“จูบราตรีสวัสดิ์ไม่ใช่วิธีการทักทายระหว่างเจ้านายกับเหยื่อ มันสงวนไว้ให้เพียงคู่สามีภรรยาเท่านั้น” ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นสีแดงระเรื่อ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาลงมองนางอยู่ครู่หนึ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขากำลังจะตอบอะไรกลับมา
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดก่อนที่เขาจะกลับไปนอนต่อเอาดื้อๆ! สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของเฮ่อเหลียนเวยเวย มันถึงกับทำให้นางพูดไม่ออกเลยทีเดียว
แล้วเมื่อครู่นี้นางจะรู้สึกประหม่าไปเพื่ออะไรกัน!
หลังจากสรุปได้แล้วว่าฝ่าบาทไม่ได้คิดอะไรกับนาง หนังตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเริ่มหนักขึ้นและปิดลงในที่สุด
การอยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่ได้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะว่าปีศาจมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ ตอนที่ถูกเขากอด นางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังนอนซุกก้อนน้ำแข็งอยู่ไม่มีผิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกสัมผัสอันหนาวเย็นนั้นปลุกขึ้นหลายต่อหลายครั้งในคืนเดียว แต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังหลับสบาย นางก็ไม่สามารถทำใจแกะแขนของเขาออกจากร่างได้
ดวงตากระจ่างใสของนางจับจ้องอยู่ที่เขา จากนั้นนางจึงขยับตัวเข้าไปจูบเขาที่มุมปาก
นางลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงเอะอะจากข้างนอก
เดิมทีโครงร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็จัดว่าเพรียวบางอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อนางยกร่างท่อนล่างขึ้น นางจึงดูงดงามอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายที่อยู่ข้างนางลุกออกไปนานแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนเลยด้วยซ้ำ เพราะแสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องผ่านเข้ามาในวังปีศาจแห่งนี้ได้
แต่ที่ห้องนี้กลับไม่มืดเลยแม้แต่น้อย มันกลับสว่างไสวด้วยแสงอันงดงามจากไข่มุกที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่รอบห้อง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไข่มุกเหล่านั้นอย่างหลงใหล นางค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปหามัน จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงโซ่เหล็กดังกระทบกัน
ดูเหมือนว่าในระหว่างที่นางหลับ ผู้ชายคนนั้นจะใช้โซ่ที่เคยอยู่บนมือของนางมาล่ามเท้าของนางเอาไว้แทน นี่หมายความว่านางไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนเลยหรือ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนที่เชื่อฟัง นางใช้นิ้วคลำตามโซ่และพยายามทำความเข้าใจกับโครงสร้างของมัน สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือเสียงโซ่ตกกระทบพื้นดังเคร้ง
โซ่ถูกปลดออกทันทีที่นางขยับข้อเท้า เส้นผมสีน้ำตาลเกาลัดยาวสยายลงมาจนถึงต้นขาของนาง ผิวของนางขาวใสจนแทบโปร่งแสง
นางยิ่งดูงดงามยิ่งนักเมื่อยืนหันหลังอยู่เช่นนี้
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้ามาด้านในและบังเอิญเห็นภาพนี้เข้าพอดี ความงามของนางทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นเขาจึงสวมกอดนางจากทางด้านหลัง แล้วกระซิบข้างหูนางว่า ”เจ้าต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนมื้อค่ำ อย่าให้ข้าต้องเตือนเจ้าอีกเป็นครั้งที่สอง”
ร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยสะดุ้งเล็กน้อยเพราะนางไม่คิดว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้น อีกอย่างหนึ่ง นางก็รู้สึกว่าท่าทางของพวกนางดูใกล้ชิดกันเกินควร
แต่เขากลับดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่ามันแปลกแต่ประการใด เพราะทันใดนั้นเขาก็อุ้มนางขึ้นมานั่งบนตักทันที นิ้วเรียวของเขาชี้ไปด้านหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยว่า ”นั่นคืออาหารของเจ้าในวันนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากด้านหลังของนาง ตอนนี้นางไม่สนใจด้วยซ้ำว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชี้ไปทางไหน นางต้องการเพียงให้เขาปล่อยนางเท่านั้น
นางไม่สามารถรวบรวมความคิดของตัวเองได้เพราะเสื้อคลุมขนสัตว์ที่มีเกล็ดน้ำแข็งติดมาจากนอกวังนั้นกำลังถูไปกับต้นขาของนาง ส่งผลให้เกิดความรู้สึกราวกับถูกกระแสไฟฟ้าทิ่มแทงเข้าไปในร่าง
เมื่อเห็นนางก้มหน้างุด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงยื่นมือออกไปบีบปลายคางของนาง และบังคับให้นางเงยหน้าขึ้น ในวินาทีต่อมา ดวงตาของเขาก็พลันดูลึกล้ำยิ่งกว่าที่เคย
เขาไม่เคยรู้เลยว่ามนุษย์จะหน้าตาดีได้ถึงเพียงนี้
โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้ ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความชุ่มชื่นและด้วยสาเหตุอื่นที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน แม้กระทั่งปลายหางตาของนางก็ยังเป็นสีแดงระเรื่อ
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับต้องการที่จะเห็นสีหน้าของนางให้มากกว่านี้ มือของเขาเคลื่อนลงไปตามร่างกายของนางราวกับถูกอะไรบางอย่างนำทาง และสัมผัสเข้ากับสิ่งที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปาก ร่างกายของนางสั่นระริกเพราะความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้น เมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี่ย แม้กระทั่งลมหายใจของนางก็เริ่มขาดห้วงและไม่เป็นจังหวะ
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้มขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังมีสติมากพอ หางตาของเขากระตุกเล็กน้อยขณะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันชั่วร้ายว่า ”ดูเหมือนเจ้าคงจะชอบให้ข้าสัมผัสเจ้ายิ่งนัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขากำลังพยายามทำให้นางเริ่มพูดอีกครั้ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชักมือกลับ แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเช็ดมือข้างนั้น ดวงตาของนางแจ่มใสในระหว่างที่เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มว่า ”ข้าบอกท่านไปตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าข้าชอบท่านจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่อยากกลับไปกับข้า”
“เจ้าอยากพาข้ากลับไปที่โลกมนุษย์หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้มเย็นชาอย่างน่าเหลือเชื่อ ”เก็บอุบายโง่เง่านั่นเอาไว้เถอะ”
“อุบายหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว นางสงสัยว่านางใช้กลอุบายพวกนั้นไปตั้งแต่เมื่อใด
“อย่าได้ขอให้ข้าไปจากที่นี่พร้อมกับเจ้าอีก ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะห้ามตัวเองไม่อยู่และหักมือทั้งสองของเจ้าก็ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยบอกพลางกำนิ้วรอบข้อมือของนาง แม้เขาจะไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง และสายตาของเขาก็ยังเย็นเฉียบจนทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกราวกับว่านางถูกขังอยู่ในห้องน้ำแข็ง มันหนาวไปถึงกระดูกเลยทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบ นางสามารถให้สัญญากับเขาได้ทุกอย่าง เว้นก็แต่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถให้สัญญากับเขาได้
นางคิดไม่ออกเลยว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาไม่อยากไปที่โลกมนุษย์
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นว่านางก้มหน้าเงียบ เขาก็กลับมามีท่าทีดังเดิม และถามกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”ทำไมเจ้าไม่หันไปดูอาหารของตัวเองเสียหน่อยล่ะ”
“อาหารอะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบแล้วหันมองไปยังฝั่งที่เขาชี้ไปก่อนหน้านี้ ตรงนั้นมีซาลาเปาเนื้อนุ่มๆ ยี่สิบลูกวางอยู่ อีกทั้งพวกมันก็ยังร้อนๆ อยู่อีกด้วย ”ท่านกำลังจะบอกว่าข้าต้องกินเจ้าพวกนี้ทั้งวันหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถาม มุมปากของนางกระตุก เขาคิดว่านางเป็นเจ้าเจ็ดหรือ
“ไม่พอหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันมองนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ปัญหามันอยู่ที่จำนวนเสียที่ไหนกัน!
“อืม มันอาจจะน้อยไปจริงๆ เพราะขนาดอสูรกลืนนภายังกินตั้งหกสิบลูกต่อมื้อเลยนี่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพึมพำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ”ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่จำเป็นต้องกินเยอะขนาดนั้นเพราะเจ้าตัวเล็กกว่ามันมาก” เขาพูดต่อ
เป็นอีกครั้งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอับจนวาจา
เขาหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่านาง ’ตัวเล็ก’!
นางสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเชียวนะ!
และในจำนวนผู้หญิงด้วยกัน ข้าก็นับว่าสูงทีเดียว!
แต่ตอนนี้ท่านกลับเอาข้าไปเทียบกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์… มันเทียบกันได้หรือ?!
มนุษย์จะไปเทียบกับอสูรกลืนนภา หนึ่งในสี่มหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร
เดี๋ยวนะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
มันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญหรือ
ทำไมอสูรกลืนนภาถึงได้ชอบกินซาลาเปาเนื้อถึงขนาดนั้นล่ะ
ความจริงแล้ว ก่อนหน้าที่นางจะมาที่นี่ เสี่ยวไป๋ก็เคยบอกกับหยวนหมิงว่าเจ้าเจ็ดอาจจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
เป็นไปได้หรือไม่ว่า… ที่จริงแล้วอสูรกลืนนภาก็คือเจ้าเจ็ดนี่เอง
“ข้าขอเจออสูรกลืนนภาได้ไหม” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นว่าเขาคงไม่อยากให้นางถามคำถามเช่นนี้ เขาระวังตัวแจสมกับเป็นปีศาจไร้หัวใจจริงๆ
ดูเหมือนว่าปีศาจทุกตนมักจะเป็นเช่นนั้น
พวกเขาไม่เชื่อใจใคร
แต่พวกเขาก็ไม่ได้ชั่วร้ายเหมือนวิญญาณอาฆาตอันน่าขนลุกพวกนั้น
พวกเขากลับให้ความรู้สึกเหมือนสุภาพบุรุษที่เร่ร่อนอยู่ในความมืดมิดมากกว่า
พวกเขามีแนวคิดด้านความงามตามแบบฉบับของตัวเอง และการเสาะแสวงหาความงดงามของพวกเขานั้นไร้ที่สิ้นสุด
ยกตัวอย่างเรื่องการกิน วิญญาณที่พวกเขาหมายตาเอาไว้ล้วนแต่ได้รับการเลี้ยงดูทีละน้อยจนกระทั่งมันสามารถกินได้ จากนั้นพวกมันจึงจะเริ่มลิ้มรสมันอย่างช้าๆ
เมื่อนางคิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมฝ่าบาทถึงมีนิสัยชอบล่ามคนเอาไว้ในกรง
เขาไม่ได้ป้อนนางเพียงเพราะว่านางเป็นแค่เหยื่อธรรมดา
แต่เขาคิดว่านางเป็นอาหารของเขามาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก…