การประลองยังคงดำเนินต่อไป
เพราะจำนวนผู้เข้าร่วมมีมาก ดังนั้นการเปลี่ยนสนามประลองในทุกครั้งหลังการต่อสู้จึงเป็นระบบสุ่ม ในเวลาเดียวกันผู้ที่ชมอยู่นั้นก็สามารถเข้าใจกฎของการทดสอบนี้ได้ชัดเจน
ชิ้นส่วนที่ผู้เข้าร่วมแต่ละคนอยู่นี้ล้วนมีหมายเลขกำกับเอาไว้ หมายเลขพวกนี้แสดงให้เห็นจำนวนผู้ที่เอาชนะมาได้ และการประลองที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นต่อเนื่องนี้ แท้จริงแล้วก็ใช้ตัวเลขเหล่านี้แหละมาจัดอันดับที่แท้จริง
ผู้แพ้จะถูกคัดออก ในเวลาเดียวกันตัวเลขพวกนี้ก็จะถูกผู้ชนะชิงไป ยามนี้เมื่อจำนวนคนลดลง หลังจากที่ชิ้นส่วนเล็กๆ ค่อยๆ หายไปทีละชิ้น ผู้เข้าร่วมทดสอบที่เหลืออยู่นั้น ทุกคนล้วนถือครองตัวเลขหลักร้อยกว่าทั้งสิ้น
และที่ดึงดูดสายตาที่สุดในบรรดานั้นก็คือคนสองคน ได้แก่ยิ่นสี่แห่งเต๋าจังหวะดนตรี และเยว่หลิงจื่อของสำนักเหอเสียน
ทางยิ่นสี่นั้น ตัวเลขของเขาถึง 1,700 กว่าแล้ว ส่วนเย่วหลิงจื่อที่ไล่ตามมาติดๆ นั้น ก็มีตัวเลข 1,500 กว่าเช่นกัน ในส่วนของศิษย์สำนักทั้งสามอื่นๆ นั้น ต่างมีจำนวนได้พันกว่าเสียส่วนใหญ่
เช่นเดียวกันผู้ที่ทำตัวเลขได้หนึ่งพันนั้น ยังมีศิษย์อายุเยอะที่ชื่อเสียงไม่ค่อยโด่งดังอีกสองฝ่าย แปดคนนี้ เป็นที่รวมสายตาของเหล่าศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับหวังเป่าเล่อทางด้านนั้น แม้ว่าจะต่อสู้มาหลายลานประลอง แต่จนบัดนี้ที่ได้พบล้วนยังมิใช่ผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นตัวเลขจึงจำกัดอยู่แค่ 300 เท่านั้น
ทว่า…เมื่อเปรียบเทียบกับมหาศิษย์แห่งเต๋าท่านอื่นๆ ตัวเลขของหวังเป่าเล่อแม้จะน้อย ทว่าผู้ที่พ่ายแพ้ให้แก่เขานั้น เมื่อกลับไปแล้วต่างมีสภาพเหมือนกับผู้ฝึกตนรายที่หนึ่ง ในขณะที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนั้น ก็หวังว่าจะมีผู้ฝึกตนคนอื่นๆ มาลงโทษหวังเป่าเล่อ หรือมิฉะนั้นก็ลงโทษหวังเป่าเล่อแทนตนเอง
ในส่วนของหวังเป่าเล่อทางนี้ เขาไม่รู้ว่าตนเองชนะไปเท่าไรแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจ
“ขอเพียงข้าชนะไปตลอดทาง ย่อมต้องเข้ารอบชิงชนะเลิศ” หวังเป่าเล่อคิดในใจเช่นนี้ ขณะที่ผ่านการทดสอบไปเป็นชั้นๆ เมื่อพูดไปแล้วเขาแทบจะผ่านทุกชั้นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
เกรงว่าเพราะโชคไม่เลว หรือบางทีเพราะการแข่งขันนี้มีคนธรรมดาค่อนข้างมาก ดังนั้นแล้วการต่อสู้นับสิบครั้งต่อมา หวังเป่าเล่อจัดการได้ในทันที
ในเวลาเดียวกันเขาก็ค่อยๆ พบว่า ผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักนั้นมีจุดเด่นก็คือล้วนโดดเด่นเรื่องการแอบซ่อนตัว คู่ต่อสู้ที่เขาพบทั้งหลายนั้น ทุกครั้งก็เกือบจะเป็นเช่นนี้ และนี่ทำให้ตัวเขาเองหลังจากมาถึงยังสนามประลองใหม่แล้วก็เลือกซ่อนตัวตามสัญชาตญาณเช่นกัน
อีกทั้งตัวเลขบนร่างของเขา เหล่าผู้เฝ้าชมซึ่งล้วนพ่ายแพ้ให้แก่เขาและรออยู่ข้างนอกนั้นบัดนี้มีจำนวนประมาณ 500 กว่าคนแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับมหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ ย่อมไม่เป็นที่สะดุดตาเท่าไร
เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้ และโดยไม่รู้ตัว หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ว่าตัวเขานั้นผ่านมาแล้วกี่สนามย่อย อีกทั้งเขาเริ่มชินแล้วว่าทุกครั้งที่จะได้เข้าสนามใหม่นั้นจะไม่พบตัวศัตรู
จนกระทั่งในครั้งนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นในสภาพแวดล้อมใหม่แล้ว ในพริบตาที่เขามองไปรอบทิศ ตอนนั้นเองเขาก็พลันต้องหรี่ตา!
