“ขอรับ” กิเลนอัคคีพยักหน้าพร้อมกระทืบกรงเล็บขนาดมหึมาของตัวเองลงกับพื้น แรงนั้นส่งให้หมู่เมฆขยายตัวขึ้นหลายชั้น สัญลักษณ์อันซับซ้อนเริ่มปรากฏขึ้นรอบๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นรูปร่างเหมือนดาวห้าแฉกโดยมีเฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ตรงกลาง
ทันทีที่ฟ้าสาง แสงแรกของวันใหม่ก็พลันเล็ดลอดผ่านเส้นขอบฟ้าลงมากระทบกับร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย แสงนั้นมาบรรจบเข้าหากันด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า มันห่อหุ้มเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ภายในเหมือนรังไหม ก่อนที่แสงและความอบอุ่นนั้นจะค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเวลาผ่านพ้นไปนานเพียงใดตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้านางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความหนาวเย็นที่เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก
แม้คำว่าปกติจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคาดหวังจากสถานที่ที่ตัวเองกำลังมุ่งหน้าไป แต่นางก็ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่นางกับเด็กสาวอีกสองคนถูกสัตว์อสูรคาบเอาไว้ในปาก!
ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่น่าอภิรมย์จริงๆ
เสียงลมพัดขึ้นลงดังก้องอยู่ในหูของนาง
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังพยายามคิดหาทางออกอยู่นั้น เด็กสาวคนที่อยู่ข้างๆ นางก็เบะปากด้วยความรังเกียจ และเอ่ยขึ้นว่า ”ฝ่าบาทเกลียดชังมนุษย์ขี้ขลาดตาขาวเป็นที่สุด ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนกพวกนี้ถึงได้เก็บเจ้าขึ้นมากลางทาง เจ้าก็แค่ขาวกว่าคนอื่นเพียงหน่อยเดียวเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยปิดปากเงียบ การเลือกเงียบจนถึงที่สุดเป็นวิธีที่นางใช้รับมือกับสถานการณ์อันไม่คุ้นเคยมาโดยตลอด
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้นางก็ยังมาที่นี่อย่างมีจุดประสงค์อีกด้วย
“ระวังคำพูดหน่อย เสี่ยวขุย” เด็กสาวอีกคนกระตุกแขนเสื้อนาง ใบหน้าเล็กๆ นั้นเงยขึ้นก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นนางจึงถามขึ้นว่า ”ดูเหมือนเจ้าจะไม่ใช่คนจากวิหารขับไล่วิญญาณร้ายเหมือนพวกข้า เจ้ามาจากไหนหรือ ทำไมถึงไปอยู่ข้างแท่นพิธีได้ล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ข้าจำไม่ได้ ตอนที่ข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว”
“ศีรษะเจ้าคงกระแทกพื้นตอนกลิ้งตกลงมาจากภูเขากระมัง” เด็กสาวในชุดสีม่วงมองนางด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความเมตตา
เฮ่อเหลียนเวยเวยนวดหน้าผากของตัวเองอย่างช้าๆ พร้อมกับส่ายศีรษะไปมาอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า ”คงเป็นเช่นนั้น”
“น่าสงสารจริงๆ” เด็กสาวชุดสีม่วงเผยสีหน้าเห็นอกเห็นใจออกมาราวกับทนไม่ไหว ”ไม่ต้องห่วง ทันทีที่พวกเราไปถึงเมืองปีศาจ ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกไปเล็กน้อย เมืองปีศาจหรือ
“พี่หนี ทำไมท่านถึงไม่ปล่อยให้นางอยู่ของนางไปล่ะเจ้าคะ” เด็กสาวในชุดสีชมพูเชิดคางขึ้น สีหน้าเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าน่ารักของนาง ”ครั้งนี้ฝ่าบาทเป็นคนสั่งให้ท่านมาที่นี่ด้วยตัวเอง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับโผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ นางเป็นใครก็ไม่รู้!”
เด็กสาวชุดสีม่วงตวัดสายตามองนางเป็นการเตือน ”เสี่ยวขุย ในเมื่อครั้งนี้คนที่ฝ่าบาทตามหาตัวอยู่คือข้า นั่นจึงยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าไม่สามารถปล่อยให้ผู้อื่นต้องมาพลอยลำบากไปด้วยได้ เจ้าก็รู้ถึงความโหดเหี้ยมที่เขาซ่อนเอาไว้ดี แม้เขาจะดูสง่างามอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เขาจะทำในวินาทีถัดไปเป็นอะไร”
“แต่เขาปฏิบัติต่อท่านแตกต่างจากผู้อื่นนะเจ้าคะ พี่หนี” ความอิจฉาวาบขึ้นในดวงตาของเสี่ยวขุยก่อนหายไป ”เขาใจดีต่อท่านจริงๆ เจ้าค่ะ”
ริมฝีปากอ่อนนุ่มของเด็กสาวสีม่วงเหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยในตอนแรก แต่บนใบหน้าของนางกลับมีความเศร้าอันยากจะมองเห็นปรากฏอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยฟังบทสนทนาของทั้งสองอย่างเงียบๆ พร้อมกับซ่อนมีดสั้นที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวของตนเอาไว้เป็นอย่างดี…
จากที่กิเลนอัคคีว่าไว้ มันจะส่งนางมาที่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่
และเมื่อนางมาลงเอยอยู่ที่นี่ ย่อมหมายความว่านางจะได้พบไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในไม่ช้าหากนางทำตามแผนการที่วางไว้ใช่หรือไม่
เฮ่อเหลียนเวยเวยทอดสายตามองออกไปแสนไกล และตัดสินใจว่าจะรอดูสถานการณ์อีกสักหน่อย
ท่ามกลางหมอกหนาทึบนั้นมีหลังคาสูงจำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกลุ่มเมฆสีดำที่แผ่กระจายไปทั่วผืนฟ้า มันเป็นทิวทัศน์ที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรือง แต่ก็ยังดูมืดมนในเวลาเดียวกัน
ณ ที่ตรงนั้น วังศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ที่ตีนภูเขาไฟ มันยาวคดเคี้ยวไปจนถึงแม่น้ำสั่วหลัว หมอกหนาทึบนั้นทำให้ไม่มีแสงแดดส่องถึงวังแห่งนั้นแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเห็นอาคารทั้งหลังได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก สิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตาของนางคือทุ่งดอกไม้บานสะพรั่งกว้างใหญ่ราวท้องทะเล พวกมันลุกโชติช่วงเหมือนกับไฟบนแม่น้ำสีเข้มและเกิดเป็นภาพอันงดงามแทบลืมหายใจ
นอกจากนั้น วิญญาณที่ยังไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้จำนวนหนึ่งลอยอยู่บนแม่น้ำราวกับเมฆ เวลานั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถละสายตาจากปรากฏการณ์อันน่าทึ่งนี้ได้ นางตกตะลึงอย่างมาก
ทันทีที่เห็นภาพนี้ เสี่ยวขุยก็ส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา ”พี่หนีดูสิเจ้าคะ ช่างบ้านนอกเสียไม่มี! แม้กระทั่งแม่น้ำปรภพนางก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ”
แม่น้ำปรภพหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงอย่างดุร้าย ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำราวกับบ่อดำโบราณอันยากหยั่งถึง นางเคยอ่านเรื่องนี้เจอจากในหนังสือ
ที่โลกนี้มีแม่น้ำอยู่สายหนึ่งที่มีดอกปี่อั้นจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นอยู่ตามริมฝั่ง
ผู้คนกล่าวกันว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของโชคร้ายและความสิ้นหวัง
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่อาจต้านทานความปรารถนาที่จะได้เห็นมันของผู้คนได้
สถานที่ที่มีวิญญาณชุกชุมที่สุดคือสถานที่ให้มันเติบโต แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่นางก็ได้ยินเสียงร้องเพลงแผ่วเบาลอยมาพร้อมกับสายลม
เสียงนั้นเป็นเสียงร้องเพลงเรียกวิญญาณจากเหล่าเงือกที่หลับใหลอยู่ใต้แม่น้ำ
เงือกเหล่านั้นไม่ได้งดงามอย่างที่ทุกคนคิด
แน่นอนว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ เสียงของมันใสราวกับแก้ว อีกทั้งใบหน้าของมันก็ยังบริสุทธิ์ที่สุดในโลก
หากใครสักคนได้มองเข้าไปในดวงตาของมันแล้ว ก็ยากที่จะปฏิเสธคำขอของมันได้
แต่ทันทีที่คนคนนั้นตอบตกลง พวกมันจะเผยฟันคมกริบราวใบมีดออกมา และลากคนคนนั้นลงสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำภายในชั่วพริบตา คนคนนั้นจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ อวัยวะทุกส่วนของเขาจะกลายเป็นอาหารสำหรับพวกมัน
เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับแม่น้ำปรภพนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน
แต่สิ่งที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยกังวลใจที่สุดก็คือเรื่องที่แม่น้ำสายนี้จะสามารถพบเห็นได้เพียงแค่สองแห่งเท่านั้น ซึ่งสถานที่สองแห่งที่ว่าก็คือแดนปีศาจและปรโลก
แน่นอนว่าที่นี่ไม่ใช่ปรโลก…
ในเมื่อมันไม่ใช่ปรโลก ดังนั้นที่นี่ก็ต้องเป็นแดนปีศาจอันเต็มไปด้วยอิสรเสรี!
นางมาถึงแดนปีศาจแล้วจริงๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามห้ามตัวเองอย่างหนักเพื่อไม่ให้ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ประกายแสงวาบขึ้นในดวงตาหงส์เรียวยาวของนางทันทีที่มองไปยังท้องพระโรงที่กำลังใกล้เข้ามา
เมืองปีศาจสว่างไสวด้วยแสงไฟ และเปล่งประกายราวกับเพชร
แต่แม้จะงดงามตระการตาเพียงใด มันก็ไม่สามารถอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ได้
แสงทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากพลังเวทย์อันเข้มข้น
เปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนผลิบานกลายเป็นดอกไม้ไฟขนาดยักษ์พร้อมกับฝูงชนที่กำลังส่งเสียงโห่ร้อง เสียงแห่งความยินดีดังเซ็งแซ่ไปทั่วทุกที่ นกยักษ์กระพือปีกสีดำสนิท มันบินข้ามดอกไม้ไฟและส่งเสียงร้องแหลมเสียดหูพร้อมกับชูคอขึ้น ดูเหมือนมันจะมีวิธีเฉลิมฉลองในแบบของมันเช่นกัน
ประกายไฟที่ลุกไหม้อยู่นั้นทวีความร้อนแรงขึ้นทีละน้อย แสงสว่างเจิดจ้าระเบิดออกท่ามกลางผืนผ้าใบแห่งดวงดาว
ตลอดระยะทางแปดสิบเอ็ดลี้จากฟากฟ้ามาสู่ดินล้วนแต่เต็มไปด้วยทุ่งดอกปี่อั้น นี่คือสิ่งที่ปรากฏขึ้นในใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยทันทีที่นางเห็นภาพอันชวนตกตะลึงนั้น
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นนางก็ถูกสัตว์อสูรโยนลงกับพื้นเหมือนสัมภาระชิ้นหนึ่ง
โชคดีที่พื้นดินบริเวณนั้นปกคลุมไปด้วยพรมสีแดง และยังนุ่มพอจะเป็นเบาะกันกระแทกให้กับนางได้ แม้นางจะรู้สึกเจ็บอยู่นิดหน่อยตอนที่ถูกทิ้งลงมาก็ตาม
แต่แน่นอนว่านางไม่ใช่คนเดียวที่ถูกโยนลงมากับพื้นเช่นนี้ เพราะยังมีเด็กสาวอีกสองคนอยู่กับนางด้วย
สีหน้าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กสาวชุดสีม่วงนั้นช่างเหนือคำบรรยายยิ่งนัก
ในทางกลับกัน เสี่ยวขุยกลับดูตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางนั้นชัดเจนจนยากจะมองข้ามได้
นางกอดอกพร้อมกับตวัดสายตาดูถูกมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยังอยู่บนพื้น นางกระตุกริมฝีปากขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มเหยียดหยัน และเอ่ยว่า ”พี่หนีดูนางสิเจ้าคะ นางดูโง่เขลาเสียไม่มี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกลงมาหัวกระแทกหรือเพราะกลัวกันแน่”
“เสี่ยวขุย!” เด็กสาวชุดสีม่วงหันหน้าไปและส่งสายตาให้นางแทนการเตือน แต่นางก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริง เพราะอย่างไรเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าสำหรับนาง นางเพียงแค่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้เท่าที่นางทำได้เท่านั้น และนั่นก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่าพวกนางกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เด็กสาวพวกนี้คงเป็นคนจำพวกคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แม้คนหนึ่งจะมีมารยาทดีกว่าเล็กน้อยตรงข้ามกันกับอีกคน แต่พวกนางก็ไม่ได้แตกต่างกันแม้แต่นิดเดียว
เพราะในสายตาของพวกนาง นางก็คงไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าคนชั้นต่ำแสนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น…