พลบค่ำ เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากผืนฟ้ามืดสลัว ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่ตกหนักอีกครั้ง
เช้าตรู่ในฤดูหนาว พระอาทิตย์ก็ดูเหมือนจะกลัวความหนาวเย็น ผ่านยามเฉิน[1]ไปแล้วยังหลบอยู่ในรังไม่กล้าออกมา
มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงกลับตื่นแต่เช้า
วั่นจื่ออิ๋งกับสวี่หยวนหยวนมาถึงนานแล้ว และยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เดิมคิดจะมาช่วยเยวี่ยเซี่ยปรนนิบัติหนิงเซ่าชิง แต่กลับถูกหนิงเซ่าชิงไล่ออกไป จึงทำได้แค่ยืนรออยู่ข้างนอก
จากท่าทีของมั่วเชียนเสวี่ย เดิมก็ไม่ปรารถนาให้พวกนางมาคารวะยามเช้า แต่เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยแล้วว่า วันนี้นางกับหนิงเซ่าชิงล้วนต้องไปกินอาหารเช้าที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ถึงไม่อยากพาอนุภรรยาสองคนนี้ไป ก็ต้องพาไปอยู่ดี
ตระกูลใหญ่ย่อมมีกฎระเบียบของตระกูลใหญ่
หนิงเซ่าชิงก็เคยบอกกับนางว่า ปกติไม่ต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ายามเช้าก็ได้ แต่ชูอีกับสืออู่กลับบอกว่าเลี่ยงไม่ได้
ชูอีกับสืออู่บอกว่าเป็นวันที่คนครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ว่ากันว่าพวกเขาล้วนต้องไปคารวะยามเช้า กินอาหารเช้าเป็นเพื่อฮูหยินผู้เฒ่า แต่ครอบครัวอื่นๆ แค่คารวะยามเช้าเฉยๆ ก็พอ ไม่ได้รั้งไว้กินข้าวด้วยกัน
จำนวนคนมีฐานะที่สามารถนั่งกินข้าวบนโต๊ะด้วยได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่า หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน หนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ย และยังมีน้องสาวที่เป็นบุตรีอนุภรรยาอีกสี่คน สถานการณ์เช่นนี้ กระทั่งฮูหยินอนุภรรยาหลายคนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมานั่งกินข้าวบนโต๊ะด้วยกัน
คนที่กินข้าวมีไม่เยอะ แต่คนที่ปรนนิบัติข้างกายนั้นกลับมีเยอะมาก
อี๋เหนียงของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนหกคน อี๋เหนียงของหนิงเซ่าชิงสองคน และยังมีฮูหยินอนุภรรยาอีกสามคน กับสาวใช้ผัวจื่ออีกกลุ่มใหญ่
คนที่ปรนนิบัติหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนขณะกินข้าวคือจื่อฮูหยิน คนที่ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าขณะกินข้าวคือจิ้งฮูหยินกับเหมยฮูหยิน คนที่ปรนนิบัติมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงขณะกินข้าวต้องเป็นวั่นจื่ออิ๋งกับสวี่หยวนหยวนเท่านั้น
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ชอบสองคนนี้ หนิงเซ่าชิงยิ่งคิ้วขมวดเป็นปมแน่น เขาค้นพบว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งจริงๆ…ดูเหมือนว่าเขาจะถูกหมาป่าสองตัวจับจ้องอยู่
กล่าวให้ถูกต้องก็คือ หมาป่าสองตัวบวกกับแม่เสือหนึ่งตัว
วั่นจื่ออิ๋งยังดีหน่อย แม้ว่านางจะเงยหน้าขึ้นมองหนิงเซ่าชิงแวบหนึ่งในบางโอกาส แต่คลื่นความรู้สึกในแววตาล้วนเจือไปด้วยความขวยอาย เป็นคนที่มีนิสัยนิ่งเงียบคนหนึ่ง
สวี่หยวนหยวนเดิมก็เป็นคนมีนิสัยชอบทำตัวเด่น ตอนนี้มีฐานะที่ถูกต้องแล้ว จึงไม่ได้ละสายตาจากร่างของหนิงเซ่าชิงเลยสักนิดเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบมองเขาบ่อยๆ ให้ความรู้สึกประมาณว่า หากท่านกล้ามองพวกนางมากกว่านี้แวบหนึ่ง ข้าจัดกัดท่านให้ตาย หากท่านกล้ากินอาหารที่พวกนางคีบให้ ข้าจะให้ท่านไม่ได้ ‘กิน’ อีก
