แม้ว่าบิดามารดานางจะสิ้นไปแล้วทั้งคู่ แต่ไม่อาจไม่ทำตามพิธีการได้
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่บุญธรรมเคยบอกว่าวันนี้จะรอนางที่จวนกั๋วกงแต่เช้าตรู่
มั่วจื่อถังก็บอกว่าจะมาต้อนรับ นางยังต้องพาหนิงเซ่าชิงไปกราบไหว้มั่วเทียนฟ่างกับเฟิงชิงอวี่ที่จากโลกใบนี้ไปแล้วด้วย
นางจะบอกมั่วเทียนฟ่างและเฟิงชิงอวี่ว่า นางแต่งให้กับบุรุษที่ดีที่สุดในโลก
แน่นอนว่านางคิดไม่ถึงว่าจะมี มหันตภัยรอนางอยู่ที่จวนกั๋วกง
รถม้าเพิ่งจะถึงหน้าประตูจวนกั๋วกง ประตูใหญ่ก็เปิดกว้าง พ่อบ้านนำคนออกมาต้อนรับ
ทุกคนห้อมล้อมมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงมาจนถึงห้องโถงด้านหน้า อย่างไรเสียก็ไม่ใช่บิดามารดาที่ให้กำเนิด ฐานะของหนิงเซ่าชิงสูงศักดิ์ จย่าฮูหยินกับท่านจย่าจึงไม่อาจวางมาดมากเกินไป เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้าประตูมา ก็ลุกขึ้นมาต้อนรับ
ทักทายกันสองสามประโยค หนิงเซ่าชิงก็ตามมั่วเชียนเสวี่ยไปจุดธูปหน้าดวงวิญญาณมั่วเทียนฟ่างกับเฟิงชิงอวี่ ตอนนี้เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี
คนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารมีไม่มาก สองสามีภรรยาท่านจย่า สองสามีภรรยาหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ย และมั่วจื่อถังที่นั่งอยู่ด้านหลังสุด
ร่ำสุราครบสามรอบ อาหารมื้อนี้ก็จบลง
ท่านจย่าเชิญหนิงเซ่าชิงไปเล่นหมากรุก มั่วจื่อถังนั่งดูหมากรุก มั่วเชียนเสวี่ยตามจย่าฮูหยินไปห้องโถงด้านใน
จย่าฮูหยินสงสารนางที่บิดามารดาจากไปเร็ว หลายเรื่องไร้คนดูแล จูงมือนาง ถามถึงสภาพการณ์ที่นางอยู่ในตระกูลหนิงอย่างเป็นห่วง และคุยเรื่องภารกิจที่ผู้เป็นสะใภ้สมควรทำให้สำเร็จ รวมถึงเรื่องต่างๆ ที่สมควรจะระมัดระวังในตระกูลใหญ่
เรื่องพวกนั้นที่จย่าฮูหยินเอ่ยถึง ความจริงแล้วในใจมั่วเชียนเสวี่ยก็มั่นใจแล้ว แต่ว่ามีคนเป็นห่วงตนเอง ท้ายที่สุดยังไงก็รู้สึกตื้นตันใจ และนึกถึงหนึ่งวันก่อนหน้าที่จะแต่งงานขึ้นมา จย่าฮูหยินให้คนส่งตุ๊กตาที่สอนบทเรียนให้ก่อนแต่งงานมา ในใจไม่เพียงไม่รู้สึกขบขัน จมูกก็แสบอีกด้วย
เอ่ยเรื่องชีวิตประจำวันจบแล้ว ก็สนทนาเรื่องข่าวใหม่ๆ ในเมืองหลวง ย่อมต้องเอ่ยถึงข่าวลือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเมืองหลวง…เรื่องที่ท่านหญิงซูซูหนีออกจากบ้านอีกแล้ว
แม้ว่าจวนจิ่งชินอ๋องจะไม่ได้กระพือข่าว แต่ตามหากันในเมืองหลวงอย่างเอิกเกริก จะไม่มีข่าวคราวได้อย่างไร ตระกูลใหญ่ที่มีความสามารถ หูตาไวตระกูลใดบ้างที่ไม่รู้ เพียงแค่ลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่งเท่านั้นเอง
ได้ยินมาว่าซูซูหนีออกจากบ้าน มั่วเชียนเสวี่ยแค่เดาก็รู้แล้วว่า ซูชีไปจากเมืองหลวงแล้วแน่นอน
จย่าฮูหยินเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง กล่าววาจาถึงเรื่องนี้เพียงแค่ผิวเผิน เพียงชั่วครู่เดียว ก็จูงมั่วเชียนเสวี่ยไปหากลุ่มหนิงเซ่าชิงที่เรือนด้านหน้า
กลับจวนๆ หลังจากกลับจวนแล้วก็ต้องกลับไปจวนบิดามารดาสามีเร็วหน่อย ไม่สามารถล่าช้าจนดึกเกินไป
มั่วเชียนเสวี่ยหาโอกาสเอ่ยเรื่องของซูซูเสียงเบา
หนิงเซ่าชิงเพียงแค่หัวเราะเบาๆ เขาแทบอยากจะให้ซูซูไปเบี่ยงเบนความสนใจของซูชี
แม้ว่าเชียนเสวี่ยจะแต่งงานแล้ว แต่ภรรยาตนเองถูกผู้อื่นคิดถึง เป็นใครก็ล้วนไม่สบายใจ ทางที่ดีสุดที่สุดให้ซูซูผู้นั้นมีฝีมือหน่อย รีบจับซูชีเอาไว้ให้ได้
“สาเหตุที่ท่านหญิงซูซูไปจากเมืองหลวง จะต้องเป็นเพราะซูชีผู้นั้นแอบหนีออกจากเมืองหลวงแน่นอน…เฮ้อ เพียงแต่ครั้งนี้นางจะตามซูชีทันหรือไม่นั้น ดูท่าทางแล้ว นางเกรงว่า กระทั่งซูชีไปที่ใดก็ไม่รู้ เด็กสาวที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ สตรีผู้หนึ่งออกเดินทางไปข้างนอกเช่นนี้ได้อย่างไร”
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเป็นกังวลเล็กน้อย หนิงเซ่าชิงก็ตบไหล่นางเบาๆ “อย่ากังวลเกินไป ข้าจะให้คนสังเกตดูร่องรอยการเดินทางของนางแล้วส่งข่าวกลับไปยังจวนจิ่งชินอ๋อง”
นิสัยเช่นนั้นของท่านหญิงซูซู อาศัยอิทธิพลอำนาจของหอลับ หาทิศทางที่นางไปให้พบนั้นน่าจะไม่ยาก
ทั้งสองคนสนทนากันเบาๆ ได้สองประโยค จย่าฮูหยินก็มาแล้ว
ท่านจย่ากับมั่วจื่อถัง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาเดินนำอยู่ด้านหน้าหนิงเซ่าชิง จย่าฮูหยินคล้องแขนมั่วเชียนเสวี่ยเดินอยู่ด้านหลัง
เพิ่งจะถึงประตูใหญ่ หน้าประตูจวนกั๋วกงกลับมีคนและม้ากลุ่มหนึ่งมาเยือนอย่างยิ่งใหญ่
คนและม้ากลุ่มนั้น มีองครักษ์ในราชสำนักของวังหลวงเปิดทาง ขันทีตามมา ปกป้องรถม้าสองคันทางอยู่ด้านหลัง
เห็นได้ชัดว่า ฮ่องเต้เป็นคนส่งคนมา และผู้มาเยือนก็มีฐานะไม่น้อย
ของขวัญอวยพรของฮ่องเต้ส่งมาให้นานแล้วไม่ใช่หรือ นี่ฮ่องเต้คิดจะทำอะไรกัน ส่งของขวัญอวยพรอีกชิ้นอย่างนั้นหรือ
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยสงสัย ขบวนม้าก็หยุดลงแล้ว
องครักษ์ยืนเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ทั้งสองด้าน รถม้าด้านหลังขับมาถึงหน้าประตูจวนกั๋วกง
รถม้าสองคันเพิ่งจอดนิ่ง ก็มีขันทีที่ติดตามการเดินทางมาด้วยเลิกผ้าม่านรถม้าคันหน้าขึ้น
มีคนเดินออกมาจากรถม้าคนหนึ่ง นั่นก็คือลู่กงกง ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้
รถม้าคันแรกมีลู่กงกงเดินออกมา แต่รถม้าที่ติดตามมาคันที่สองกลับไร้ความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
มั่วเชี่ยนเสวี่ยรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ
หัวหน้าขันทีในวังหลวง ก็คืออัครเสนาบดีหลวงขั้นหนึ่ง เมื่อพบหน้าล้วนต้องให้ความเกรงใจมาก แม้ว่ามั่วจื่อถังจะไม่เคยเจอลู่กงกง แต่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงนานแล้ว อาศัยเพียงแต่สถานการณ์และอาภรณ์ที่สวมใส่ ก็สามารถคาดเดาได้ฐานะของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
เขาก้าวขึ้นไปก่อน “ยินดีต้อนรับกงกงให้เกียรติมาเยี่ยมเยียน ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”
หนิงเซ่าชิงมือไพล่หลังยืนนิ่งไม่ขยับ ขันทีคนหนึ่งทำให้เขาแสดงความนอบน้อมไม่ได้