“ในที่สุดก็มาสักที” น้ำเสียงชั่วร้ายดังมาอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ
ผู้นี้เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหมดจด สวมชุดคลุมสีแดงยาวราวกับโลหิตผู้หนึ่ง ภาพของคนผู้นี้ช่างตัดกันชัดเจนกับสภาพแวดล้อมเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ
สภาพแวดล้อมของที่นี่ เป็นซากปรักหักพังของอารยธรรมโบราณ รกร้าง ไร้ซึ่งชีวิต มืดเทา คล้ายกับว่านี่คือท่วงทำนองหลักของที่แห่งนี้ ดังนั้นแล้วจึงยิ่งขับเน้นเงาร่างโดดเด่นของชายชุดแดงนี้ขึ้นมา
เขามีเส้นผมยาว นั่งขัดสมาธิอยู่บนตอไม้ที่หักเหลือครึ่งท่อน เส้นผมสยายไปตามสายลม มือของเขานั้นถือขลุ่ยกระดูกสีขาวอยู่เลาหนึ่ง และในยามนี้ได้แหงนหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ
ในพริบตานั้น สายตาของเขาและหวังเป่าเล่อก็ได้ประสานกัน
ใบหน้างดงามล่มเมือง ราวกับว่าบุรุษตรงหน้าคล้ายจะเป็นสตรีสาวงดงามอ่อนหวานผู้หนึ่งมากกว่า อีกทั้งสีแดงสดที่แสนจะแสบตานี้ ก็เป็นความรู้สึกแรกที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้หลังจากมองเห็นอีกฝ่ายถนัดตา
หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็กวาดตามองดูคร่าวๆ ก่อนที่จะหยุดสายตาบนขลุ่ยกระดูกในมืออีกฝ่าย ก่อนจะเบนสายตาออก เพียงมองปราดเดียว ในใจของเขาก็พบคำตอบว่าเจ้าขลุ่ยนี้พิเศษอย่างยิ่ง
ขลุ่ยเลานี้….เป็นกระดูกเร้นลับที่อยู่ในโลกแห่งเสียง และเป็นวัตถุดิบเฉพาะสำหรับผู้ฝึกตนแห่งปรารถนาเสียงเพื่อใช้ทำอาวุธดนตรี
ต้องทราบก่อนว่าความเร้นลับของโลกแห่งเสียงนั้น ยากนักจะได้พบเห็น นี่ทำให้ขลุ่ยกระดูกเลานี้เดิมทีมีลักษณะที่ไม่อาจมองเห็นได้ และผู้ที่สร้างอาวุธดนตรีเช่นนี้ออกมา ทอดมองไปทั่งนครปรารถนาเสียงแห่งนี้แล้ว นับจากที่หวังเป่าเล่อได้เหยียบเข้าโลกแห่งเสียง ทราบว่ามีเพียง…เจ้าแห่งปรารถนาเสียงเท่านั้น
“มีอาวุธดนตรีที่สร้างโดยเจ้าแห่งปรารถนาเสียง…” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ เขาพอคาดเดาสถานภาพของคนผู้นี้ได้แล้ว
“ท่านนักพรต” หวังเป่าเล่อค่อยๆ เอ่ยปาก
ชายหนุ่มชุดแดงนี้ ก็คือหนึ่งในนักพรตแห่งสำนักเหิงฉิน
ยามนี้สีหน้าเขาปกติ ก่อนจะสะบัดขลุ่ยในมือ ไม่ได้สังเกตเรื่องที่หวังเป่าเล่อมองเห็นขลุ่ยเลานี้ แต่เขากลับมองหวังเป่าเล่อเรียบนิ่งครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงปิดตาทั้งสองลง ค่อยๆ เอ่ยคำพูดออกมาช้าๆ
“ยอมแพ้ แล้วไปเสีย”
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ในชั่วเวลาพริบตาหนึ่งร่างของเขากลายสภาพเป็นมายา เสียงเพลงพลันดังสะท้อน พุ่งไปยังชายชุดแดงคนนั้นก่อนจะแสดงอานุภาพกระจายออกไป
