ขณะนี้เป็นวันที่ 8 ธันวาคม
ประเด็นถกเถียงบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับเพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์ยังคงไม่จบลง
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อทุกคนมุ่งความสนใจไปยังเนื้อเพลง กระแสของทำนองเพลงจึงค่อยๆ เบาบางลงตามไป
ประเด็นถกเถียงไปรวมกันอยู่ที่เนื้อเพลงแล้ว
นั่นก็คือกลอนสือทำนองวารีนั่นเอง
ในปัจจุบันบทกวีนี้พัฒนาไปจนถึงระดับที่หลายคนสามารถท่องได้แล้ว
ขณะเดียวกัน
ภาพยนตร์เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูก็เข้าฉายมาประมาณสี่สัปดาห์
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ แนวโน้มบ็อกซ์ออฟฟิศของภาพยนตร์เรื่องนี้มั่นคงมาก ถึงระดับที่มั่นคงมาสี่สัปดาห์เต็มๆ!
นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากเหลือเกิน
ภาพยนตร์ทั่วไป โดยพื้นฐานแล้วจะฮิตติดกระแสในช่วงสองสัปดาห์แรก ในสัปดาห์ที่สามของการเข้าฉายจะเริ่มมั่นคง
ในบางครั้งภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่ทรงพลังบางเรื่องเข้าฉายติดต่อกันได้ไม่เกินสามสัปดาห์
ในสัปดาห์ที่สี่ต้องเผชิญกับจุดจบอันหดหู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้น ภาพยนตร์ซึ่งยอดบ็อกซ์ออฟฟิศสามารถยืนหยัดต่อไปถึงสี่สัปดาห์นั้นหาได้ยากจริงๆ!
แน่นอน ต้องบอกว่าเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูยืนหยัดมาได้สี่สัปดาห์นับว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว
กล่าวโดยละเอียดก็คือ ปากง สุนัขยอดกตัญญูยืนหยัดมาได้สามสัปดาห์ครึ่ง
เพราะเมื่อสัปดาห์ที่สี่ผ่านไปได้ครึ่งทาง ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เผชิญหน้ากับการลดฮวบลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จนกระทั่งตอนนี้
ภาพยนตร์ซึ่งใช้เงินทุนห้าสิบล้านหยวน ได้ขยายประสิทธิภาพของคำวิจารณ์ออกไปถึงระดับสูงสุด
และตอนนี้ก็ย่างเข้าสัปดาห์ที่ห้า ปากง สุนัขยอดกตัญญูจำต้องเผชิญกับชะตากรรมของรายได้ที่ลดลงมาก จนถูกเครือโรงภาพยนตร์หลายแห่งปลดออกจากตารางเข้าฉายอย่างต่อเนื่อง เฉกเช่นภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูทำรายได้ทะลุสองพันล้านหยวนไปแล้ว!
ผลลัพธ์นี้ไม่เพียงเหนือความคาดหมายของผู้คนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ แต่ยังเหนือความคาดหมายของหลินเยวียนไปไกลมากอีกด้วย
เพียงดูแนวโน้มในช่วงสองสัปดาห์แรกที่ผ่านมา บ็อกซ์ออฟฟิศของหนังเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่หลักพันล้านต้นๆ
แต่ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายแล้วจะแตะถึงสองพันล้าน?
นี่คือความมหัศจรรย์ของตลาดภาพยนตร์
อัตราความครอบคลุมของเกณฑ์ในตลาดอยู่ที่ประมาณร้อยละแปดสิบของภาพยนตร์ และมีภาพยนตร์จำนวนไม่มากที่สามารถทะลวงกฎเกณฑ์เหล่านี้ไปได้
เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูแหกกฎของตลาดไปเล็กน้อย
สำหรับเรื่องนี้ วงการภาพยนตร์จำเป็นต้องทอดถอนใจกับความโชคดีของสตาร์ไลท์ ที่มีฝีมือระดับปีศาจอย่างเซี่ยนอวี๋ประจำการอยู่
ส่วนทางสตาร์ไลท์ต่างตื้นตันกันถ้วนหน้า เต็มใจฝ่าฝืนธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัท เพื่อยกระดับสัญญาของเซี่ยนอวี๋จนเทียบเท่ากับระดับของพ่อเพลงโดยเฉพาะ ใครกล้าพูดบ้างว่าเซี่ยนอวี๋ไม่มีอิทธิพลด้านภาพยนตร์?
“สองเท่าของเรื่องนักปรับเสียงเปียโนพอดี”
เมื่อหลินเยวียนสรุปผลลัพธ์ที่บ้าน เขาก็รู้สึกพึงพอใจมาก
สมแล้วที่เป็นภาพยนตร์ซึ่งได้รับคำชื่นชมล้นหลาม
ความยืดหยุ่นของยอดบ็อกซ์ออฟฟิศนั้นกว้างมาก บางครั้งอาจต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่บางครั้งก็อาจสูงลิบ
กล่าวโดยสรุป ในการผลิตภาพยนตร์ ความสามารถในการดึงดูดรายได้นั้นสำคัญจนไม่จำเป็นต้องพูดถึง!