ท่านจย่าประสานมือทำความเคารพ จย่าฮูหยินดึงมั่วเชียนเสวี่ยให้พยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าเป็นการทำความเคารพ
ลู่กงกงก้าวเข้ามา กระแอมไอเสียงเบา สีหน้าอึมครึม
“ข้ามาที่นี่ เพราะปฏิบัติตามพระบัญชาของฝ่าบาท มาถ่ายทอดวาจาของฝ่าบาท”
มั่วเชียนเสวี่ยแต่งงานแล้ว ฐานะก็ไม่ธรรมดา ในบางแง่มุมมั่วจื่อถังนั้นสามารถเป็นตัวแทนจวนกั๋วกงได้จริงๆ จึงผายมือทำท่าทางเชื้อเชิญ “กงกง เชิญด้านในขอรับ”
มั่วจื่อถังเดินนำทางอยู่ด้านหน้า คนทั้งหมดกลับไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนกั๋วกงอีกครั้ง
หนิงเซ่าชิงมีฐานะสูงส่งกว่าผู้อื่นมากเพียงใด แต่ฮ่องเต้มีวาจาจะถ่ายทอด เขาก็ต้องฟังสักหน่อย
เข้ามาในห้องโถงแล้ว ลู่กงกงยืนนิ่ง สีหน้าเคร่งขรึม นอกจากหนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ทุกคนล้วนคุกเข่ากันหมด
“ฝ่าบาทตรัสว่า หัวหน้าตระกูลหนิงเป็นเสาหลักของแว่นแคว้น และเป็นรากฐานของราชสำนัก ในฐานะที่มั่วเชียนเสวี่ยเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนกั๋วกงไม่ได้มีสาวใช้แต่งงานติดตามไปด้วยในยามแต่งงาน การปรนนิบัติเรื่องอาหารการกิน และเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันให้หัวหน้าตระกูลหนิงนั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีตอนที่แรงใจแต่กายไม่อำนวย…
ฟังถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว
ใจอยาก แต่ร่างกายไม่อำนวยอันใด ก็แค่กล่าวถึงวันที่นางไม่สามารถร่วมหอและปรนนิบัติได้ไม่กี่วันนั้นอ้อมๆ หรอกหรือ
ทว่า สีหน้าเขียวคล้ำของมั่วเชียนเสวี่ย ก็ไม่สามารถปิดปากลู่กงกงได้
คำสาปพวกนั้น ทะลักเข้าสู่สมองของนางทีละคำๆ
“ฝ่าบาทเห็นใจบุตรีภรรยาเอกตระกูลมั่วที่ไร้ญาติขาดมิตร จึงตั้งใจมอบ…วั่นจื่ออิ๋ง บุตรีภรรยาเอกคนโตของผู้ตรวจการวั่นให้ติดตามมั่วเชียนเสวี่ยกลับไปช่วยคุณหนูใหญ่มั่วปรนนิบัติหัวหน้าตระกูลหนิงที่จวนด้วยกัน”
“มอบย่วนหยวนเวิงจู่ให้ติดตามมั่วเชียนเสวี่ยกลับไปช่วยคุณหนูใหญ่มั่วปรนนิบัติหัวหน้าตระกูลหนิงที่จวนด้วยกัน…”
วั่นจื่ออิ๋งนั้นนางเคยเห็นมาก่อน ส่วนย่วนหยวนเวิงจู่นั้นเป็นใครกัน
มั่วเชียนเสวี่ยเดือดดาล
หนิงเซ่าชิงขมวดคิ้ว ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น
มั่วจื่อถัง ท่านจย่า และจย่าฮูหยินถวายความเคารพขอบคุณตามมารยาทในราชสำนัก “ขอบพระทัยฝ่าบาทสำหรับของขวัญพระราชทานนี้เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”
ลู่กงกงยกมือข้างหนึ่งขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ”
ลู่กงกงปรายตามองมั่วเชียนเสวี่ยที่สีหน้าเขียวคล้ำ แล้วหันไปแสร้งยิ้มให้หนิงเซ่าชิง
เขาบีบเสียงให้แหลม “ฝ่าบาทตรัสว่า หนิงฮูหยินฐานะสูงศักดิ์ หัวหน้าตระกูลหนิงคุณธรรมสูงส่ง พวกนางสองคนต้องมีฐานะไม่สูงเกินไป ให้เป็นอนุภรรยาก็พอแล้ว คิดว่าหัวหน้าตระกูลคงจะไว้หน้าฝ่าบาทนะ หนิงฮูหยินมีชาติกำเนิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง คงจะไม่มีทางไม่คำนึงถึงภาพรวม ไร้ความอดทน และไม่มีน้ำใจต่อผู้อื่น”