เดิมวั่นจื่ออิ๋งอยากปรนนิบัติหนิงเซ่าชิงขณะกินอาหาร แต่ถูกสวี่หยวนหยวนเบียดจนไปอยู่อีกด้าน
แม้จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่คิดได้ว่าวันเวลายังอีกยาวนาน ให้สตรีโง่งมนั้นลองเสี่ยงก่อนก็ดี นางจะได้สังเกตการณ์ และทำความเข้าใจกับความชอบของหนิงเซ่าชิงสักหน่อย
ดังนั้น วั่นจื่ออิ๋งจึงไม่ได้แย่งกับสวี่หยวนหยวน แต่ยืนอยู่ข้างมั่วเชียนเสวี่ยแทน “ฮูหยิน”
ยามกินอาหารไม่สนทนา ยามเข้านอนไม่พูดคุย ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ปกติแล้วบนโต๊ะอาหารของชนชั้นสูงจะไม่มีการคุยกัน
บนโต๊ะอาหารเงียบมาก ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มกินอาหารภายใต้การปรนนิบัติของเหมยฮูหยินแล้ว หัวหน้าตระกูลก็เริ่มกินอาหารภายใต้การปรนนิบัติของจื่อฮูหยินเช่นกัน
ความจริงแล้วอี๋เหนียงเหล่านี้ไม่มีอันใดให้ทำ ทำได้แค่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวบนโต๊ะอาหาร เพื่อที่จะปรนนิบัติได้ตลอดเวลา
มั่วเชียนเสวี่ยอดคิดไม่ได้ว่า นี่ยังรับสตรีเข้ามาไม่เยอะเท่าใดนัก หากทำเหมือนกับฮ่องเต้ที่มีสามพระตำหนัก หกหมู่เรือน มีอนุภรรยาหลายสิบคน ตอนกินข้าวนั้นจะยิ่งใหญ่มากเพียงใด
แค่สถานที่ให้ยืนก็ต้องกว้างมาก…เพียงแค่คิดถึงเหตุการณ์ที่มีคนหลายสิบคนมองนางกินข้าว นางก็อึดอัดแล้ว!
สวี่หยวนหยวนปรายตามองวั่นจื่ออิ๋งแวบหนึ่ง ขณะเติมน้ำแกงให้หนิงเซ่าชิงอย่างลำพองใจ
วั่นจื่ออิ๋งไม่ใส่ใจ นางเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเหลือบมองข้าวต้มที่วางอยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง ก็หยิบชามอย่างตั้งใจไปตักข้าวต้มให้มั่วเชียนเสวี่ย
ทุกอย่างกลมเกลียวสามัคคีมาก
“เพล้ง…” ได้ยินแต่เสียงชามแตกทำลายความเงียบสงบภายในห้อง
จากนั้นก็ตามด้วยเสียงของหนิงเซ่าชิง “เจ้าทำอะไรน่ะ เลินเล่อเสียจริง ถอยไป!”
เสียงของหนิงเซ่าชิงเฉียบขาดมาก สวี่หยวนหยวนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก “หัวหน้าตระกูล ขอโทษเจ้าค่ะ เชี่ยเซิน[2] ไม่ได้ตั้งใจ”
มั่วเชียนเสวี่ยย่อมรู้ว่านางไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่ามีคนตั้งใจ
คนผู้นั้นคือหนิงเซ่าชิง นางไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการใด แต่นางรู้ว่าต้องเป็นเขาที่เล่นลูกไม้แน่ๆ
เดิม เข็มเงินของนางก็อยู่บนมือนางแล้ว หนิงเซ่าชิงแค่เร็วกว่านางก้าวหนึ่งเท่านั้นเอง
หนิงเซ่าชิงสีหน้าเย็นเยียบ
สวี่หยวนหยวนขอร้อง “เชี่ยเซินไม่ได้ตั้งใจนะเจ้าคะ”
“ถอยไป!” ไม่เคยคิดเลยว่า กินข้าวในจวนตนเอง เขายังต้องใช้วิธีลอบให้ร้ายสตรีในเรือนหลังคนหนึ่งเช่นนี้
คำว่าออกไปในครั้งที่สอง ไม่เหลือช่องว่างแม้แต่น้อย สวี่หยวนหยวนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็รู้จักมองสายตาของคนอื่นเป็นบ้างแล้ว ภายใต้การอบรมสั่งสอนครึ่งปีของอวี้กุ้ยเฟย
นางถอยไปอีกด้านหนึ่ง กลับไปยืนอยู่ในแถวกลุ่มคนที่ยืนเฝ้ารอทำหน้าที่กัน
หนิงเซ่าชิงมองมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “มั่วซื่อ เจ้ามาปรนนิบัติเสีย!”
