อนุภรรยา? ก็คืออี๋เหนียง
แม้ว่าฐานะจะไม่สูงศักดิ์ แต่กลับไม่ได้ต่ำต้อยเช่นกัน
ต้องรู้ว่าหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่เจอฮ่องเต้ล้วนเป็นคนที่ไม่ต้องคุกเข่า
ฐานะฮูหยินอันดับหนึ่งสูงศักดิ์เทียบเท่าพระชายาเอก กับฮองเฮาก็แค่ย่อตัวถวายความเคารพก็พอ อนุภรรยาก็เป็นฮูหยินที่มีลำดับขั้นที่สูงกว่าฐานะพระชายารอง แม้ว่าจะเป็นอนุภรรยา แต่ก็ไม่ใช่คนธรรมดาจะสามารถเป็นได้
แน่นอนว่า อนุภรรยาก็แบ่งออกเป็นลำดับขั้นต่างๆ กุ้ยเชี่ย[1] ซื่อเชี่ย[2] เจี้ยนเชี่ย[3] ปี้เชี่ย[4]…
สรุปได้ว่าแม้ว่าฮ่องเต้อยากจะสร้างปัญหาในระหว่างการแต่งงานให้มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิง แต่ก็ไม่กล้าพระราชทานคนให้สุ่มสี่สุ่มห้า
หากว่าเป็นขุนนางทั่วไป ฮ่องเต้พระราชทานนางกำนัลหรือสตรีขับร้องอะไรพวกนี้ให้สักสองสามคน ผู้อื่นต้องซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
หากว่าเป็นบุตรหลานในราชวงศ์ของเขา ฐานะเช่นนี้มีเขาเป็นคนพระราชทานให้เป็นพระชายารองก็ไม่มีอันใดจะวิพากษ์วิจารณ์ได้
แต่ ฐานะของหนิงเซ่าชิงกำหนดแล้วว่า แม้จะเป็นฮูหยินอนุภรรยา ก็ไม่ใช่ว่าเขาบอกว่าจะพระราชทาน ก็พระราชทานได้ตามใจชอบ
นี่เป็นจุดที่ฮ่องเต้เกลียดตระกูลขุนนางเก่าแก่มากที่สุด
โชคดีที่ตระกูลเซี่ยล่มสลายไปแล้ว ตอนนี้การมีตัวตนที่เป็นปรปักษ์ต่อสวรรค์ก็เหลือเพียงแค่สองตระกูลแล้ว
ตระกูลเซี่ยถูกฆ่าล้างตระกูล เดิมก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขา แต่ เขากลับไม่ได้วางแผนจะปล่อยตระกูลเซี่ยไป เพียงแต่ตระกูลเซี่ยใช้การไม่ได้ ตนเองรนหาที่ตายนั้นไม่กล่าวถึง ยังจะทำลายแผนการทั้งหมดของเขาอีก
เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนตระกูลอวี้ฉือจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เขาให้คนไปสืบมาแล้ว หัวหน้าตระกูลอวี้ฉือคนปัจจุบันอายุห้าสิบกว่า มีบุตรชายสองคนที่ล้วนไม่ได้เรื่องกันทั้งคู่
หากตระกูลอวี้ฉือคิดจะรักษากิจการนับร้อยปีเอาไว้ หรือมีเรื่องที่สามารถทำได้นั้น วิธีที่ดีที่สุดคือเลือกจับมือกับตระกูลกู…
จย่าฮูหยินเห็นมั่วเชียนเสวี่ยแผ่นหลังแข็งตรง ก็เขยิบเข้าไปใกล้อย่างไม่อาจสังเกตเห็นได้
ครั้งที่แล้วมั่วเชียนเสวี่ยปฏิเสธบุตรีอนุภรรยาของตระกูลนาง นางก็รู้แล้วว่าบุตรีบุญธรรมเป็นคนที่ไม่ทนต่อสิ่งที่ตนเองรับไม่ได้