แต่จุดบกพร่องของภาพยนตร์ก็คือช่วงเตรียมงานและช่วงโพสต์โพรดักชันนั้นยาวนานเกินไป อีกทั้งความเสี่ยงสูง เปลืองแรงมากกว่าการปล่อยเพลง
มองจากมุมนี้ ความยากในการทำเงินจากการปล่อยเพลงนั้นต่ำกว่าการถ่ายทำภาพยนตร์มาก
“จะลำพองใจไม่ได้”
หลังจากอ่านตำราเกี่ยวกับภาพยนตร์มาตั้งมากมาย หลินเยวียนเข้าใจดีว่าตลาดภาพยนตร์นั้นควบคุมได้ยากที่สุด
ถึงแม้ตนจะประสบความสำเร็จติดต่อกันหลายครั้งด้วยวิธีลงทุนน้อยได้ผลมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตนจะประสบความสำเร็จไปทุกครั้ง
นี่คือเหตุผลที่ในระหว่างเตรียมการถ่ายทำเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู หลินเยวียนยืนกรานให้จางซิ่วหมิงเป็นนักแสดงนำ
ด้วยนิสัยของหลินเยวียนแล้ว มีนักแสดงที่ค่าตัวต่ำกว่าตั้งมากมายแต่ไม่ใช้ ทำไมต้องมาเลือกนักแสดงดังด้วยล่ะ
นักแสดงดังค่าตัวสูงมากนะ
ทว่าในบางครั้งก็ช่วยไม่ได้
ภาพยนตร์บางเรื่องจำเป็นต้องใช้นักแสดงชื่อดังเพื่อเรียกกระแสของภาพยนตร์
ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าถึงแม้ค่าตัวของจางซิ่วหมิงจะสูง แต่ฝีมือด้านการแสดงและชื่อเสียงของจางซิ่วหมิงก็เป็นปัจจัยสำคัญในการการันตีรายรับของภาพยนตร์!
ถ้าหากหลินเยวียนไม่ใช้นักแสดงชื่อดังในภาพยนตร์ดราม่า เขาคงจะเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในตลาดภาพยนตร์อย่างแน่นอน
“ถ้านักแสดงนำไม่ใช่จางซิ่วหมิง แต่ใช้นักแสดงฝีมือดีแต่ไม่มีชื่อเสียง รายได้คงได้ไม่ถึงครึ่ง”
เมื่อหลินเยวียนตระหนักได้เช่นนี้ เขาจึงไม่คิดจะแบกรับความเสี่ยงและพึ่งพาโชคชะตา
ในขณะนั้น
เสียงน้องสาวเคาะประตูก็ดังมา “กินข้าวได้แล้ว”
“อื้ม”
หลินเยวียนหยุดขบคิดเรื่องนี้ และเดินออกจากห้อง
มาถึงห้องอาหาร หลินเยวียนกลับพบว่าวันนี้แม่และพี่สาวเข้าครัวด้วยด้วยตัวเอง และทำอาหารมาเต็มโต๊ะ
“สิ้นปีแล้วเหรอ?”
ไม่สิ ยังไม่ถึงช่วงวันหยุดส่งท้ายปีเลย
เหลืออีกตั้งสิบกว่าวันกว่าจะสิ้นปี
หลินเหยาเอ่ย “วันนี้พี่ได้เลื่อนตำแหน่ง เลยเลี้ยงฉลองกันน่ะ”
ขณะที่พูด หลินเหยาก็แอบเปลี่ยนตำแหน่งของกับข้าว นำเนื้อมาวางตรงหน้าตนเอง และย้ายอาหารจานผักไปวางตรงหน้าหลินเยวียน
“หนานจี๋ยังอยู่ข้างนอก”
หลินเยวียนเอ่ยเตือน
หลินเหยาส่ายหน้า ปรากฏว่าเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูก็พบว่าหนานจี๋เข้ามาแลบลิ้นรออยู่ใต้โต๊ะอาหารแล้ว และกำลังมองมายังตนด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
เมื่อเงยหน้ามองตามขึ้นไป หลินเยวียนก็นั่งอยู่ในตำแหน่งของตนก่อนหน้านี้ซึ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยอาหารประเภทเนื้อแล้ว
หลินเหยาไม่สบอารมณ์ “นี่มันที่ของหนู”
หลินเยวียนบอก “บนเก้าอี้ไม่มีชื่อเขียนไว้สักหน่อย”
หลินเซวียนถอดผ้ากันเปื้อนออก ล้างมือเดินมานั่งลงอย่างจนใจ “จะนั่งตรงไหนก็ไม่สำคัญ พวกเธอสองคนต้องกินผัก โภชนาการต้องสมดุลกัน”
“ใช่แล้ว อย่าเลือกกิน”
แม่เองก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะ พลางเอ่ยบอก
หลินเหยานั่งลงด้วยความโมโหในตำแหน่งซึ่งปกติแล้วเป็นของหลินเยวียน
“แป๊บนึงนะ”
หลินเซวียนหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายภาพอาหารบนโต๊ะ และโพสต์ลงบนโมเมนต์ จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ขอแสดงความยินดีกับการเลื่อนตำแหน่งของฉันในวันนี้ มากินข้าวกันเถอะ!”
หลินเยวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พี่เลื่อนไปตำแหน่งอะไร”
คลังหนังสือซิลเวอร์บลูชอบสนับสนุนคนรุ่นใหม่ ตัดภาพมาที่คนหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกับหลินเซวียนในสตาร์ไลท์ พวกเขาเป็นได้เพียงพนักงานธรรมดา
“รองบรรณาธิการ!”
หลินเซวียนเอ่ยอย่างดีใจ เธออายุแค่นี้ก็ได้เป็นรองบรรณาธิการแล้ว นับว่าก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
หลินเหยาเอ่ยถาม “แผนกไหน”
หลินเซวียนยิ้มกว้าง ตอบด้วยความภาคภูมิใจ “แผนกนิทาน”
“นิทาน?”
หลินเหยาทำตาโต ด้วยท่าทางนอกสนใจ “นิทานแบบเรื่องลูกหมูสามตัวเหรอ”
สิ่งที่เรียกว่า ‘ลูกหมูสามตัว’ คือนิทานของบลูสตาร์ เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับหมูแม่เลี้ยงเดี่ยวและลูกน้อยทั้งสาม ได้รับการดัดแปลงเป็นการ์ตูน และเป็นนิทานที่เด็กๆ รุ่นเดียวกับหลินเหยารู้จัก
“ใช่…”
หลินเซวียนคล้ายกับไม่อยากสนทนามากนัก
แม่มองออกถึงความผิดหวังของหลินเซวียน “แผนกนี้ไม่ดีหรือ?”
หลินเซวียนส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่ดีค่ะแม่ แต่เป็นแผนกใหม่ที่บริษัทเพิ่งก่อตั้งขึ้นมา ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ประเด็นคือในบริษัทมีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับแผนกของหนู บอกว่าแผนกนี้ถูกก่อตั้งมาเพื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์”
แม่ชะงักไป “ลูกเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์?”
หลินเซวียนเบ้ปาก “หนูจะมีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์ได้ยังไงล่ะคะ แต่คนอื่นๆ ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในแผนกน่ะเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์จริงๆ ส่วนมากพ่อแม่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู เพราะว่ามีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์เยอะมาก แค่ตำแหน่งรองบ.ก.ในแผนกหนูก็ปาไปตั้งสามคนแล้ว”
หลินเยวียนกำลังกินเนื้อ เอ่ยถาม “แล้วหัวหน้าบ.ก.ล่ะ”
หลินเซวียนเอ่ยอย่างจนใจ “แผนกเพิ่งก่อตั้ง ยังไม่มีหัวหน้าบ.ก.หรอก เรื่องนี้รองบ.ก.สามคนต้องปรึกษากัน บริษัทอยากพิจารณาผลงานของเราทั้งสามคน แล้วค่อยตัดสินใจช่วงครึ่งปีหลัง”
“พี่สู้ๆ!”
ระหว่างที่หลินเหยาพูด ก็ลอบป้อนผักให้หนานจี๋ ปรากฏว่าแม่จับได้ จึงถูกแม่ใช้ตะเกียบหยิกมือไปหนึ่งครั้ง
“พี่ชักจะสู้ไม่ไหวแล้ว”
หลินเซวียนแทะตีนไก่ ราวกับกำลังระบายความคับข้องใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ไม่รู้ว่าบริษัทคิดยังไง ถึงจัดให้ฉันมาอยู่รวมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์พวกนี้มีเบื้องหลัง ใช้คอนเน็กชันของครอบครัวติดต่อนักเขียนนิทานชื่อดังได้หลายท่าน โดยเฉพาะห้องข้างๆ ถึงกับติดต่อขอต้นฉบับกับอาจารย์หยวนหยวนได้ ซึ่งก็คือนักเขียนเรื่องลูกหมูสามตัวนั่นแหละ”
หลินเหยาถูฝ่ามือเล็กๆ “พี่ก็ติดต่อบ้างสิ”
หลินเซวียนรู้สึกเศร้าอีกครั้ง “พี่ไม่ได้รู้จักนักเขียนนิทานดังๆ สักหน่อย ติดต่อบางท่านผ่านบริษัทไปแล้ว ปรากฏว่าคนเขาไม่ตอบ ใครให้ฉันเป็นรองบ.ก.แค่คนเดียวที่ไม่มีคอนเน็กชันล่ะ”
“ต้องมีวิธีสิ”
หลินเยวียนเอ่ยปลอบ พลางคีบผักให้กับหนานจี๋ แต่กลับโดนหลินเหยาฟ้อง “แม่ดูพี่เขาสิ!”
หลินเยวียนคีบผักเข้าปากทันทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แม่รู้สึกจนใจ
หลินเซวียนกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ยังคงแทะตีนไก่ต่อไป
นิทาน…
หลินเยวียนครุ่นคิด
……………………………………………..