Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน – ตอนที่ 410 เบื้องหลังของหลินเซวียน

ตอนที่ 410 เบื้องหลังของหลินเซวียน

วันรุ่งขึ้น

หลินเซวียนขับรถมายังบริษัท แตะบัตรขึ้นลิฟต์ด้วยบัตรของรองบรรณาธิการ เข้าไปยังแผนกนิทานซึ่งเพิ่งก่อตั้งในคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

ในแผนก

พนักงานหลายคนกำลังห้อมล้อมและเอ่ยชื่นชมหญิงสาวแสนสวยผมยาวคนหนึ่ง

“รองหัวหน้าบ.ก.สุ่ย คุณได้ต้นฉบับจากอาจารย์หยวนหยวนมาได้ยังไงเหรอคะ”

“ต้นฉบับของอาจารย์หยวนหยวนได้มายากที่สุดในบรรดานักเขียนนิทานเลยนะครับ”

“ได้ยินว่าครั้งหน้าสำนักพิมพ์เฟลอริชจะรับต้นฉบับจากอาจารย์หยวนหยวน ผู้จัดการใหญ่จะออกโรงเอง”

“ปกตินะ เรื่องลูกหมูสามตัวของอาจารย์หยวนหยวนเป็นวัยเด็กของใครหลายคน”

“ต่อให้จนถึงทุกวันนี้ เรื่องลูกหมูสามตัวยังคงครองใจเด็กๆ นั่นทำให้สถานะของอาจารย์หยวนหยวนอยู่ในแนวหน้าของวงการนิทานด้วย”

“รองหัวหน้าบ.ก.สุ่ยสวยขนาดนี้ ต้องได้ต้นฉบับมาได้แน่”

“พอมีนิทานเรื่องยาวของอาจารย์หยวนหยวนแล้ว ในอนาคตรองหัวหน้าบ.ก.สุ่ยน่าจะเป็นแคนดิเดตคนเดียวที่ควรจะได้เป็นหัวหน้าบ.ก.”

“…”

หญิงสาวผมยาวรายล้อมไปด้วยฝูงชนยิ้มไปทั่วใบหน้าเมื่อทันใดนั้นเธอก็เห็นหลินเซวียนและเอ่ยทักทาย

“อรุณสวัสดิ์รองบ.ก.หลิน”

พนักงานในแผนกหันหลังไปมองหลินเซวียน สีหน้าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มทักทายในทันที

“อรุณสวัสดิ์ค่ะรองบ.ก.สุ่ย”

หลินเซวียนยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน แยกย้ายกันดีกว่า เตรียมตัวทำงาน”

ผู้คนกลับไปยังที่นั่งของตนอย่างรู้ตัว

หญิงสาวผมยาวซึ่งถูกเรียกว่ารองบ.ก.สุ่ยเดินไปข้างหลินเซวียน เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “รองบ.ก.หลินได้ต้นฉบับที่เหมาะสมหรือยังคะ”

“ยังขาดอีกเรื่องหนึ่งค่ะ”

หลินเซวียนเอ่ยอย่างหดหู่ใจ

หญิงสาวผมยาวเอ่ยเตือน “นิตยสารจะตีพิมพ์ก่อนสิ้นปี เหลือเวลาไม่มากแล้ว ถ้าหาต้นฉบับที่เหมาะสมไม่ได้ รองหัวหน้าบ.ก.หลินส่งมอบงานสุดท้ายให้ฉันก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันจัดการให้ เรื่องนี้เราต่างก็ทำกันเพื่อนิตยสารของเรา”

“ไม่มีปัญหาค่ะ”

หลินเซวียนพยักหน้า

หญิงสาวผมยาวยักไหล่ หันหลังเดินออกไป เพียงแต่ก่อนที่จะเดินออกไป มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมา

“รองบ.ก….”

