ข่าวที่แพร่กระจายไปยังศิษย์ของสำนักทั้งสาม ก็คือการทดสอบรอบแรก
การทดสอบรอบนี้ เป็นที่สนใจของทุกคนแทบจะทันที กระทั่งว่าเหล่าผู้ที่กักตัวฝึกตนอยู่เป็นเวลาหลายปี ยังอดรู้สึกหวั่นไหวตามไม่ได้ พวกเขาตัดสินใจออกจากการกักตน
เพราะว่า…นี่มิใช่การทดสอบธรรมดา แต่ว่า…คือการทดสอบรับศิษย์ของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง
เจ้าแห่งปรารถนาเสียง จะคัดเลือกคนผู้เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ไว้เป็นศิษย์ผู้หนึ่ง เพื่อให้กลายเป็นศิษย์สืบทอด และอีกทั้งก่อนหน้านี้ หลายปีที่ผ่านมา เจ้าแห่งปรารถนาเสียงที่อยู่เหนือทุกคนทั้งหมดก็เคยจัดงานทดสอบรับศิษย์พวกนี้เพียงแค่สามครั้ง
และในบรรดาศิษย์สืบทอดทั้งสามนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ตามและไม่ว่าในยุคสมัยใดล้วนเป็นที่สนใจของเมืองปรารถนาเสียง แม้สุดท้ายแล้วแต่ละคนจะบรรลุมหาเต๋าแห่งปรารถนาเสียง แล้วเลือกกักตนตลอดชีวิตไม่ปรากฏตัวอีกจนปัจจุบันนี้ก็ตาม ทว่าเรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้น กลับสลักอยู่ในใจของเหล่าประชาชนปรารถนาเสียงทุกคน
อีกทั้งการกลายเป็นศิษย์ของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง สิ่งนี้สำหรับผู้ฝึกตนไม่ว่าจะมาจากสามสำนักใดก็ตาม นับเป็นเกียรติยศสูงส่งหาใดเปรียบ ด้วยเหตุนี้เมื่อจุดประสงค์ของงานทดสอบนี้เผยแพร่ออกไป ทันใดนั้นบรรยากาศในมหาสามสำนักก็เร่าร้อนขึ้นมาทันที ผู้ใดที่คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติไปช่วงชิง จิตใจก็ฮึกเหิมเต็มไปด้วยปณิธานจะต่อสู้
ในเวลาเดียวกัน การทดสอบรอบนี้ แม้ว่าจะเลือกเพียงผู้เดียวที่จะกลายเป็นศิษย์ของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง แต่ว่ารางวัลของที่สองและที่สามนั้นล้วนน่าตื่นตะลึงเช่นกัน ส่วนของลำดับถัดๆ ไปก็เช่นกัน กล่าวได้ว่าขอเพียงได้สิบลำดับแรก ประโยชน์ที่จะได้รับก็ใหญ่หลวงนัก ยังได้รับประโยชน์มากกว่าการกักตนฝึกคนเดียวเป็นสิบเท่าทีเดียว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าผู้ฝึกตนที่คิดว่าตนไม่มีสิทธิช่วงชิงอันดับหนึ่ง ก็ยังคงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
แต่ในยามที่ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งสามสำนักใหญ่ และเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายกำลังบ้าคลั่งกันอยู่นั้น หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในถ้ำพลันเบิกตาโพลง เขาก้มหน้าลงมองแผ่นหยกที่อยู่ในมือ ในสมองเต็มไปด้วยเนื้อหาของข่าวนั้น และครึ่งครู่ให้หลัง ดวงตาของเขาก็ทอประกายหม่นวูบหนึ่ง
หากเจ้าแห่งสุขไม่ได้บอกแก่เขา ในคราวนี้หวังเป่าเล่อต้องยอมรับจริงๆ แล้วว่า ตนคงไม่มีทางมองเค้าเรื่องงานทดสอบครั้งนี้ออกแน่ แต่ว่าตอนนี้ต่างออกไปแล้ว หลังจากมีคำบอกเล่าของเจ้าแห่งสุขก่อนหน้า หวังเป่าเล่อก็มีคุณสมบัติพอที่จะฉีกกระชากม่านหมอกแห่งความมึนงงได้ เขามองทะลุม่านหมอกปริศนานี้ ไปสู่ความโหดร้ายซึ่งซุกซ่อนอยู่
“การได้เป็นที่หนึ่ง ได้กลายเป็นศิษย์ของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง แท้จริงแล้ว…ก็คือการกลืนกิน”
“ดูท่าแล้ว จากการที่เจ้าปรารถนาเสียงจัดการทดสอบมาเป็นเวลาสามครั้ง ก็คงจะเป็นแบบเดียวกัน ดังนั้นแล้วศิษย์สืบทอดก่อนหน้าทั้งสามราย ก็คงจะใช้เรื่องกักตัวไม่ปรากฏโฉมให้ใครเห็นมาเป็นข้ออ้างบังหน้า จริงๆ แล้ว…สามคนนี้ ได้กลายเป็นร่างแยกทั้งสามของเจ้าปรารถนาเสียงแล้ว พวกเขาก็คือเจ้าสำนักของสามสำนักใหญ่ในตอนนี้นี่เอง”
หวังเป่าเล่อส่ายหน้า หากแต่ความมุ่งมั่นในใจที่จะต่อสู้นั้นเริ่มเพิ่มขึ้น
เขาต้องการสิ่งที่ต่างไปจากผู้อื่น สิ่งที่เขาต้องการไม่เพียงแค่อันดับหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมี…กฎแห่งปรารถนาเสียงทั้งสามขั้น!