“เจ้าค่ะ”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ภรรยาเอกถูกสามีชี้นิ้วสั่งให้ปรนนิบัติ มากน้อยอย่างไร ในใจย่อมรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย และรู้สึกว่าสามีทำให้ตนเองเสียหน้าที่ต้องไปทำงานที่เหล่าอี๋เหนียงกับข้ารับใช้ทำ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
สักนิดก็ไม่รู้สึก!
นางมีสีหน้าน้อยใจ ทว่าในใจกลับลิงโลด
นางไม่ยินยอมให้สตรีอื่นปรนนิบัติหนิงเซ่าชิง โดยเฉพาะสตรีที่มองออกเลยว่าชื่นชมยกย่องรูปโฉมท่วงท่าของหนิงเซ่าชิง แม้ว่าจะแค่คีบอาหารให้ก็ไม่ได้
เอ่ยจบ ก็ลุกขึ้น แล้วเริ่มต้นคีบอาหารให้หนิงเซ่าชิง
แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะมีสีหน้าหงุดหงิด แต่นัยน์ตาที่มองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยกลับเปี่ยมไปด้วยการพะเน้าพะนอ
หนิงเซ่าชิงมองมั่วเชียนเสวี่ยยุ่งวุ่นวายกับการปรนนิบัติตนเอง แม้เขาจะสงสารนาง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา
เขาส่ายหน้า แล้วเริ่มลงมือกินอาหาร
มั่วเชียนเสวี่ยคีบอะไร เขาก็กินสิ่งนั้น ไม่ได้เรื่องมากอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่อีกด้านกลับพยักหน้าให้กับมั่วเชียนเสวี่ย เป็นการแสดงออกถึงความพอใจอย่างยิ่ง
“มั่วซื่อ เห็นเจ้าปรนนิบัติได้ไม่เลว คิดว่าน่าจะปรนนิบัติเซ่าชิงขณะกินอาหารบ่อย นึกถึงฐานะสูงศักดิ์ของเจ้า แต่กลับสามารถลดตัวลงมาปรนนิบัติสามีได้ เห็นเลยว่าเป็นคนมีคุณธรรมคนหนึ่ง”
“ท่านย่ายกย่องเกินไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาว “เหล่าเซินอายุมากแล้ว คงจัดการดูแลได้อีกไม่กี่วัน นับตั้งแต่วันนี้ไป ทุกวันเจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายย่า ช่วยย่าจัดการเรื่องในจวนด้วยกันดีไหม เรื่องในเรือนหลังของตระกูลหนิงย่อมต้องมอบหมายให้เจ้า เจ้าอย่าได้ปรนนิบัติเซ่าชิงดีเท่านั้น ยังต้องเรียนรู้ที่จะดูแลจัดการเรื่องในจวนด้วย”
การกระทำเพียงเล็กน้อย ก่อให้เกิดผลกระทบอันรุนแรงจริงๆ
สายตาทั้งหมดล้วนมองมาที่นาง
เพิ่งจะแต่งงาน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นฝ่ายปล่อยมือจากอำนาจเอง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในตระกูลหนิง เซี่ยซื่อผู้นั้นทุ่มเทสติปัญญาสุดความสามารถ เพื่ออำนาจในการจัดการเรื่องภายในจวน สุดท้ายก็มีบทสรุปอันน่าเศร้า
คนอื่นตะลึง มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงยิ่งกว่าผู้อื่น
ใครจะรู้ดีเท่านางว่า ฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจนางมากเพียงใด
ยายแก่ นี่เจ้าคิดจะทำอันใดอีก
นางกระสับกระส่ายเล็กน้อย มองไปทางหนิงเซ่าชิงแวบหนึ่ง หนิงเซ่าชิงพยักหน้า
หนิงเซ่าชิงอารมณ์ดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจริงๆ ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่า ท่านย่าจะไม่ชอบมั่วเชียนเสวี่ย กังวลว่าท่านย่าจะยังคิดไม่ได้
[1] ยามเฉิน คือเวลา 07.00 – 08.59 น.
[2] เชี่ยเซิน เป็นคำเรียกแทนตนเองอย่างถ่อมตัว