ตัวนางจะทนต่อสิ่งที่รับไม่ได้ได้อย่างไร แต่ในฐานะสตรีจะทำอันใดได้ นางจะดุร้ายเพียงใด ท่านจย่าจะมีคุณธรรมสูงส่งเพียงไหน ก็ไม่ใช่ว่ารับอนุภรรยามาแล้วสองคนหรอกหรือ
จย่าฮูหยินเขยิบเข้าไปใกล้มั่วเชียนเสวี่ยอย่างไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ นางสะกิดเบาๆ ดึงมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังเหม่อลอยให้ได้สติกลับคืนมา
นางรู้ว่า หากนางไม่พยักหน้า หนิงเซ่าชิงไม่มีทางรับสตรีสองนางนั้นเด็ดขาด
แต่ว่า ลู่กงกงคนเจ้าเล่ห์เอ่ยวาจาได้รอบคอบยิ่ง เซ่าชิงคิดจะปฏิเสธก็หาเหตุผลไม่ได้
นางไม่กลัวว่าชื่อเสียงตนเองจะเสีย และไม่กลัวว่าคนอื่นจะบอกว่านางไร้ความอดทนอดกลั้น ไม่มีน้ำใจ แต่วาจาของฮ่องเต้แม้จะนุ่มนวลแต่ก็แข็งกร้าว กระทั่งวาจาที่บอกว่าไม่ให้เกียรติก็เอ่ยออกมาแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ส่งมา คนหนึ่งบุตรีภรรยาเอกคนโตขั้นหนึ่ง คนหนึ่งเวิงจู่ ฐานะล้วนไม่ต่ำต้อยแต่กลับเป็นเพียงแค่ซื่อเชี่ยธรรมดาเท่านั้นเอง
ตอนที่ฟังคำแนะนำ เสี้ยววินาทีที่สีหน้ามั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนไป ความคิดของหนิงเซ่าชิงก็วนกลับไปกลับมา
หากว่าปฏิเสธคนไปจริงๆ ก็เท่ากับท้าทายอำนาจราชวงศ์ ประชันหน้ากับฮ่องเต้ซึ่งๆ หน้าอย่างเปิดเผย
แต่ หากว่ารับมา…เขาเคยบอกว่าชั่วชีวิตนี้ สตรีของเขาจะมีมั่วเชียนเสวี่ยเพียงคนเดียว เขาเคยเอ่ยว่า จะไม่มีทางทำให้นางเสียใจเด็ดขาด เขาเคยบอกว่าจะปกป้องนางไปทั้งชีวิต…
เขารับไม่ได้ ไม่อาจให้นางได้รับความไม่เป็นธรรม!
แม้ว่าฮ่องเต้จะโจมตีตระกูลหนิงในเวลาต่อมา เขาก็จะเอาแต่ใจสักครั้ง
ฮ่องเต้มีความคิดที่จะขุดรากถอนโคนตระกูลขุนนางอยู่แล้ว พวกเขาอ้อมค้อมกันอยู่อย่างนี้ ต่อสู้กันเช่นนี้ก็เพื่อแค่เวลาไม่กี่วันเท่านั้นเอง
หนิงเซ่าชิงหรี่ตาลง พลางเอ่ยว่า “เรื่องในครอบครัวของข้า ข้าย่อมตัดสินใจเอง เชิญกงกงนำคน…” กลับไป
“ทิ้งคนเอาไว้! ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เป็นห่วง! ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท!”
คนที่เอ่ยขึ้นมาคือมั่วเชียนเสวี่ย
นางจะไม่รู้ความคิดของหนิงเซ่าชิงได้อย่างไร ขอแค่เขามีความคิดเช่นนี้ก็พอแล้ว
สามีภรรยาใจตรงกัน มีพลานุภาพเหมือนตัดทองให้ขาดได้
นางเชื่อเขา!
มั่วเชียนเสวี่ยค้อมตัวขอบคุณ จย่าฮูหยินถอนหายใจยาว
บรรยากาศในห้องโถงเมื่อครู่หยุดชะงักและเย็นเยือก นางจะมองไม่ออกได้อย่างไร
ไม่เพียงแต่นางจะมองออก ท่านจย่าและมั่วจื่อถังล้วนมีสีหน้าไม่เข้าใจ ฮ่องเต้พระราชทานสตรีให้เท่านั้นเอง ต้องจริงจังถึงขั้นนี้เชียวหรือ
ชอบก็ให้ความโปรดปราน ไม่ชอบก็ปล่อยทิ้งไว้อีกด้าน
“เชียนเสวี่ย!” หนิงเซ่าชิงขมวดคิ้ว เจ็บปวดหัวใจ
มีเพียงแค่เขาที่รู้ว่า สำหรับมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว การกล่าววาจาเช่นนี้ยากเพียงใด
มั่วเชียนเสวี่ยสบตากลับอย่างกล้าหาญ ในเมื่อนางเลือกที่จะยืนอยู่ข้างกายเขา ก็อย่าได้กลายเป็นตัวถ่วงของเขา
หากไม่นำตัวสองคนนี้กลับไป พรุ่งนี้ก็จะมีคนในตระกูลมาถามเขาว่า เขาที่เป็นหัวหน้าตระกูลเอาผลประโยชน์ของตระกูลไปไว้ที่ไหน…
หากฮ่องเต้ทำเพื่อหน้าตาของราชวงศ์ ใช้สิ่งนี้เป็นเหตุผล ก็ไม่อาจรู้ว่าฮ่องเต้จะตั้งใจนำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ หรือไม่
ผู้คนในใต้หล้าจะพากันนึกว่าหัวหน้าตระกูลหนิงเย่อหยิ่งอวดดี ไม่รู้จักชั่วดี ไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา สูญเสียการสนับสนุนจากผู้คน ผลลัพธ์ที่จะตามมาในภายหลังนั้นเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิดได้
มีบางเรื่องไม่อาจผลักภาระให้เขาได้ เขาทำเพื่อนางมากพอแล้ว นางควรจะคิดเพื่อเขาบ้างเช่นกัน
นาง มั่วเชียนเสวี่ยไมใช่สตรีไร้สมองที่รู้จักแต่หึงหวง กระทำเรื่องเลวร้าย ขอเพียงแค่เขาไม่ทำให้นางผิดหวัง ในใจเขามีนาง นางก็จะรั้งอยู่ข้างกายเขาไปตลอดชีวิต
มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน ก็จะมีขีดจำกัดต่างกัน
สี่ตาสอดประสาน ความรู้สึกของทั้งคู่เชื่อมถึงกัน ไม่ต้องเอ่ยออกมาก็ล้วนเข้าใจสภาพจิตใจของอีกฝ่าย
ทำให้นางได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว! แม้ว่าในใจหนิงเซ่าชิงจะรู้สึกแย่ แต่กลับไม่ใช่คนชอบเอะอะโวยวายหรือหุนหันพลันแล่น สถานการณ์ตรงหน้าซับซ้อนลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจความหวังดีของมั่วเชียนเสวี่ย ย่อมไม่เอ่ยวาจาปฏิเสธออกมา
สถานการณ์เงียบกริบ และอึมครึม
นัยน์ตาหัวหน้าขันทีลู่มีม่านหมอกหนาทึบ แต่บนใบหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง
“ความรู้สึกระหว่างหัวหน้าตระกูลหนิงกับหนิงฮูหยินลึกซึ้งดุจห้วงมหานที ทำให้ข้าน้อยตื้นตันใจจริงๆ หนิงฮูหยินเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและยึดถือในคุณธรรมจริงๆ ยินดีกับหัวหน้าตระกูลหนิงด้วยที่ได้ภรรยาเช่นนี้มาครอง”
