำ ภายในแววตามีความศักดิ์สิทธิ์บางอย่างอยู่ ผมสีดำยาวพริ้วไสวไปตามสายลม หล่อเหลาจนไม่อาจบรรยายออกมาได้
ลมหายใจของเขาถูกเก็บงำเอาไว้ไม่ปรากฏออกมา ทว่ายังคงให้ความรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
เขาในยามนี้ได้ทะลวงผ่านขอบเขตแล้วขอบเขตเล่าขึ้นมา จนกลายเป็นขั้นสูงสุดผู้หนึ่ง
ระยะเวลานั้นผ่านมานานเพียงใดหรือ?
อย่างมากก็เพียงแค่ปีกว่า!
จาก ‘คนไร้ค่า’ ที่ทุกคนพากันหัวเราะเยาะ กลายมาเป็นขั้นสูงสุด หากความเร็วในการบรรลุขอบเขตนี้ถูกแพร่กระจายออกไป มันคงจะสามารถทำให้ผู้คนตกใจจนอ้าปากค้างได้อย่างแน่นอน!
และนี่ก็ยังอยู่ห่างจากจุดสูงสุดของเขาอีกไกล ในอนาคตเขาสามารถก้าวหน้าขึ้นได้มากกว่านี้
เขามีร่างกายพิเศษ เป็นหนึ่งในสิบร่างกายสุดแข็งแกร่งตั้งแต่สมัยโบราณมา มันคือกายาศักดิ์สิทธิ์วิถีนำร่อง นอกจากนี้เขายังได้รับผลประโยชน์จากคุณชายอย่างมหาศาล ได้ทั้งวิชาที่สามารถสะท้านฟ้าและยังได้กินดื่มของเหนือล้ำต่าง ๆ ไม่น้อย ความสำเร็จในอนาคตของเขาจะต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน กระทั่งเทียนตี้หรือเซียนก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเขา
ข้างกายของเขามีหญิงสาวงดงามในอาภรณ์สีครามยืนอยู่ นางคือฉินซิน ผู้ร่วมสำนักเดียวกับสือเฟิง ในยามที่เขาผิดหวังตกต่ำ ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะซ้ำเติม ฉินซินกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ทั้งยังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือสือเฟิง
นางมองไปยังสือเฟิงที่เปล่งประกายราวกับผู้มาจากตำนานเล่าขาน บนใบหน้าก็พลันปรากฏรอยยิ้มยินดีและมีความสุข
ตั้งแต่ต้น นางไม่เชื่อว่าสือเฟิงจะล้มลงไปแล้วจบสิ้นเพียงแค่นั้น นางเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าอีกฝ่ายสามารถลุกกลับขึ้นมา เจิดจ้าเปล่งประกายยิ่งกว่าตอนก่อนหน้าได้
วันนี้สือเฟิงก็ทำเช่นนั้นได้จริง ๆ
ราวกับรับรู้ได้ถึงการจ้องมองของฉินซิน สือเฟิงจึงหันหน้ากลับมามอง ก่อนจะกุมมือข้างหนึ่งของฉินซินเอาไว้แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา “ขอบคุณนะ!”
ร่วงหล่นจากการถูกเคารพเลื่อมใส่ ถูกลดสถานะจากลูกรักของสวรรค์กลายเป็น ‘ตัวไร้ค่า’ วันคืนเหล่านั้นช่างยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง หากปราศจากฉินซินที่คอยอยู่เคียงข้างสนับสนุนไม่ตีตัวจาก เขาอาจไม่สามารถทนยืนหยัดต่อได้
“ขอบคุณอะไรกัน ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั้นเป็นพี่สือเฟิงที่คอยดูแลข้ามาก่อนหรือ?”
ฉินซินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ยามที่สือเฟิงยังเป็นลูกรักสวรรค์ สือเฟิงปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี ทั้งที่ตอนนั้นนางไม่มีอะไรพิเศษโดดเด่นแม้แต้น้อย
ทว่าขณะที่สือเฟิงและฉินซินกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็พลันมีเสียงขัดอารมณ์ดังขึ้นมา
“ไสหัวไปให้พ้น ไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่คือที่ใด? กล้ามาแสดงความรักกันภายในแดนต้องห้ามของพวกเขา อยากตายมากนักหรืออย่างไร!”
