แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 593 แผนการของพี่สะใภ้โจว

ตอนที่ 593 แผนการของพี่สะใภ้โจว

ตอนที่ 593 แผนการของพี่สะใภ้โจว

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรู้ว่าโจวฉายอวิ๋นและครอบครัวต้องการเชิญหลินม่ายกับสองสามีภรรยาชราไปที่บ้าน พวกเขาก็ปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม

หลินม่ายจึงแวะไปที่บ้านของหลี่หมิงเฉิงก่อนพร้อมกับของขวัญ

เมื่อพ่อแม่ของหลี่หมิงเฉิงเห็นหลินม่าย พวกเขาก็ประทับใจมากจนแทบหลั่งน้ำตา

ก่อนหน้านี้หลี่หมิงเฉิงสามารถซื้อห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอนที่ชั้นบนสุดของอาคารด้วยความช่วยเหลือจากหลินม่าย สองสามีภรรยาต่างก็มีความสุขมาก แม้แต่นอนหลับตอนกลางคืนยังเผลอละเมอยิ้มหวาน

ยุคนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนบ้านนอกอย่างพวกเขาจะมีห้องชุดอยู่ในเมือง หรือซื้อบ้านแบบหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องห้องนั่งเล่นสักหนึ่งหลัง

แต่ตอนนี้หลี่หมิงเฉิงกลับมีห้องชุดเป็นของตัวเองถึงสองห้อง

โดยเฉพาะบ้านใหม่แบบสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น พร้อมห้องครัว และมีห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วนที่หลินม่ายมอบให้เป็นรางวัลจากการทำงานหนัก ที่นี่อยู่สบายกว่าบ้านเก่ามาก!

หลังจากรับประทานอาหารที่บ้านของหลี่หมิงเฉิงแล้ว หลินม่ายก็ไปที่บ้านของโจวฉายอวิ๋น

วันนี้เธอต้องเดินสายอวยพรปีใหม่ให้กับเพื่อน ๆ และผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ ส่วนวันพรุ่งนี้ค่อยเดินสายไปอวยพรปีใหม่ให้ผอ.เขตโอวหยางและคนอื่น ๆ ต่อไป

พูดตามตรง การเยี่ยมเยียนในช่วงปีใหม่ป็นอะไรที่เหนื่อยกว่าปกติมาก

บ้านของโจวฉายอวิ๋นไม่ได้มีแค่พ่อแม่ของหล่อนเท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวของพี่ชายหล่อนด้วย

เมื่อกี้นี้เธอเพิ่งจะรับประทานอาหารที่บ้านของหลี่หมิงเฉิงมาหมาด ๆ แต่ทันทีที่เดินเข้าไปในบ้านโจวฉายอวิ๋นก็เห็นว่ามีอาหารอีกชุดใหญ่รออยู่

ถึงหลินม่ายจะแน่นท้องจนแทบตาย เธอก็ยังนั่งร่วมวงรับประทานอาหารด้วยความเต็มใจ

สมาชิกในครอบครัวของโจวฉายอวิ๋นกระตือรือร้นเป็นพิเศษ คอยตักอาหารให้หลินม่าย และเกลี้ยกล่อมให้เธอกินเยอะ ๆ

หลินม่ายอยากให้พวกเขากระตือรือร้นน้อยลงกว่านี้หน่อย เพราะเธอแทบจะท้องแตกตายแล้ว

พอรับประทานอาหารกันไปได้ครึ่งทาง พี่สะใภ้โจวก็โพล่งขึ้นอย่างกะทันหันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ม่ายจื่อ เธอช่วยหางานให้ฉันกับพี่ชายของฉายอวิ๋นหน่อยได้ไหม?”

ทันทีที่พูดแบบนี้ออกมา นอกจากสามีของหล่อนแล้ว พ่อโจว แม่โจว และโจวฉายอวิ๋นต่างก็ตกตะลึง

พิจารณาจากการแสดงออกของพวกเขา คาดว่าพวกเขาคงไม่รู้มาก่อนว่าพี่สะใภ้โจวจะพูดแบบนี้

แม่โจวรีบหยุดลูกสะใภ้ทันที “เราเชิญม่ายจื่อมากินข้าวด้วยกันเท่านั้น อย่าเอาเรื่องอื่นมาพูดเลย”

จากนั้นก็บอกให้หลินม่ายกินข้าวต่อ

พี่สะใภ้โจวไม่มองหน้าแม่สามีด้วยซ้ำ “ม่ายจื่อไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวฉัน น้องสาวฉันทุ่มเททำงานหนักให้ม่ายจื่อตั้งแต่แรก ๆ ที่เข้ามาในเจียงเฉิง ม่ายจื่อก็เลยมีธุรกิจรุ่งเรืองมาจนถึงวันนี้ ทำไมฉันจะขอให้ม่ายจื่อหางานให้พวกเราสองสามีภรรยาไม่ได้”