กล่าวจบ ก็สั่งขันทีด้านหลังว่า “ไป ให้อี๋เหนียงสองท่านลงมาทำความเคารพหัวหน้าตระกูลหนิงและหนิงฮูหยิน”
“ขอรับ”
“ไม่จำเป็น” หนิงเซ่าชิงออกปากห้ามขันทีที่รับคำสั่ง
แม้สตรีสองนางนั้นจะเป็นเทพเซียน เขาก็ไม่อยากเห็น เขาไม่อยากทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกแย่ที่ต้องยืนอยู่ตรงนี้
เขาไม่เอ่ยอันใดให้มากความอีก จูงมือมั่วเชียนเสวี่ยเดินออกไปข้างนอกทันที
ลู่กงกงเดินตามไปด้วยใบหน้ายิ้มหยัน ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาจริงๆ
เพียงแค่แผนการนี้ก็ทำให้หัวหน้าตระกูลหนิงสับสนวุ่นวายเลยทีเดียว
คนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จากไปแล้ว มั่วจื่อถังย่อมตามไปส่ง
แม้ว่าท่านจย่าจะจิตใจงดงามและมีคุณธรรมสูงส่ง แต่กลับเป็นคนปฏิบัติตามจริยธรรมของขงจื่อ จึงพาจย่าฮูหยินออกมาส่งพวกเขาที่ประตูกลาง
เมื่อออกจากประตูจวน หนิงเซ่าชิงก็จูงมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นไปนั่งบนรถม้าคันที่นั่งมา แล้วสั่งให้คนรถรีบเคลื่อนตัวรถจากไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่รีรอสักนิด
ลู่กงกงก็ฝีเท้าเร็วมาก ตามออกมาในทันที กำชับรถม้าที่ตามอยู่ด้านหลังเขาคันสองสามประโยค รถม้าคันนั้นก็ตามหลังรถม้าตระกูลหนิง มุ่งหน้าไปยังทิศทางของจวนหนิง
เมื่อขึ้นรถม้า หนิงเซ่าชิงก็กอดมั่วเชียนเสวี่ยไว้ในอ้อมแขนแน่น มั่วเชียนเสวี่ยก็ออกแรงกอดตอบ
ทั้งคู่ล้วนไม่ได้เอ่ยอันใด แต่กลับสื่อสารกันผ่านความรู้สึกได้ดีกว่าการสนทนา
คล้ายกับสัตว์สองตัวที่ได้รับบาดเจ็บแล้วเลียบาดแผลให้แก่กัน
รถม้าตามอยู่ด้านหลัง ไม่ไกลไม่ใกล้มาโดยตลอด เหมือนกับมีศิลายักษ์กดทับหัวใจของพวกเขา ไม่หนักไม่เบา
ทั้งคู่ล้วนไม่ได้หันกลับไปมองสองคนที่ลงมาจากรถม้าคันหลัง
เมื่อเข้าไปในเรือนจื่อจู๋หว่าน หนิงเซ่าชิงก็สั่งหนิงเต๋อให้เขาทำความสะอาดเรือนเฉียงเวยที่อยู่ไกลจากเรือนหลักของหัวหน้าตระกูลมากที่สุด แล้วให้อี๋เหนียงสองคนนั้นเข้าพักที่นั่นในวันนี้
[1] กุ้ยเชี่ย คืออนุภรรยาที่มาจากตระกูลใหญ่หรือตระกูลขุนนาง แต่อาจเป็นบุตรีอนุภรรยาของตระกูลนั้นๆ
[2] ซื่อเชี่ย คือสาวใช้ที่เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงให้กับบ้านฝ่ายชายแล้วถูกเลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยา
[3] เจี้ยนเชี่ย คืออนุภรรยาที่มีฐานะต่ำต้อย เช่น นางคณิกา นางรำ เป็นต้น
[4] ปี้เชี่ย คือบุตรีของนักโทษที่ถูกซื้อมาเป็นทาส แล้วถูกเลื่อนขึ้นเป็นอนุภรรยาในภายหลัง