ร่างอันน่าสะพรึงกลัวหลายร่างพุ่งเข้ามาพร้อมกับจิตสังหาร ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเขาถูกตงฟางเวิ่นและคนอื่น ๆ กำราบสิ้น จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนความคับข้องใจเอาไว้ ทว่าตอนนี้สือเฟิงกับฉินซินกลับกล้ามาแสดงความรักในแดนต้องห้าม ทำประหนึ่งพวกเขาไร้ตัวตน ไม่ต้องกล่าวเลยว่าพวกเขาโมโหมากถึงเพียงใด
“ข้าตั้งใจจะมาหาพวกเจ้าอยู่พอดี”
ใบหน้าของสือเฟิงเรียบเฉย เขาเรียกภาพที่คุณชายมอบให้ออกมา หยินและหยางกระเพื่อมดั่งระลอกน้ำ พริบตาเดียวก็ปราบปรามได้สิ้นทั้งบริเวณ
จากนั้นเขาและฉินซินก็พากันเข้าไปด้านในแดนต้องห้าม รอให้กองกำลังที่อยู่ด้านในทางเดินออกมา
…
อีกด้าน ต้าเต๋อมาถึงยังแดนอันตรายแห่งหนึ่ง
เขาได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบที่นี่
“อานุภาพมังกรฟ้า พระโพธิสัตว์เพียงหนึ่งเดียว ปัญญาพุทธะ รู้แจ้งอนิจจัง!”
“ดูวิชาฝ่ามือที่ตกลงมาจากท้องฟ้าของข้าเสีย!”
แน่นอนว่าแดนต้องห้ามไม่อาจเข้าไปได้โดยราบรื่น ทันทีที่ต้าเต๋อมาถึงก็ถูกเหล่าสิ่งมีชีวิตในแดนต้องห้ามแห่งนี้พุ่งเข้ามาหมายสังหาร
ทว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถเป็นคู่มือของต้าเต๋อ สุดท้ายก็ถูกต้าเต๋อจัดการจนหมดสิ้น
แน่นอนว่าต้าเต๋อไม่ได้ปราบปรามสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ด้วยพลังของตนเองเพียงอย่างเดียว พลังของเขายังห่างไกลเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้
ก่อนหน้านี้ตอนเขาไปเยี่ยมเยียน คุณชายไม่เพียงแต่มอบปลาไม้ให้กับเขา ยังมีประคำที่ถูกส่งมอบให้อีกด้วย
นี่คือประคำที่คุณชายทำขึ้นมาเองกับมือ คุณชายบอกว่าหลังออกจากเขาหย่งหมิง คุณชายก็คิดถึงเขาขึ้นมาจึงได้สร้างประคำขึ้นมาเส้นหนึ่ง
และในตอนนี้เขาก็กำลังใช้พลังจากประคำเส้นนั้นเพื่อปราบปรามสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแดนอันตราย
“ฮ่าฮ่า วิหคทองมาเร็วเข้า ท้องน้อย ๆ ของข้ารอจะใส่พวกเจ้าเข้าไปไม่ไหวแล้ว!”
ต้าเต๋อยิ้มแยกเขี้ยว มุมปากมีน้ำลายไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
อ้ายฉานกล่าวเอาไว้ว่าเส้นทางนี้จะมีวิหคทองออกมา ให้เขาเตรียมสุรามาพร้อมทานคู่
“ยังเป็นพี่อ้ายฉานที่ดีที่สุด!”
เขากระดกสุราในมือลงไปหลายอึก จากนั้นก็หยิบหม้อขนาดใหญ่ที่เตรียมมาด้วย ก่อนเติมน้ำให้เต็ม
ขณะเดียวกันเขาก็จุดไฟขึ้นมา ตระเตรียมเครื่องปรุงรสทุกชนิด ในมือถือตะหลิวรอการมาถึงของวิหคทองจากต่างอาณาจักร
“มาเร็ว ๆ เข้า!”
เขาอยากจะกินเต็มทีแล้ว