สิ่งที่เขาต้องการนั้นก็คือ ในพริบตาที่เจ้าปรารถนาเสียงใช้กฎแห่งเต๋าเสียงช่วงชิงชีวิตของเขานั้น เขาก็จะกระทำการสวนกลับแล้วช่วงชิงทุกสิ่งของอีกฝ่ายมาแทน จากนั้นก็ใช้มันบำรุงร่างกายของตนครั้งใหญ่
“หากทำได้เมื่อไร…เช่นนั้นในด้านกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง แม้ข้าจะไม่อาจเทียบกับเจ้าปรารถนาเสียงได้ แต่ว่าต่อให้เจ้าปรารถนาเสียงลงมือกับข้าด้วยตนเอง ก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้แม้แต่น้อย!”
“เพราะว่าความแตกต่างของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของพวกเรา…ไม่ได้ต่างมากขนาดนั้น!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แสงในดวงตาของหวังเป่าเล่อก็แผดเผาร้อนแรง เปลวเพลิงนี้มีนามว่า ความทะเยอทะยาน
และด้วยความทะเยอทะยานที่ลุกโชนขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็หลับตาทั้งสอง จากนั้นสัมผัสท่วงทำนองภายในร่างของตน รอคอยเวลาให้ไหลผ่าน ตามที่ได้รับข้อมูลมา หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน งานทดสอบจะเริ่มต้น
ในเวลาเดียวกัน เยว่หลิงจื่อผู้งามหมดจดที่อยู่ในสำนักเหอเสียน ในใจของนางพลันก่อเกิดคลื่นซัดโหม การทดสอบในครั้งนี้ นางไม่แน่ใจว่าตนจะเอาชนะทุกคนและกลายเป็นที่หนึ่งได้
“คู่ต่อสู้ของข้า นอกจากพวกที่กักตัวมาเป็นเวลาหลายปี นอกจากผู้อาวุโสที่มีระดับไม่รู้เท่าไรพวกนั้นแล้ว ที่สำคัญก็ที่สุดก็คือ…ยิ่นสี่ที่ฝึกเต๋าแห่งจังหวะดนตรีผู้นั้น!”
เต๋าแห่งจังหวะดนตรีมีผู้ฝึกเต๋าโดดเด่นสองคน ผู้หนึ่งคือจงเหิงจื่อ อีกผู้หนึ่งก็คือยิ่นสี่ รายแรกนั้นหลงใหลในเต๋าแห่งจังหวะดนตรี สถานภาพไม่สามัญ ชื่อเสียงระบือไกล ส่วนรายหลังนั้นเร้นลับอย่างยิ่ง เทียบแล้วติดดินกว่า ผู้อื่นรู้เพียงแต่นาม ยากจะมีคนได้พบโฉมหน้าจริงๆ ของเขา สำหรับเยว่หลิงจื่อแล้ว ศิษย์เต๋าของอีกสองสำนักที่เหลือ รวมถึงสือหลิงจื่อของสำนักตนเอง นางมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ เหลือเพียงยิ่นสี่ผู้นี้ผู้เดียว…ดังนั้นแล้วในความเงียบสงัด เยว่หลิงจื่อจึงค่อยๆ หยิบแผ่นทำนองเพลงไม่สมบูรณ์ออกมาแผ่นนึ่ง ดวงตานางค่อนข้างลังเล
ในเวลาเดียวกัน สือหลิงจื่อเองก็กำลังเตรียมการเรื่องงานทดสอบ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเยว่หลิงจื่อที่ยึดมั่นกับการชิงที่หนึ่งแล้ว สิ่งที่ผลักดันแรงของสือหลิงจื่อนั้นกลับเป็นความรู้สึกที่เขาจะหาคู่แค้นพบในครั้งนี้เสียมากกว่า
จากความทรงจำของตน ศัตรูของเขาคนนี้ เขารู้สึกว่าเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งมาก อาจมีสิทธิอยู่ในสิบลำดับแรก นอกเสียจากว่าครั้งนี้อีกฝ่ายเก็บพลังไว้ มิเช่นนั้นล่ะก็ ตนต้องหาตัวพบแน่
“หากข้าหาเจ้าเจอนะ ไอ้สารเลว ข้าจะต้องทำให้เจ้าเสียใจที่ดูถูกข้า!” สือหลิงจื่อคำรามเสียงเย็น แต่เขาเองก็เข้าใจดี ว่ามีโอกาสมากที่ตนจะหาอีกฝ่ายไม่เจอในครั้งนี้เช่นกัน