ชายศีรษะโล้นขยับเข้ามาข้างๆ หลินเซวียนอย่างระแวดระวัง สีหน้าแลดูผิดหวัง “เมื่อกี้ทางอาจารย์ฉีฉีปฏิเสธการส่งต้นฉบับให้เรา ว่ากันว่าจางหยางนัดรับต้นฉบับกับเธอไว้แล้ว”

ชายศีรษะโล้นมีชื่อว่าจางเฉิง เป็นอดีตหัวหน้าแผนกนิตยสารของหลินเซวียน ปัจจุบันนี้เป็นผู้ช่วยของหลินเซวียน

“ปฏิเสธอีกแล้วเหรอคะ”

“จางหยางรู้จักนักเขียนนิทานเด็กหลายคนเหมือนสุ่ยจูโหรวเหรอ”

สุ่ยจูโหรวคือหญิงสาวผมยาวเมื่อครู่นี้

เธอ หลินเซวียน และจางหยาง ทั้งสามคนคือรองหัวหน้าบรรณาธิการทั้งสามคนของแผนกนิทาน

ระหว่างทั้งสามคน คือความสัมพันธ์แบบแก่งแย่ง

จางเฉิงยิ้มขื่น “ครอบครัวของรองบ.ก.สุ่ยจูโหรวกับรองบ.ก.จางหยางมีภูมิหลังไม่ธรรมดา เป็นเรื่องปกติที่จะมีคอนเน็กชันแบบนี้ นักเขียนนิทานที่คุณนึกออก แน่นอนว่าพวกเขาก็นึกออกเหมือนกัน และไปเจรจากับคนเขาแล้ว บางทีก็แซงหน้าเราไปก้าวหนึ่ง ผมสงสัยด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้พวกเขาจงใจเล็งเป้ามาที่เรา”

“ช่วยไม่ได้”

หลินเซวียนตั้งสติ “ในอีเมลมีต้นฉบับอยู่ไม่ใช่เหรอคะ เราไปร่อนทอง[1]กันดีกว่า ต้องรีบทำเวลาสักหน่อย ไม่งั้นฉันคงต้องส่งต่องานสุดท้ายให้สุ่ยจูโหรวหรือไม่ก็จางหยาง”

“ร่อนทอง…”

จางเฉิงจนปัญญา แต่เขาเองก็รู้ว่านี่คือหนทางที่ต้องเดินยามหมดหนทาง

แผนกนิทานก่อตั้งขึ้น เริ่มแรกเตรียมการผลิตนิตยสารนิทาน ในนิตยสารจำเป็นต้องเผยแพร่เนื้อหาส่วนที่เป็นนิทาน และรองบรรณาธิการแต่ละคนต้องรับผิดชอบนิทานสองถึงสามเรื่อง

เมื่อเกี่ยวโยงถึงผลงาน รองบรรณาธิการอีกสองคนจึงติดต่อรับต้นฉบับจากนักเขียนชื่อดังในแวดวงนิทาน

มีเพียงหลินเซวียน ที่ในตอนนี้ได้นิทานมาเพียงเรื่องเดียว แถมอีกฝ่ายยังไม่นับว่าเป็นนักเขียนชื่อดัง กล่าวได้เพียงว่าเป็นที่รู้จัก

ทำได้เพียงเลือกคนที่โดดเด่นที่สุดจากบรรดาคนที่ไม่โดดเด่นก็เท่านั้น

และได้มาเพียงเรื่องเดียว เรื่องที่สองยังไม่ตกล่องปล่องชิ้นสักที

หลินเซวียนทำได้แค่ค้นหาจากต้นฉบับซึ่งนักเขียนหน้าใหม่ส่งมา ดูว่ามีเรื่องที่เหมาะสมบ้างหรือไม่

หลินเซวียนเองก็มีอีเมลซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณะ

หลังจากที่เฟ้นหานิทานในระยะนี้ เธอก็ได้รับต้นฉบับจากภายนอกมาไม่น้อย

ทว่าในกองต้นฉบับนิทานเด็กนี้ ผู้ที่ส่งต้นฉบับมาโดยมากแล้วเป็นหน้าใหม่ หลินเซวียนกดเปิดอีเมลอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ยังไม่พบเรื่องราวที่ตรงใจ นี่คือเหตุผลที่ทำไมรองบรรณาธิการอีกสองคนจึงขอต้นฉบับจากทางนักเขียนโดยตรง

“เหล่าจาง”

เธอเกาศีรษะด้วยความหงุดหงิดใจ เอ่ยเรียกจางเฉิง “ข้างล่างมีบ.ก.แนะนำต้นฉบับอะไรมาบ้างไหม”

“ก็มีอยู่หรอก…”

จางเฉิงกล่าวอย่างลำบากใจ “แต่ผมอ่านผ่านตาบ้างแล้ว มีแต่คุณภาพธรรมดา อีกอย่างบ่อต้นฉบับในอีเมลบริษัท ก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มผลงานให้กับพวกเรา”

“จะพิจารณาจากความสำเร็จส่วนบุคคลก็ไม่ได้”

หลินเซวียนโบกมือ “เอาละ ฉันจะหาดูอีกครั้งแล้วกันค่ะ ในนี้ยังมีต้นฉบับอีกส่วนหนึ่งที่ยังอ่านไม่จบ ไม่แน่อาจมีขุมทรัพย์หลงอยู่ก็ได้”

“ได้”

จางเฉิงออกไป หลินเซวียนอ่านต้นฉบับต่อไป

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

หลินเซวียนก็ถอนหายใจ

ตรวจต้นฉบับทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

สุดท้ายเธอก็หานิทานดีๆ ไม่เจอ เรื่องอย่างการงมเข็มในมหาสมุทรเช่นนี้เกิดขึ้นในกองบรรณาธิการอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ทว่าโอกาสที่เกิดขึ้นนั้นต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำ

เห็นทีคงต้องส่งต่องานนี้ให้รองหัวหน้าบรรณาธิการอีกสองคนแล้ว

ในขณะที่หลินเซวียนกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่นั้น

ในห้องทำงานด้านข้าง

ผู้ช่วยของสุ่ยจูโหรวเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เพิ่งได้ข่าวมาว่าจางหยางติดต่อรับต้นฉบับจากอาจารย์ฉีฉีได้แล้ว เดิมทีหลินเซวียนก็ติดต่อขอต้นฉบับอาจารย์ฉีฉีไปเหมือนกัน ปรากฏว่าถูกแซงไปหนึ่งก้าว”

“เป็นอย่างที่คิด”

สุ่ยจูโหรวเอ่ยเสียงเรียบ “อาจารย์ฉีฉีกับแม่ของจางหยางเป็นเพื่อนสนิทกัน แม้แต่ฉันเองก็ยังไม่ได้ต้นฉบับจากอาจารย์ฉีฉี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินเซวียน”

“แต่คุณก็ได้ต้นฉบับมาจากอาจารย์หยวนหยวน อาจารย์หยวนหยวนเก่งกว่าอาจารย์ฉีฉีเยอะเลย”

ผู้ช่วยยกยอปอปั้น

สุ่ยจูโหรวส่ายหน้า “ต้นฉบับของอาจารย์หยวนหยวนเป็นเรื่องยาว ตอนนี้ยังปล่อยไม่ได้ ไม้ตายเด็ดต้องเก็บไว้ใช้ทีหลัง เราใช้ต้นฉบับของอาจารย์จินซานก่อนแล้วกัน ใช้เรื่องสั้นที่นิตยสารต้องการไปก่อน โชคดีที่ฝีมือของอาจารย์จินซานก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร เหนือกว่าอาจารย์ฉีฉีอยู่บ้างด้วยซ้ำไป”

“นั่นก็จริง”

ผู้ช่วยส่ายหน้า “หลินเซวียนคงจะควานหาจนวุ่นแล้ว เวลาเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถ้าเธอยังหาต้นฉบับไม่ได้ งานนี้ทำได้แค่ถอยออกมาให้คุณหรือจางหยางจัดการแทน”

“ต้องส่งต่อมาให้ฉันอย่างแน่นอน”

สุ่ยจูโหรวพูดอย่างมั่นใจในตนเอง “อย่างน้อยฉันไม่ได้โจมตีเธอ จางหยางตัดหนทางของเธอ เรื่องนี้เชื่อว่าเธอเองก็เข้าใจดี”

“เฉียบ!”