และในเวลาเดียวกัน เนื่องเพราะชายชุดแดงนั้นเป็นที่สนใจอย่างมาก การต่อสู้ของเขาและอีกฝ่าย ยามนี้จึงมีผู้ฝึกตนจากสามสำนักมองดูไม่น้อย เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อได้พบกับนักพรตผู้นี้แล้วเริ่มลงมือก่อน ก็พากันส่ายหน้า
“คนผู้นี้แยกแยะหนักเบาไม่ออกเสียเลย”
“นักพรตปีศาจแดงแห่งสำนักเหิงฉิน ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดของกฎแห่งปรารถนาเสียงแล้ว ข้าได้ยินว่าบทเพลงบรรพกาลแห่งโลหิตที่เขาแต่งขึ้นสามารถอัญเชิญวิญญาณลี้ลับมาได้ ฆ่าคนไร้ร่องรอยทีเดียว”
“ศึกครั้งนี้ ไม่น่าติดตามดูสักนิด”
ในขณะที่ผู้คนกำลังส่ายหน้าและวิจารณ์กันอยู่นั้น เหล่าผู้ฝึกตนที่พ่ายแพ้ให้กับหวังเป่าเล่อก่อนหน้า ยามนี้แต่ละคนหน้าตาตื่นเต้นยินดีขึ้นมา พวกเขาแม้ว่าจะแพ้ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับว่าหวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่งพอจะปะทะกับยอดฝีมือนักพรตได้ มีเพียงผู้เดียว…ผู้ฝึกตนคนที่พ่ายแพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อผู้นั้น ในยามนี้เขาเบิกตามองกว้าง แล้วจับจ้องชิ้นส่วนประลองเล็กๆ นี้ ตาไม่กะพริบ เกือบจะหอบหายใจกระชั้นแล้ว
“จะเป็นม้ามืดจริงหรือไม่ ต้องดูศึกนี้แล้ว!”
“หากว่าแพ้ก็จะจบสิ้น แต่ว่า…หากหมอนี่ชนะเล่า เช่นนั้นงานทดสอบครั้งนี้ จะมีม้าทยานขึ้นฟ้าของจริง!”
ระหว่างที่ผู้ฝึกตนรายนั้นกำลังคาดหวังและจับจ้อง ในส่วนโลกรกร้างที่หวังเป่าเล่อและมารแดงอยู่นั้น ท่วงทำนองที่หวังเป่าเล่อใช้ในยามนี้แล่นมาอยู่ใกล้เบื้องหน้าของปีศาจแดงในพริบตา
“ที่แท้ไม่รู้จักประมาณกำลัง…” ดวงตาดุจหงส์ของนักพรตปีศาจแดงนั้นพลันเบิกกว้าง เผยให้เห็นประกายความเย็นชาและจิตสังหาร เขาขยับมือเล็กน้อย ในพริบตารอบด้านนั้นก็เกิดเสียงดังลั่น เสียงเหล่านี้มีเกินกว่าพันสำเนียง ยามนี้เมื่อประสานเข้าด้วยกันก็กลายเป็นคลื่นพลังสะท้านขวัญขุมหนึ่ง แผ่ออกไปอาละวาดรอบทิศอย่างไร้รูปลักษณ์ราวกับเป็นวังน้ำวนขนาดใหญ่ พุ่งเข้าครอบคลุมบทเพลิงที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้นนั้นในทันที!
“คงต้องให้เจ้าละทิ้งเส้นทางเต๋าแล้ว” เสียงของปีศาจแดงสะท้อนไปทั่ว เขาไม่เหลือบมองเวทแห่งเพลงที่ถูกคลุมไว้สักนิด ก่อนจะเหยียดกายแล้วจากไป
เท่าที่เขาคิดไว้นั้น แม้ว่าตนเองจะโจมตีส่งๆ ไปครั้งหนึ่ง แต่จากที่พลังปรารถนาเสียงของตนชี้นำ อีกฝ่ายนั้นไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลย ทว่า…ในตอนที่เขาหันกายนั้นเอง พลังอันตรายเร้นลับแข็งกล้าก็พลันระเบิดขึ้นในใจของเขา
……………………………………………………