อีกทั้ง หากอีกฝ่ายอดทนไม่เข้าร่วมงานทดสอบเข้าจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นตนก็จะมีความสุขอย่างมากด้วย เพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมการเข้าทดสอบ แต่เป็นเพราะมีตนอยู่จึงเข้าทดสอบไม่ได้แล้วก็ต้องหมดโอกาสไป จุดนี้แหละจะเป็นเหตุให้สือหลิงจื่อเบิกบานใจนัก และผู้ที่กำลังเตรียมตัวอยู่อีกนั้น ยังมีเหล่าศิษย์เต๋าของอีกสองสำนัก ผู้ฝึกตนรูปงามสองท่านของสำนักเหิงฉิน แล้วยังมีจงเหิงจื่อผู้หลงใหลในเต๋าดนตรี ต่างพากันใช้ทุกวิธีทางยกระดับตัวเองในเวลาที่เหลือ
นอกจากนี้แล้ว ผู้ฝึกตนอาวุโสกว่าอีกขั้นที่เพิ่งออกจากการกักตัวมาของทั้งสามสำนักก็เป็นเช่นเดียวกัน ต่างพากันคันไม้คันมือ ราวกับว่าในงานทดสอบนี้ สิ่งที่ปกติเก็บงำไว้เงียบๆ จะได้แสดงให้โลกตะลึงไปในคราเดียว
ก็เป็นเช่นนี้ เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปช้าๆ ครึ่งเดือนก็ผ่านไป
และในวันก่อนหน้าที่งานทดสอบจะเริ่มต้น ก็มีเสียงระฆังดังขึ้นครั้งหนึ่ง มันดังสะท้อนก้องไปทั้งสามสำนัก ในเวลาเดียวกัน ศิษย์ทุกคนของสำนักทั้งสามต่างหยิบป้ายประจำตัว ตอนนี้แสงสว่างสุกใสพลันทอประกายออกมา
แสงสว่างที่ทอประกายนี้มีเวทเคลื่อนย้ายแผ่อยู่เต็ม ศิษย์ทุกคนที่ต้องการเข้าร่วมทดสอบไม่จำเป็นต้องลงโทษ ขอเพียงส่งกระแสจิตลงในแผ่นหยก ก็จะโดนเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ทดสอบได้เลย
ส่วนรูปแบบการทดสอบในครั้งนี้ ก่อนหน้าที่ผู้เข้าทดสอบจะเข้าสนามยังไม่อาจทราบได้ อาศัยตามการทดสอบรับศิษย์ที่ผ่านมาสามครั้ง บ้างก็มีให้เข้าเขตลี้ลับ บ้างก็ให้ทดสอบเป็นขั้นๆ ส่วนการทดสอบครั้งนี้เป็นอย่างไร ก็ยังไม่มีใครทราบ
แต่ว่าสำหรับหวังเป่าเล่อ สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ เขาเหลือบมองแผ่นหยกของตนแวบหนึ่ง แล้วลองสัมผัสพลังแห่งเสียงภายในกายที่ซ้อนทับกันเกือบจะถึงแสนทำนองดู หลายวันที่ผ่านมานี้ ในที่สุดตนก็ประพันธ์เพลงโบราณออกมาได้เพลงหนึ่งโดยสมบูรณ์ นัยน์ตาเขาทอประกายวาบ จากนั้นก็ส่งกระแสจิตเข้าแผ่นหยก เงาร่างพลันหายไปในพริบตา
ในเวลานี้เอง ท่ามกลางภูเขาไฟสามลูกในยามราตรี ส่วนลึกของภูเขาไฟที่เป็นตัวแทนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีนั้น ท่ามกลางเปลวเพลิงในความมืด ก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
ปราณของเงาร่างนี้อ่อนแรงนัก สีหน้าปวดร้าว ส่วนร่างก็เริ่มผุเน่าราวกับจะขาดวิ่น เหมือนว่าอยู่ในสภาพใกล้พังทลายเต็มที ที่ยังไม่หลุดออกเป็นสี่ห้าส่วนก็เพราะพยายามฝืนพยุงไว้สุดแรง
ในสภาวะหายใจรวยริน เงาร่างนี้พลันเบิกดวงตาทั้งสอง นัยน์ตาของเขาไร้นัยน์ตาดำ แต่กลับถูกความขมุกขมัวกดทับเอาไว้ ราวกับว่ากระทั่งการลืมตาขึ้นก็ทำให้เงาร่างเจ็บปวดทรมานสุดทน
แต่เงาร่างนี้ก็ยังคงพยายามลืมตาเพื่อมองไปด้านหน้า
………………………………………