ผู้ช่วยยกนิ้วโป้งขึ้นมา “แต่ถ้าฉันจำไม่ผิด คุณเป็นคนที่เปิดเผยกับจางหยางว่าหลินเซวียนคิดจะขอต้นฉบับจากอาจารย์ฉีฉี เดิมทีจางหยางไม่ได้คิดจะขอต้นฉบับจากอาจารย์ฉีฉี”

สุ่ยจูโหรวเอ่ย “นักรบไม่เคยเบื่อหน่ายกลอุบาย”

พูดจบ สีหน้าของสุ่ยจูโหรวก็พลันเคร่งขรึมขึ้นมา

“เรื่องนี้คุณเองก็อย่าเอาไปพูดที่ไหน ฉันไม่รู้ว่าภูมิหลังของหลินเซวียนเป็นยังไง แต่ทันทีที่เธอเข้ามาในบริษัทเรา เธอก็ได้เข้าไปอยู่ในแผนกสำคัญๆ คนที่อยู่เบื้องหลังน่าจะไม่ธรรมดา เพียงแต่ครั้งนี้คนที่อยู่เบื้องหลังของเธอไม่ได้ยื่นมือออกมาช่วยเธอ หรือบางทีอาจจะช่วยอะไรไม่ได้”

“เรื่องนั้นธรรมดา”

ผู้ช่วยรีบพยักหน้า หลินเซวียนต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอยู่แล้ว แต่ในบริษัทมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ความจริง

มีบางคนเคยลองสืบความแล้ว แต่หลินเซวียนปากแข็ง ยืนกรานว่าตนไม่ได้มีเบื้องหลังอะไร

ใครจะไปเชื่อ?

ไม่มีเบื้องหลัง แต่บรรณาธิการบริหารดูแลดีถึงขนาดนี้?

ไม่มีเบื้องหลัง แต่ทันทีที่เข้ามาในบริษัทก็ได้อยู่แผนกสำคัญ หลังจากนั้นก็ได้เป็นรองบรรณาธิการแผนกนิทาน?

ต้องเข้าใจว่า

แผนกนิทานคือแผนกที่บริษัทตั้งใจก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์!

ไม่ว่าจะเป็นจางหยางหรือสุ่ยจูโหรว ล้วนมีแต่คนใหญ่คนโตเป็นเบื้องหลัง

ตัวอย่างเช่นพ่อของสุ่ยจูโหรวเป็นบุคคลระดับประธานกรรมการในคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

และแม่ของจางหยาง เป็นบุคลากรผู้ทรงอิทธิพลเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรมหนังสือ

“ฉันอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเธอจริงๆ เลย…”

ดวงตาของสุ่ยจูโหรวหรี่ลงเล็กน้อย

เธอเคยถามพ่อของตนซึ่งเป็นกรรมการบริหาร แต่พ่อก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูล เพียงแค่เอ่ยเตือนตนอย่างจริงจังว่าอย่าไปหาเรื่องคนเขามากเกินไป

หากต้องการขึ้นเป็นหัวหน้าบรรณาธิการ ให้แข่งขันไปตามปกติก็พอ

ในตอนนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงดังมา

ผู้ช่วยโผล่หน้าออกไปมอง ก่อนจะรีบบอก “หัวหน้าต้องออกไปต้อนรับสักหน่อย หัวหน้าบ.ก.เฉาเต๋อจื้อมา”

“เฉาเต๋อจื้อ?”

สุ่ยจูโหรวชะงักไป “เขามาทำไม”

เฉาเต๋อจื้อเป็นหัวหน้าบรรณาธิการของแผนกวรรณกรรมสืบสวนสอบสวน ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีเรื่องอะไร สุ่ยจูโหรวไม่ออกหน้าก็ไม่เป็นไร

แต่ปีนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ในปีนี้เฉาเต๋อจื้อนับว่าเป็นคนดังของบริษัทไปแล้ว!

