ด้วยเหตุนี้เมืองปีศาจจึงได้ประสบกับวันที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจจริงๆ ก็คือการที่องค์ราชาผู้ไม่เคยสนใจอะไรมาตลอดหนึ่งพันปี กลับคิดที่จะจับมนุษย์เข้าไปอยู่ในกรงที่เขาใช้บ่อยที่สุดนั่นเอง!
มันกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!
ในเวลาเดียวกันนั้น เสี่ยวขุยที่คิดว่าตัวเองหน้าตาดีมาตลอดก็ค้อมศีรษะคำนับพวกเขาไม่ต่ำกว่าสิบครั้งกว่าจะได้รับอนุญาตให้ติดตามเด็กสาวชุดสีชมพูไป แทนที่จะถูกปีศาจกิน
ตลอดเวลานั้นนางรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับนางล้วนแต่เป็นเพราะผู้หญิงที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้คนนั้น!
ไม่อย่างนั้นมีหรือที่องค์ราชาจะไม่ตกหลุมรักในความงดงามของนาง!
เสี่ยวขุยยิ่งรู้สึกโมโหเมื่อคิดเช่นนี้ เมื่อนางหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวชุดสีชมพู นางจึงเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า ”พี่หนี ท่านคงนึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนั้นไร้ยางอายขนาดไหน นางถึงกับจูบองค์ราชาต่อหน้าผู้คนมากมายเชียวนะเจ้าคะ! หญิงเช่นนี้สมควรจมน้ำตายอยู่ในคอกหมูทั้งเป็น!”
“นางจูบเขาหรือ” เด็กสาวชุดสีชมพูตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางดูสับสนอย่างมาก ”เขาปล่อยให้นางจูบเขาหรือ”
เสี่ยวขุยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ”ทุกอย่างเป็นเพราะหญิงหน้าไม่อายคนนั้น! แต่พี่หนีไม่ต้องกังวลไปนะเจ้าคะ ฝ่าบาทสั่งให้คนนำนางไปล่ามไว้ในกรงเรียบร้อยแล้ว และตั้งใจจะทรมานนางอย่างช้าๆ เจ้าค่ะ”
“ล่ามไว้ในกรงหรือ” เด็กสาวชุดสีชมพูฟังที่นางพูดพลางขมวดคิ้ว ”นางจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่”
เสี่ยวขุยไม่สนใจ ”พี่หนี ท่านใจดีเกินไปแล้วเจ้าค่ะ อย่าไปห่วงนางเลย นางทำอย่างไรก็สมควรได้อย่างนั้น พี่หนี ท่านเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อายุน้อยที่สุด และในครั้งนี้องค์ราชาทรงพบท่านในโลกมนุษย์ก็เพราะท่านไม่ใช่คนธรรมดา แต่อย่างไรพวกเราก็ยังไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของตัวเองขณะอยู่ที่เมืองปีศาจได้ ดังนั้นเราเลิกเป็นห่วงคนอื่นกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ที่เจ้าพูดก็ถูกเหมือนกัน” เด็กสาวชุดสีชมพูถอนหายใจ ”เวลานี้ทุกอย่างคงขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนางแล้ว…”
ยามค่ำคืน ลึกเข้าไปในวังปีศาจ
กิเลนอัคคีผลักกรงเหล็กเปิดออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังปังพร้อมกับมองเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยว่า ”คุณหนูเวยเวย จากนี้ไปนี่คือที่อยู่ของท่าน องค์ราชารักความสะอาดมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบให้เหยื่อของตนมีกลิ่นไม่ชอบมาพากล ข้างๆ นั้นมีห้องอาบน้ำอยู่ ทุกวันก่อนที่ท่านจะขึ้นเตียง ข้าจะสั่งให้คนมาปล่อยท่านและคอยช่วยท่านตอนอาบน้ำ เอาล่ะ ตอนนี้ก็ให้คนพวกนี้พาท่านไปอาบน้ำได้แล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ปฏิเสธ แม้นางจะต้องการพาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไปยิ่งนัก แต่นางก็รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคงไม่มีความอดทนมากพอที่จะฟังสิ่งที่นางพูดแน่
เพราะตอนนี้เขาไม่รู้จักนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ลืมสายตาที่เขาใช้มองนางตอนอยู่ในท้องพระโรง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาเฉยเมยราวกับเป็นคนแปลกหน้า แม้มันจะมีความซุกซนแฝงอยู่เล็กน้อย แต่ความรู้สึกใกล้ชิดและความอ่อนโยนที่คุ้นเคยนั้นกลับสูญหายไป…
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ แต่นางก็ก้มหน้าลงและยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ค่อยเป็นค่อยไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยแช่ตัวลงในน้ำจากอ่างไม้เพื่อปลอบใจตัวเองให้สงบลง
หลังจากอาบน้ำเสร็จ นางจึงเดินออกมาและใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมตัวเอง จากนั้นนางก็เห็นแสงไฟถูกจุดขึ้นกลางโถงอันมืดมิด ที่นั่นดูเหมือนจะมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยลอบมองสิ่งนั้นจากทางหางตา และเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แดงแกะสลัก เขาสวมเสื้อคลุมสีดำ อีกทั้งยังไม่ได้ผูกเชือกเอาไว้ ดังนั้นมันจึงเผยให้เห็นหน้าท้องแกร่งแสนเย้ายวนกับขายาวที่ทับกันอยู่ เขาถือหนังสือเอาไว้ในมือและกำลังก้มหน้าอ่านมันอยู่ บนโต๊ะตัวเล็กข้างๆ เขามีโซ่สีดำวางอยู่ มันทำให้นางรู้สึกว่าท่าทางของเขาช่างสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
แต่โซ่สีดำพวกนั้นคืออะไรกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนั้น เขาก็วางหนังสือในมือลง แล้วเคลื่อนสายตาขึ้นมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
มันยังคงเป็นใบหน้าเดิม ผิวพรรณของเขายังคงสวยและดูสง่างามเช่นเคย แต่มันกลับดูชั่วร้ายกว่าที่นางจำได้ ในสายตาของเขามีความเย็นชาปรากฏขึ้น… ราวกับว่าเขากำลังไม่พอใจอย่างมาก
เขามองมาที่นาง เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แล้วเขาก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง และเล่นกับโซ่สีดำเส้นนั้นแทน
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองหน้าเขา ใบหน้านั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้
แต่ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็อ้าปากขึ้น รอยยิ้มโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาระหว่างที่ใช้ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องมาที่นาง ”เจ้าไม่ได้มาจากวิหารขับไล่วิญญาณร้ายใช่หรือไม่”
“ใช่” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะปิดบังข้อมูลใดจากเขา ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะมีนิสัยเช่นใด แต่สติปัญญาเหนือมนุษย์ของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นนางควรซื่อตรงกับเขา ”ข้าถูกสัตว์อสูรของท่านพาตัวมา ส่วนเรื่องวิหารขับไล่วิญญาณร้ายนั้น ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” ระหว่างพูด นางก็ชี้ไปที่โซ่สีดำ ”ท่านจะใช้เจ้าสิ่งนั้นล่ามข้าหรือ”
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงจ้องอยู่ที่นาง ภายในนั้น แม้จะเพียงนิดเดียว… แต่มันก็มีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏอยู่ ”เจ้าชอบหรือ”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก ”ข้าไม่คิดว่าจะมีมนุษย์คนไหนชอบของพรรค์นั้นหรอก”
“โซ่เส้นนี้คงยังดีไม่พอ” ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูราวกับไม่แยแส ”เจ้าไม่ชอบก็ไม่แปลก ข้าจะสั่งให้กิเลนอัคคีเปลี่ยนเส้นอื่นให้เจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : … ประเด็นมันอยู่ที่วัสดุของโซ่เสียที่ไหนกัน!!! ประเด็นสำคัญในเวลานี้มันอยู่ที่ท่านจะเอาโซ่มาล่ามข้าต่างหาก!
“ไม่จำเป็น ส่งมาให้ข้าสิ ข้าจะปรับมันให้” อย่างไรเฮ่อเหลียนเวยเวยก็คุ้นเคยกับการสร้างอาวุธ นางรู้ว่ามันเป็นของดีทันทีที่เห็น หลังจากนางปรับโซ่จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง นางก็จัดการล่ามข้อมือตัวเองเสร็จสรรพโดยไม่รอไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาลุกขึ้นมองนางอย่างอวดดี ”คนที่รู้วิธีปรับโซ่เช่นเจ้าย่อมรู้วิธีปลดมันเหมือนกันมิใช่หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง ผู้ชายคนนี้ฉลาดเกินไป ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงยอมรับ ”ข้าก็รู้อยู่นิดหน่อย”
“ช่างเป็นเหยื่อที่ทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ” น้ำเสียงชั่วร้ายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังดูผ่อนคลายราวกับเขากำลังฮัมเพลงอยู่
ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังพยายามหาคำตอบอยู่ว่าอารมณ์ที่อยู่ในน้ำเสียงของเขาเป็นความพอใจหรือความโกรธ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดึงนางเข้ามาใกล้ นิ้วมือของเขาวางอยู่บนข้อมือของนาง จากนั้นเขาก็บีบข้อมือของนางครั้งหนึ่ง และกล่าวขึ้นอย่างไร้ความปรานีว่า ”บอกข้ามาสิว่าข้าควรหักเขี้ยวเล็บของเจ้าเพื่อความปลอดภัยดีหรือเปล่า”
หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยเต้นไม่เป็นจังหวะ จากนั้นนางจึงอ้าปากขึ้นอย่างช้าๆ ว่า ”ข้าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิท่านหรอกนะ แต่ท่านควรล้มเลิกความคิดที่จะหักแขนคนโน้นคนนี้ได้แล้ว”
“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำทำให้รู้สึกจั๊กจี้หู ”ไม่ต้องห่วง ฝีมือข้าดีทีเดียว มันจะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดแน่”
แก้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นสีแดงระเรื่อ นางรู้สึกแปลกๆ กับบทสนทนานี้ เพราะเขาเคยใช้คำพูดแบบเดียวกันนี้ในตอนที่เขากำลังจะทำอย่างว่ากับนาง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว ”ทำไมเจ้าถึงหน้าแดงล่ะ”
“ไม่มีอะไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอียงศีรษะ
ทันใดนั้น เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย และเอ่ยด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายว่า ”เจ้าคิดถึงเรื่องอื่นอยู่หรือ”
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยยิ่งเห่อร้อนขึ้นไปอีก แต่นางก็ใจเย็นลงได้ในไม่ช้า… ด้วยความฉลาดทางอารมณ์ที่ฝ่าบาทผู้นี้มี เขาคงไม่มีทางคิดไปในทางนั้นแน่
เป็นอย่างที่คิด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอ้าปากขึ้นอีกครั้ง ”มนุษย์มักจะขี้ขลาดและหวาดกลัวต่อความเจ็บปวดอยู่เสมอ ข้าเข้าใจเรื่องนั้นดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากถามเขาเหลือเกินว่า ท่านเข้าใจอะไรหรือ แต่เมื่อเห็นเขาสูงส่งเช่นนี้ นางก็อดขำไม่ได้ที่สติปัญญาทางด้านอารมณ์ของเขาต่ำถึงเพียงนั้น…