ว่าแล้วก็หันไปมองหลินม่าย “ฉันรู้ว่าตัวเองกับสามีต่างก็ไม่ได้รับการศึกษา แถมไม่มีทักษะการทำงานอะไรเลย ดังนั้นคงไม่ขอทำงานในโรงงานตัดเสื้อของเธอหรอก ถึงอย่างนั้นฉันกับสามีก็แข็งแรงดีทั้งคู่ เธอจัดให้พวกเราไปเป็นแรงงานแบกหามในตลาดของเธอก็ได้”

พ่อโจวและแม่โจวเห็นว่าลูกสะใภ้พูดจาอย่างอุกอาจขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พวกเขาอับอายมาก

โจวฉายอวิ๋นโกรธจนทนไม่ไหว พูดกับพี่สะใภ้ด้วยความไม่พอใจ “พี่พูดจาไร้สาระอะไรเนี่ย? ม่ายจื่อประสบความสำเร็จเพราะฉันทำงานให้ที่ไหนกัน? ม่ายจื่อต่างหากที่มอบโอกาสให้ฉัน ถ้าไม่มีม่ายจื่อสักคน คิดว่าฉันจะเอาตัวรอดอยู่ในเจียงเฉิงได้เกินหนึ่งวันหรือไง?”

พี่สะใภ้โจวโต้แย้ง “ถ้าขาดเธอไปสักคน กิจการร้านซาลาเปาของม่ายจื่อจะขายดิบขายดีจนต่อยอดมาถึงทุกวันนี้เหรอ! ถ้าไม่เริ่มต้นจากการเปิดร้านซาลาเปา หล่อนจะมีเงินมากมายไปลงทุนทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้ยังไง?”

โจวฉายอวิ๋นหัวเราะเยาะ “ขาดฉันไปสักคน ก็ใช่ว่าโลกนี้ไม่มีใครทำซาลาเปาเป็นเลยสักหน่อย ม่ายจื่อไม่จำเป็นต้องจ้างฉันก็ได้ มีคนอยากสมัครทำงานกับหล่อนเป็นร้อย ตอนแรกฉันมีหน้าที่แค่นวดแป้งซาลาเปาอย่างเดียว ม่ายจื่อเป็นคนทำไส้เองทั้งหมด ท่ามกลางพายุฝนตกลมแรง คนที่ฝ่ามรสุมออกไปตั้งแผงขายก็มีแต่ม่ายจื่อ ซาลาเปาทำไม่ยากก็จริง แต่รู้ไหมว่ากว่าจะขายออกแต่ละลูกมันยากแค่ไหน เราแค่นั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีลาภลอยมาหาถึงปาก คิดได้ยังไงว่าถ้าม่ายจื่อไม่มีฉันหล่อนก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ ฉันต่างหากที่มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะม่ายจื่อ!”

พี่สะใภ้โจวทั้งอับอายทั้งโกรธในเวลาเดียวกัน

ที่อับอายคือน้องสาวสามีไม่คิดจะไว้หน้าหล่อนเลยสักนิด แถมยังต่อว่าหล่อนอย่างรุนแรงต่อหน้าแขกซึ่งเป็นเพื่อนสาวอายุน้อยกว่า

ที่โกรธ เพราะน้องสาวสามีช่างโง่งมเหลือเกิน

แทนที่หล่อนจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวเองจนไปอยู่ในระดับเดียวกันกับหลินม่าย เพื่อบีบบังคับให้หลินม่ายช่วยรับหล่อนกับสามีเข้าทำงาน

แต่ยัยเด็กงี่เง่าคนนี้กลับยืนกรานว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าหลินม่ายตลอดไป แล้วเมื่อใดหล่อนกับสามีจะได้เข้าไปทำงานให้หลินม่ายกันล่ะ?