เหตุผลนั้นง่ายดาย

ไม่มีอะไรมากไปกว่าเฉาเต๋อจื้อนั้นเกาะแข้งเกาะขาของฉู่ขวง

หลังจากการเผยแพร่ชุดนิยายสืบสวนสอบสวนของฉู่ขวง ก็พลิกฟื้นคืนชีวิตให้แก่แผนกวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนซึ่งก่อนหน้านี้ร่อแร่เต็มที ปัจจุบันนี้นิยายชุดรหัสคดีของนักสืบปัวโรต์ซึ่งฉู่ขวงเขียนขึ้นได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ยอดขายถล่มทลาย ผลงานของแผนกวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนก็เรียกได้ว่าดีวันดีคืน!

ถึงขั้นที่มีคนกล่าวว่า ด้วยเหตุผลนี้ เฉาเต๋อจื้ออาจก้าวหน้าได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำไป

ต่อให้ทายาทของคนใหญ่คนโตในบริษัทอย่างสุ่ยจูโหรว ยังต้องเคารพเขาในระดับหนึ่ง

เมื่อคำนึงถึงจุดนี้ สุ่ยจูโหรวจึงผลักประตูออกไป

ขณะเดียวกัน

จางหยางซึ่งตัดผมทรงอันเดอร์คัต สวมแว่นตากรอบสีทองก็เดินออกมา

“หัวหน้าบ.ก.เฉา”

สุ่ยจูโหรวเอ่ยทักทายอย่างยิ้มแย้ม

ส่วนจางหยางกลับนึกสงสัย “ลมอะไรหอบคุณมาครับเนี่ย”

“มีคนไหว้วานมาครับ”

เฉาเต๋อจื้อเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเกรงอกเกรงใจ

ในขณะนั้น หลินเซวียนเองก็เดินออกมาจากห้องทำงาน เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็รับรู้ถึงการมาถึงของเฉาเต๋อจื้อเช่นกัน

“หัวหน้าบ.ก.หลิน!”

แววตาของเฉาเต๋อจื้อเป็นประกาย ไม่รอให้หลินเซวียนเอ่ยปาก ก็รีบจ้ำเข้าไปด้านหน้าหลินเซวียน “สวัสดีครับ กระผมมีชื่อว่าเฉาเต๋อจื้อ มีคนไหว้วานให้ผมนำของมาส่งให้คุณ!”

“อะไรเหรอคะ”

หลินเซวียนรู้สึกสับสนอยู่บ้าง

สุ่ยจูโหรวและจางหยางสบตากัน ต่างคนต่างมีสีหน้างุนงง

ความกระตือรือร้นที่เฉาเต๋อจื้อมีต่อหลินเซวียน คล้ายว่าจะมากกว่าความกระตือรือร้นที่มีต่อพวกเขาทั้งสองคนมากเลยใช่ไหมล่ะ?

“ต้นฉบับ!”

เฉาเต๋อจื้อเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ต้นฉบับนิทานครับ!”

หลินเซวียนรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าเธอจะต้องเผชิญกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้มาตลอดตั้งแต่เธอเข้ามาในบริษัทก็ตาม แถมในตอนนี้มีคนส่งต้นฉบับมาให้เธออีก

“ใครคะ”

“ฉู่ขวง!”

เฉาเต๋อจื้อเอ่ยแนะนำเสียงดัง ราวกับชื่อนี้ทำให้ใบหน้าของเขาเปล่งปลั่งสดใสขึ้นมา และแน่นอนว่าชื่อนี้ก็ทำให้ใบหน้าของเขาเปล่งปลั่งสดใสขึ้นมาจริงๆ

“อะไรนะคะ!”

ฉู่ขวงส่งต้นฉบับมา?

สีหน้าของสุ่ยจูโหรวและจางหยางเปลี่ยนไปทันที

หลินเซวียนยังคงอึ้ง “ต้นฉบับของฉู่ขวง”

เฉาเต๋อจื้อรีบอธิบาย “คุณก็รู้ว่าอาจารย์ฉู่ขวงสนใจการเขียนเรื่องราวหลายประเภท และช่วงนี้เขามีต้นฉบับนิทานพอดี แถมยังอุตส่าห์กำชับให้ผมส่งต้นฉบับให้ถึงมือคุณเลยนะครับ”

“…”

หลินเซวียนไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร

จางหยางซึ่งอยู่ด้านหลังกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะก่อนหน้านี้ลำคอแห้งผาก “อาจารย์ฉู่ขวงเขียนนิทานได้ด้วย?”

สุ่ยจูโหรวก็อึ้งไปเช่นเดียวกัน พึมพำออกมา “นิทาน…ของฉู่ขวง?”

“ผมจะส่งต้นฉบับเข้าอีเมลคุณเดี๋ยวนี้เลยครับ”

เฉาเต๋อจื้อไม่ได้สนใจอีกสองคน สมาธิของเขาไปรวมอยู่ที่หลินเซวียน หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจัดการภารกิจด้วยท่าทางยิ้มแย้ม

จางหยางและสุ่ยจูโหรวตกตะลึงไปชั่วขณะ

คุณส่งอีเมลมาก็ได้ ทำไมยังอุตส่าห์วิ่งมาถึงที่นี่อีก

เห็นได้ชัดว่าเฉาเต๋อจื้อเองก็รู้สึกประดักประเดิด ประหนึ่งได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคิดอยู่ในใจ เขากระแอมครั้งหนึ่ง “ส่งต่อหน้าแล้วผมเองก็สบายใจด้วยครับ เผื่อคุณไม่ได้เปิดอีเมล”

“อ้อ…”

หลินเซวียนเอ่ยตอบอย่างสับสน จู่ๆ ในสมองก็พลันฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้

เหมือนว่าน้องชายจะเป็นเพื่อนสนิทกับฉู่ขวงนี่นา?

นี่เป็นสิ่งที่ชาวเน็ตทุกคนรู้

ฉู่ขวงกับเซี่ยนอวี๋มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

จู่ๆ ฉู่ขวงก็เขียนนิทานขึ้นมา หนำซ้ำยังให้คนนำมาให้โดยเฉพาะ หรือว่าน้องชายเป็นคนขอร้องมา?

เดี๋ยวนะ!

พระเจ้าช่วยด้วย!

ที่แท้คนที่อยู่เบื้องหลังของฉันก็คือ…

ฉู่ขวง!!!??

………………………………………………………..

[1] ร่อนทอง เป็นคำสแลง หมายถึงคิดวิธีหาเงิน

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Status: Ongoing

‘เขา’ ทะลุมิติมายังจักรวาลคู่ขนานซึ่งมีชื่อว่า ‘บลูสตาร์’

ดินแดนซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ

ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างยิ่ง

ร่างที่เขามาสิงอยู่คือ ‘หลินเยวียน’ นักศึกษาปีสองที่กำลังจะเดบิวต์

แต่โชคชะตากลับเล่นตลกให้หลินเยวียนป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทำให้ร้องเพลงไม่ได้ และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

ครอบครัวก็หมดเงินไปกับค่ารักษาจนอยู่ในภาวะการเงินขัดสน

เป็นเหตุให้หลินเยวียนตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระของครอบครัวต่อไป

แต่ ‘เขา’ ไม่คิดจะปลิดชีพตัวเองเหมือนหลินเยวียน

ถึงแม้ร่างนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ก็ยังพอเหลือเวลาให้ทำอะไรอยู่บ้าง

และแม้จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองไม่ได้ ก็ยังพอจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของครอบครัวได้

เขาจะเขียนเพลง เขียนหนังสือ ถ่ายทอดความรู้ หารายได้ให้ครอบครัว!

ทันใดนั้น…

[กำลังตรวจเลือด…กำลังตรวจยีน…กำลังตรวจม่านตา…

ระดับความเข้ากันได้ร้อยละ 99.36…ตรงตามมาตรฐาน…

เลือกจากฐานข้อมูล…โลกในระบบสุริยจักรวาล…ระบบกำลังเชื่อมต่อ…]

[ดาวน์โหลดสำเร็จ เชื่อมต่อระบบศิลปะเสร็จสมบูรณ์!]

[สวัสดีโฮสต์ ยินดีสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบศิลปะ

ระบบของเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านได้เป็นศิลปินของบลูสตาร์!]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท