เฮ่อเหลียนเวยเวยยันร่างขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง ในเวลาเดียวกันนั้นริมฝีปากของนางที่ซ่อนอยู่ใต้กลุ่มผมก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างช้าๆ
นางไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับเสี่ยวขุย นางเพียงแค่ปัดฝุ่นออกจากเสื้อด้วยใบหน้าเฉยเมยเท่านั้น นางเงียบมากเสียงจนคนทั้งสองมองข้ามนางไปได้อย่างง่ายดาย
เสี่ยวขุยรู้สึกเบื่อหน่ายกับปฏิกิริยาแสนน่าเบื่อของนาง นางหันไปอีกทางและเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า ”พี่หนี หลังจากนี้ตอนที่พวกเราไปเข้าเฝ้าองค์ราชา ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องขอให้ท่านอยู่ต่อแน่เจ้าค่ะ! เมื่อถึงเวลานั้นความกังวลทั้งหมดที่ท่านประมุขมีย่อมได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน!”
นางชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับเอ่ยขึ้น สายตาของนางเหมือนกำลังมองข้ารับใช้ ”แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องระวังใครบางคนเอาไว้ให้ดีนะเจ้าคะ นางปรากฏตัวขึ้นได้อย่างเหมาะเจาะราวกับจงใจรอให้ถึงเวลาบวงสรวง แล้วจึงปรากฏตัวขึ้นอย่างไรอย่างนั้น นางย่อมมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่ในใจแน่ๆ เจ้าค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจความนัยเบื้องหลังคำพูดของนาง และทุ่มสมาธิไปกับการอัญเชิญหยวนหมิงออกมา กิเลนอัคคีพูดถูก มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับแดนปีศาจ และตอนนี้หยวนหมิงก็ไม่ได้อยู่กับนาง… นางลดสายตาลงแล้วครุ่นคิดพร้อมกับสัมผัสด้ายแดงที่ข้อมือด้วยปลายนิ้ว
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามทำด้ายเส้นนี้ขาดโดยเด็ดขาด…
“นี่ มายืนอยู่ด้านหลังข้า!” เสี่ยวขุยเหยียดยิ้ม ”เจ้ารู้กฎระเบียบหรือเปล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าไม่ใช่เพราะมีคนต้องการพบพี่หนี เจ้าก็คงไม่มีโอกาสได้มาที่เมืองปีศาจด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับยังฝันกลางวันว่าเจ้าจะได้เป็นคนที่ถูกเลือกอีกหรือ ช่างน่าขันเสียไม่มี! ข้าจะให้คำแนะนำกับเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้าข้าเป็นเจ้า เวลานี้ข้าจะพูดดีๆ กับพี่หนี บางทีเจ้าอาจได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี และถูกมอบเป็นรางวัลให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาสักคนขององค์ราชาก็ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็รอดูแล้วกันว่าหลังจากนี้เจ้าจะตกระกำลำบากเพียงใด!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบ และเอ่ยว่า ”จริงอยู่ที่คนที่น่าประทับใจในที่นี่คือพี่หนี แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้ามิใช่หรือ ข้าคิดว่าคนที่มีจุดประสงค์จะใช้พี่หนีเพื่อยกระดับตัวเองขึ้นมาคือเจ้ามากกว่า เป้าหมายของเจ้าคือใครหรือ หรือว่าจะเป็นองค์ราชา”
“เจ้า! เจ้า!” เสี่ยวขุยรู้สึกอับอายยิ่งนักเมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเปิดโปงความคิดที่อยู่ในใจของนางออกมา นางวางแผนการบางอย่างเอาไว้ระหว่างการมาครั้งนี้จริง แต่เบื้องหน้านั้นนางจำเป็นต้องแสร้งทำตัวเป็นมิตรต่อพี่หนีเช่นกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะต่อความยาวสาวความยืดในเรื่องนี้กับนาง สิ่งที่นางจำเป็นต้องทำในเวลานี้คือการค้นหาเศษชิ้นส่วนวิญญาณขององค์ชาย
ระหว่างที่นางก้มหน้าและดำดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองนั้น ชายผมสีแดงคนหนึ่งก็เปิดประตูศิลาและก้าวเข้ามา
ชายคนนั้นกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ”องค์ราชาต้องชอบเหยื่อในครั้งนี้อย่างแน่นอน”
“นายท่าน รสนิยมของท่านช่างดีจริงๆ” สัตว์อสูรตัวหนึ่งคุกเข่าอยู่ข้างเขาด้วยความเคารพ ”องค์ราชาเคยพบหนึ่งในนั้นในระหว่างที่เขาไปเยี่ยมเยือนโลกมนุษย์ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็พาพวกนางทั้งหมดเข้ามา” ชายคนนั้นถอนหายใจยาว ”ช่วงนี้องค์ราชาอารมณ์ไม่ดี บอกให้พวกนางระวังตัวเอาไว้ให้ดีตลอดเวลาด้วย เจ้าก็รู้ว่าองค์ราชาเกลียดเวลาที่ถูกคนอื่นแตะเนื้อต้องตัวที่สุด”
สัตว์อสูรตัวนั้นตอบอย่างรวดเร็วว่า ”นายท่านโปรดวางใจขอรับ! สามคนนั้นรู้กฎระเบียบเป็นอย่างดี”
“ดีมาก เช่นนั้นก็ตามข้ามา” ทันทีที่พูดจบ ประตูศิลาก็เคลื่อนตัวขึ้นราวกับตอบสนองคำพูดของเขา
ความงดงามที่แท้จริงของเมืองปีศาจได้รับการเปิดเผยก็ในตอนนี้นี่เอง
วังหลวงเต็มไปด้วยหินแกะสลักและปกคลุมไปด้วยดอกกุหลาบบานสะพรั่ง มันเงียบสงบและไม่ได้รื่นเริงเหมือนที่พวกนางจินตนาการเอาไว้
อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ มันเป็นกลิ่นอันเรียบง่ายและบริสุทธิ์ซึ่งมาพร้อมกับหมอกหนาทึบที่โอบล้อมอยู่รอบวัง วังหลังนั้นดูรุ่งเรืองแต่ก็มืดมนราวกับปราสาทโบราณในนิทาน
กลางท้องพระโรงอันหรูหราและโอ่อ่านั้น มีชายคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์ เขาแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อคลุมปลดกระดุมตรงช่วงคอ ที่ข้างตัวมีเสื้อคลุมขนสัตว์พาดอยู่ เขาสวมแหวนสีดำไว้ที่นิ้วชี้ นิ้วของเขาทั้งยาวและเรียว เขายกมือข้างหนึ่งค้ำใบหน้าของตัวเองเอาไว้ด้วยท่าทางสง่างามราวกับว่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก
ทุกคนต่างถูกท่าทีเฉยเมย หรือไม่ก็ความหรูหราและสูงส่งเย็นชาอย่างยิ่งนั้นกดดันเอาไว้ พวกนางไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากปิดปากเงียบ ในเวลาเดียวกันนั้นพวกนางต่างก็ตกอยู่ในอาการเหม่อลอยและสับสนยิ่งนัก
ชายคนนั้นพาหญิงทั้งสามเข้าไปด้านใน บรรดาปีศาจหน้าตาหล่อเหลาทุกตนต่างหยุดมือจากสิ่งบันเทิงที่ตนทำอยู่ แล้วมองมาที่พวกเฮ่อเหลียนเวยเวย ริมฝีปากของพวกมันกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มซุกซนพร้อมกับส่งสายตามองอาหารอย่างสนใจ
แต่ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กลับทำเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่าที่สบายขึ้น ความชั่วร้ายอันยากอธิบายออกมาเป็นคำพูดแผ่ออกมาจากร่างของเขา
“นายท่าน พวกนางคือหญิงสาวที่ท่านเคยพบในโลกมนุษย์ก่อนหน้านี้ขอรับ” ชายชุดดำยิ้มและเอ่ยต่อ ”พวกนางมีกันทั้งหมดสามคน ดังนั้นข้าจึงพาทั้งสามมาที่นี่ขอรับ”
นิ้วเรียวของชายคนนั้นแตะที่ถ้วยชา น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบ ”สู่รู้”
“นายท่าน ถึงเวลาที่ท่านต้องพาผู้หญิงขึ้นเตียงแล้วนะขอรับ!” ชายชุดดำตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ชายคนนั้นหันหน้าไปข้างๆ สีหน้าสง่างามและหยิ่งผยองนั้นทำให้ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นใด
เวลานี้เด็กสาวในชุดสีม่วงจึงเอ่ยปากขึ้น แม้เสียงของนางจะสั่นเครือ แต่นางก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเท่าเสี่ยวขุยที่ทำท่าราวกับฟ้าจะถล่มลงมา ”ข้าคือคนที่ท่านเห็นในวิหารขับไล่วิญญาณร้ายเจ้าค่ะ สองคนนี้ล้วนแต่เป็นผู้บริสุทธิ์ หากท่านคิดที่จะลงมือ ขอให้ท่านมาลงที่ข้าเพียงคนเดียวเถิดเจ้าค่ะ!”
ในที่สุดชายคนนั้นก็ลืมตาขึ้น และมองไปทางนาง แต่ดวงตาเรียวยาวและลึกล้ำของเขากลับยังคงเยือกเย็นและปราศจากอารมณ์
ชายชุดดำคิดว่าเขาคงรู้สึกพอใจกับนาง ดังนั้นเขาจึงโบกมือ และสั่งว่า ”พานางลงไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดเสีย”
“ขอรับ” สัตว์อสูรพสุธาน้อมศีรษะลงอย่างเคารพ และพาเด็กสาวชุดสีม่วงออกไปจากท้องพระโรงด้วยการคาบนางไว้ในปาก
เสี่ยวขุยหวาดกลัวยิ่งนัก นางตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจว่า ”พี่หนี! พวกท่านจะพาพี่หนีไปไหน”
ชายคนนั้นดูคล้ายจะไม่พอใจกับเสียงนั้น เขาเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทนว่า ”ส่วนคนที่เหลือ ใครสนใจคนไหนก็เอาไปได้เลย”
ทีแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงแค่ก้มหน้าฟังที่พวกเขาคุยกันเงียบๆ เพราะนางไม่ได้มีความตั้งใจที่จะแข่งขันกับพวกนางเพื่อแย่งความสนใจจากองค์ราชา แต่ทันทีที่นางได้ยินว่าชายคนนั้นตั้งใจจะกำจัดนาง นางก็เอ่ยขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นว่า ”เดี๋ยวก่อน”
เพราะน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาของนาง จึงทำให้คำพูดนั้นฟังดูเหมือนกับว่านางกำลังออกคำสั่งกับเขาอย่างยากจะเลี่ยงได้
ปีศาจทุกตนหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง
ในดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เพราะพวกมันไม่เคยเห็นมนุษย์คนใดกล้าพอที่จะขัดคำสั่งองค์ราชามาก่อน
“ดูผิวของนางสิ ข้าว่าเลือดของนางจะต้องอร่อยแน่ๆ!”
“เฮ้ย นั่นไม่ใช่ประเด็นเสียหน่อย! ประเด็นอยู่ที่ท่าทางของนางต่างหาก เมื่อครู่นี้เจ้าไม่เห็นหรือ นางดูก้าวร้าวยิ่งนัก”
“อย่าสนใจเรื่องนั้นเลย แค่นางอร่อยก็พอแล้วนี่!”
“เจ้าโง่! หลังจากนางปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น เจ้าคิดว่าองค์ราชาจะปล่อยนางไปหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินบทสนทนาของพวกมัน และนึกอยากถามพวกมันยิ่งนักว่านางปฏิบัติต่อองค์ราชาของพวกมันอย่างไร สิ่งเดียวที่นางทำก็แค่การเอ่ยคำพูดง่ายๆ ออกไปเพียงคำเดียวเท่านั้น จากนั้นปีศาจทุกตนก็เริ่มพูดพล่ามเกี่ยวกับนางไม่หยุดหย่อน…
“แล้ว?” ชายคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ถามขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนคราวนี้มุมปากของเขาจะโค้งขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นย่อมไม่ใช่รอยยิ้มที่ใจดีอย่างแน่นอน!
บรรยากาศอันชั่วร้ายรุนแรงเข้าโอบล้อมไปทั่วทั้งท้องพระโรงอันงดงาม มันเงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นลงกระทบพื้น ปีศาจทุกตนเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างแรง…