พ่อโจวและแม่โจวนั้นอับอายขายหน้ายิ่งกว่าจนพวกเขาอยู่ไม่สุขอีกต่อไป คอยขยิบตาให้ลูกชายครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเชิงบอกให้เขาปรามภรรยาตัวเองบ้าง

แต่อีกฝ่ายกลับทำท่าทางเหมือนเป็นคนหูหนวกตาบอด ไม่ตอบสนองอะไรเลย

สองสามีภรรยาสูงวัยรู้สึกผิดหวังมาก พวกเขาตั้งใจเชิญหลินม่ายมารับประทานอาหารมื้อพิเศษที่บ้านเพราะอยากจะขอบคุณเธอสำหรับทุกอย่าง ไม่คาดคิดว่าลูกสะใภ้จะทำตัวแบบนี้…

หลินม่ายวางตะเกียบลง พูดกับพี่สะใภ้โจวด้วยรอยยิ้ม “ที่จริงแล้ว คุณกับสามีไม่จำเป็นต้องทำงานให้ฉันก็ได้ ฉันสามารถช่วยแนะนำแนวทางให้พวกคุณทั้งสองคนได้ทำงานเป็นนายตัวเอง”

พี่สะใภ้โจวตาเป็นประกายทันที รีบพูดอย่างประจบสอพลอ “แนวทางอะไรกัน รีบบอกมาเร็วเข้า!”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็โบกมือ “ฉันว่าฉันไม่แนะนำดีกว่า เกรงว่าฉันอุตส่าห์ช่วยเหลือพวกคุณด้วยเจตนาดี แต่สุดท้ายคุณอาจมาทวงบุญคุณในภายหลังว่าถ้าไม่มีตัวเองกับสามีฉันก็คงไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ทำไมฉันต้องเอาความหวังดีไปทิ้งอย่างไร้ค่าด้วย? ฉันไม่ได้โดนประตูหนีบจนสมองเลอะเลือนซะหน่อย”

พูดจบแล้ว เธอก็ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอีก ผุดลุกขึ้นยืน หยิบเสื้อโค้ตขนสัตว์พร้อมกับคว้ากระเป๋ามาถือแล้วเดินจากไป

โจวฉายอวิ๋นเป็นคนแรกที่ตอบสนอง รีบลุกไล่ตามเธอออกไป พร้อมพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ม่ายจื่อ ฉันขอโทษ…”

หลินม่ายโบกมืออย่างใจกว้าง “ไม่ใช่ความผิดพี่หรอก ฉันไม่เอาความโกรธที่มีต่อหล่อนมาลงกับพี่แน่ พี่กลับเข้าไปข้างในเถอะ”

โจวฉายอวิ๋นเฝ้ามองจนเธอเดินหายไปลับสายตา จากนั้นก็ปาดน้ำตาที่หลั่งรินเพราะความเสียใจ แล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้อง

พ่อโจวและแม่โจวต่างดุด่าลูกสะใภ้ที่ไม่รู้กาลเทศะอะไรเอาเสียเลย หล่อนไม่ควรอ้าปากของานจากหลินม่าย ​​แล้วทำให้เธอเกิดความขุ่นเคืองต่อครอบครัวของพวกเขา

พี่สะใภ้โจวเถียงฉอด ๆ “ฉันไปทำให้ม่ายจื่อขุ่นเคืองตอนไหน? ฉันแค่อยากรื้อฟื้นความทรงจำให้หล่อนสำนึกซะบ้าง ม่ายจื่อเป็นคนฉลาดและช่างคิด น้องสาวจะเอาอะไรไปสู้หล่อนได้ นอกจากขายแรงงานให้แล้วกอบโกยรายได้เข้ากระเป๋าคนอื่น พ่อกับแม่ต้องขอบคุณฉันต่างหาก ถ้าฉันไม่พูดอะไรกับม่ายจื่อสักคำ เธอคงปฏิบัติต่อน้องสาวเหมือนวัวกับม้าต่อไป ที่ฉันทำแบบนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของน้องสาวนะ!”

โจวฉายอวิ๋นแค่นเสียงเยาะเย้ย “พี่ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของฉัน พี่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองล้วน ๆ!”

พี่สะใภ้โจวบีบน้ำตาร้องไห้เสียใจ “ถึงฉันจะทำลงไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ก็เพื่อตระกูลโจวด้วยไม่ใช่เหรอ? ถ้าฉันกับพี่ชายเธอได้ทำงานให้ม่ายจื่อ รายได้ของครอบครัวก็จะยิ่งสูงขึ้น พวกเราก็จะไม่ต้องทำงานเกษตรที่หนักหนาอีกต่อไป เธอไม่อยากให้ฉันกับพี่ชายมีชีวิตที่สุขสบายขึ้นหรือไง?”

แม่โจวพยายามพูดเกลี้ยกล่อม “จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่เถอะ ถ้าน้องสาวเธอทำงานให้ม่ายจื่อแบบนี้ต่อไป ถึงยังไงครอบครัวเธอก็มีชีวิตที่ดีขึ้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอถึงทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้? อ้าปากของานจากม่ายจื่อแล้วยังไม่พอ ยังพูดจารุนแรงกับหล่อนอีก หลังจากนี้น้องสาวเธอกับม่ายจื่อจะมองหน้ากันติดได้ยังไง? นี่ไม่ใช่การยกหินทับเท้าตัวเอง(1)หรอกหรือ?”

พี่สะใภ้โจวกลอกตา “ถ้ามิตรภาพมีอันต้องสิ้นสุด แล้วพวกเธอสองคนมองหน้ากันไม่ติดขึ้นมาจริง ๆ ก็เลิกคบหากันไปเลยสิ ยังไงน้องสาวก็รู้สูตรลับและวิธีทำซอสพริกอยู่แล้ว เราออกมาทำซอสพริกขายกันเองซะเลย จะได้ไม่ต้องทำงานงก ๆ ให้หลินม่ายอีกต่อไป”

ตอนท้าย หล่อนยังเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “ทำงานให้คนอื่น จะดีกว่าการเป็นนายตัวเองไปได้ยังไง?”

ทันใดนั้นโจวฉายอวิ๋นพลันเข้าใจทันที ว่าเหตุผลที่พี่สะใภ้ของเธอก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นเมื่อกี้นี้ ก็เพราะหล่อนต้องการสร้างความบาดหมางระหว่างเธอกับหลินม่าย เพื่อบังคับให้หล่อนแยกตัวออกมาแล้วเปิดโรงงานทำซอสพริกด้วยตัวเอง

พ่อโจวและแม่โจวแสดงท่าทางต่อต้านอย่างรุนแรง พร้อมกับพูดพึมพำ “เกิดเป็นคนต้องไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง”

พี่สะใภ้โจวมองไปทางพ่อแม่สามีที่โง่เขลา อดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้

โจวฉายอวิ๋นตอกกลับอย่างเย็นชา “ฉันไม่มีวันแยกตัวออกมาทำซอสพริกเองแน่ พี่สะใภ้อย่าฝันหวานถึงมันเลย! แม้แต่ทรัพย์สินของฉัน ฉันก็ไม่มีวันยกให้ลูกหลานของพี่แม้จะล่วงเลยไปเป็นร้อยปี”

พี่สะใภ้โจวเผยสีหน้าราวกับเป็นผู้ชนะ “เธอไม่มีลูกด้วยซ้ำ แก่ตัวไปถ้าไม่ยกให้หลานชายตัวเองแล้วจะยกให้ใคร?”

โจวฉายอวิ๋นตอบกลับเบา ๆ “เอาไปบริจาคเพื่อการกุศลน่ะสิ”

คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ(2)

หลินม่ายเสียสละเงินไม่น้อยในการทำความดี โจวฉายอวิ๋นเห็นทุกอย่าง

นอกจากนี้หล่อนยังได้รับโอกาสให้ได้เรียนภาคค่ำ กลายเป็นคนที่มีการศึกษา ทั้งยังมีอนาคตที่ก้าวไกล ทำให้หล่อนล้มเลิกความคิดที่จะยกทรัพย์สินของตัวเองให้หลานชายไปนานแล้ว

ทันทีที่พูดออกมาแบบนั้น ทั้งพ่อโจวและแม่โจวต่างก็เป็นกังวล “ลูกจะมอบทรัพย์สินทั้งหมดที่ได้มาจากการทำงานอย่างหนักให้กับคนนอกจริง ๆ เหรอ?”

โจวฉายอวิ๋นยืนยันคำเดิม “ฉันพอใจแบบนั้น”

พี่สะใภ้โจวรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงราวกับเป็ดที่เพิ่งจะไล่จับได้บินหนีไป

นอกจากหล่อนจะโน้มน้าวให้น้องสาวสามีเปิดโรงงานทำซอสพริกเองไม่สำเร็จแล้ว ยังทำให้น้องสาวสามีโกรธจนไม่ยอมยกทรัพย์สินให้ลูกชายตัวเองด้วย ช่างน่าเศร้าเสียใจเสียจริง ๆ

……………………………………………………………………………………………………………………….

ยกหินทับเท้าตัวเอง มีความหมายเดียวกันกับแกว่งเท้าหาเสี้ยน หมายความว่า คิดจะทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนมาหาตัวเอง

คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ หมายความว่า คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน หรือใกล้ชิดกับใคร ก็จะติดนิสัยหรือสิ่งนั้นมาด้วย ตรงกับสำนวนไทยว่า คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล

สารจากผู้แปล

เห้อ พี่สะใภ้โจวนี่นะ แค่เธอเก็บปากไว้กินข้าวอย่างเดียวเรื่องราวมันก็ไม่บานปลายขนาดนี้แล้ว แต่ดันโลภของานจากม่ายจื่อไง สมน้ำหน้าค่ะ

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท