“นายท่าน ข้าได้ยินว่าท่านนอนกอดมนุษย์ผู้นั้นทั้งคืนเลยหรือขอรับ”
หลังจากตะวันตกดิน กิเลนอัคคีที่อยู่ในห้องจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจอย่างมาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดสายตามองมันอย่างเย็นชาและไม่คิดที่จะตอบคำถามนั้น
กิเลนอัคคีตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มันกระแอมแล้วเอ่ยว่า ”นายท่าน ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะนินทาท่านนะขอรับ ข้าเพียงแต่คิดอยู่บ่อยๆ ว่าอุณหภูมิร่างกายของท่านค่อนข้างต่ำทีเดียว ขนาดคนที่ยืนอยู่ข้างท่านคือข้า ข้าก็ยังรู้สึกหนาวเลยขอรับ ดังนั้นข้าจึงเพียงแค่เป็นห่วงมนุษย์คนที่ท่านนอนกอดข้ามคืนคนนั้นเท่านั้น โชคดียิ่งนักขอรับที่นางไม่ได้ล้มป่วย”
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงยอมให้นางอยู่ที่นี่อย่างไรล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก พร้อมกับวางกะโหลกในมือลง ”ไปสืบประวัติของนาง ค้นหาดูสิว่านางมีญาติสนิทคนใดในโลกมนุษย์หรือไม่ เหตุใดคนคนนั้นจึงทำให้นางต้องการพาข้าออกจากแดนปีศาจมากถึงเพียงนี้”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย กิเลนอัคคีก็ขมวดคิ้วและถามว่า ”นายท่านขอรับ ระยะนี้ความแข็งแกร่งทางวิญญาณของท่านค่อนข้างไม่เสถียรเท่าใดนัก ร่างของท่านจะถูกเปิดเผยทันทีที่ออกไปจากแดนปีศาจ มีความเป็นไปได้หรือไม่ขอรับว่านี่จะเป็นอุบายของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย”
“ข้าไม่สามารถบอกได้ว่านางมาจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหรือไม่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ”แต่คนจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมีเจตนาตามล่าข้าและสังหารข้าจริง…”
สีของท้องฟ้าเริ่มเข้มขึ้นทีละน้อย
ชายนิรนามเดินเข้ามาในห้องและส่งเครื่องดื่มให้กับเด็กสาวในชุดสีชมพู จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า ”เขาสังเกตเห็นแผนการของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแล้ว และยังออกคำสั่งให้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้เป็นการภายในอีกด้วย เจ้าต้องรีบลงมือ ฐานะของเด็กสาวที่มาถึงพร้อมกับเจ้ายังคงเป็นปริศนาอยู่ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเขาน่าจะระมัดระวังตัวที่สุดยามที่อยู่กับนาง หาทางพาตัวเองออกจากที่นี่ให้ได้ พวกข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือเจ้า”
เด็กสาวในชุดสีชมพูกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ขณะศึกษาสภาพแวดล้อมรอบกาย ”เขาเป็นคนรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร พวกเราจำเป็นต้องใช้อุบายที่แตกต่างไปจากปกติเพื่อตบตาเขา ส่งองครักษ์เงาสองนายออกไป ให้พวกเขาสวมบทเป็นมือสังหารที่คิดจะลอบทำร้ายเขา จากนั้นข้าจะพยายามขวางดาบเล่มนั้นเพื่อเขา”
“เจ้าต้องการให้คนพวกนั้นลอบทำร้ายเขาหรือ” ชายคนนั้นรู้สึกกังวล ”ข้าเกรงว่าเขาจะฆ่าพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะทันได้ชักดาบออกมามากกว่า”
เด็กสาวชุดสีชมพูลดเสียงลงก่อนจะพูดต่อ ”หลังจากนี้ข้าจะไปหาผู้หญิงคนนั้น ข้าคิดว่าเขาเองก็น่าจะมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าเพียงแค่ต้องแสดงละครต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้เขา เขาจะต้องตกหลุมพรางแน่ตราบใดที่เจ้าแสร้งว่าจะทำร้ายข้า”
“เจ้าแน่ใจหรือว่ามันจะได้ผล” ชายคนนั้นอดถามไม่ได้
“อืม” เด็กสาวชุดสีชมพูตอบ ”ข้าเคยช่วยชีวิตเขามาครั้งหนึ่งตอนที่พวกเราอยู่ในโลกมนุษย์ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาเลือกข้ามาในฐานะเครื่องบรรณาการของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย เพียงแค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าข้าค่อนข้างพิเศษสำหรับเขาทีเดียว”
“ในเมื่อเจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้ พวกข้าก็จะทำตามแผนการนั้น” ชายคนนั้นบอกพร้อมกับจ้องมองนาง ”หนีเฟิ่ง เจ้าอย่าได้รู้สึกเห็นใจพวกมันโดยเด็ดขาด บรรดาปีศาจกำลังเร่ร่อนอยู่บนโลกมนุษย์ หากพวกเราไม่ล่อเขาไปที่โลกมนุษย์ในช่วงที่เขากำลังอ่อนแอที่สุด แม้แต่ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายก็ไม่มีผลอันใดกับเขา เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ปีศาจทุกตนถูกกักขังอยู่ในนรก แต่ถ้าเขาไม่ตาย โลกมนุษย์ของพวกเราย่อมไม่มีวันได้รับการแก้ไขให้กลับไปสู่หนทางอันชอบธรรมได้”
หนีเฟิ่งกำผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือตัวเอง แล้วรับชามาจากเขา นางทอดสายตามองออกไปแสนไกลพร้อมกับตอบว่า ”ข้ารู้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ตั้งแต่วันที่ข้ามาถึงแดนปีศาจ ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใจอ่อน”
ตอนนั้นนั่นเองที่บานประตูถูกผลักเปิดออกเสียงดังเอี๊ยด…
จากนั้นก็เห็นเสี่ยวขุยเข้ามาในห้องด้วยท่าทางตื่นเต้น นางไม่สนใจข้ารับใช้ที่อยู่ที่นั่น แต่กลับโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูของหนีเฟิ่งว่า ”พี่หนี ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่แย่มากเจ้าค่ะ นางเอาแต่รบเร้าที่จะพาฝ่าบาทไปยังโลกมนุษย์โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ข้าว่านางคงทำให้ฝ่าบาทหมดความอดทนแล้วกระมัง เขาถึงได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องของนางเช่นนี้ ถ้าเขาพบอะไรขึ้นมา นางจะต้องตกที่นั่งลำบากหรือไม่ก็คงต้องตายแน่เจ้าค่ะ”
หนีเฟิ่งหัวเราะเสียงเบาด้วยดวงตาเป็นประกาย ”เราไปเยี่ยมนางกันเถอะ ตั้งแต่มาถึงแดนปีศาจ นางก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ข้าว่านางคงอยากออกไปจากที่นี่เต็มแก่แล้ว”
นางไม่อยากเห็นใครต้องกลายเป็นเครื่องสังเวย ดังนั้นนางจึงคิดว่าการส่งผู้หญิงคนนั้นออกไปจากที่นี่ย่อมเป็นความคิดที่ดีกว่า
ตอนนี้นางต้องใช้ประโยชน์จากเฮ่อเหลียนเวยเวย และต้องไม่ทำให้มันกลายเป็นที่ดึงดูดความสนใจของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมากเกินไป
เสี่ยวขุยยิ้มเยาะ ”ฟังดูเป็นแผนการที่เข้าท่าทีเดียวเจ้าค่ะ เราจะได้แสดงให้นังคนบ้านนอกนั่นได้เห็นว่านางไม่มีวันเทียบชั้นกับพวกเราได้”
ครั้งนี้หนีเฟิ่งกลับไม่ได้ตอบนาง จากนั้นทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกขังเอาไว้
ฝ่าบาทเป็นเจ้าของที่ค่อนข้างใจดีกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองทีเดียว เขาถึงกับกำหนดเวลาที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะได้รับอนุญาตให้ออกไปเดินเล่นข้างนอกเอาไว้ด้วย
ในระหว่างเวลานั้น กรงที่มีเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกล่ามอยู่ข้างในจะถูกนำออกมาด้านนอกเพื่อให้นางได้เดินเล่น
แต่การเคลื่อนไหวของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นก็ยังมีจำกัด เพราะนางจำเป็นต้องอยู่แค่ภายในกรงเท่านั้น
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง เพราะในเวลานี้นางกำลังกลุ้มใจกับการคิดหาวิธีพาฝ่าบาทกลับไปที่โลกมนุษย์อยู่นั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนหลังพิงกับกรงพร้อมกับมองทิวทัศน์ของวังปีศาจ จิตใจของนางติดจะฟุ้งซ่าน
“ดูสิเจ้าคะ พี่หนี คนบางคนก็พอใจง่ายจริงเชียว ขนาดอยู่ในกรงนางก็ยังสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ ช่างเป็นหญิงที่ไร้ยางอายเสียไม่มี” เสี่ยวขุยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงรังเกียจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับขำเสียอีก นางมองเสี่ยวขุยระหว่างที่นางพูดอยู่ จากนั้นจึงหยิบขนมขึ้นมาใส่ปากชิ้นหนึ่งและเมินเสี่ยวขุยไปโดยสิ้นเชิง
เสี่ยวขุยคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเพียงแค่เด็กสาวหน้าตาพอไปวัดไปวาได้เท่านั้น ดังนั้นนางจึงรู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็นท่าทางอวดดีของเฮ่อเหลียนเวยเวย ถ้าสัตว์อสูรตัวนั้นไม่ได้พานางกลับมาด้วย นางก็คงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเครื่องบรรณาการได้ด้วยซ้ำ เสี่ยวขุยโกรธจนควันออกหูเมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยปฏิบัติต่อนางอย่างไร้ซึ่งความเคารพเพราะในความคิดของเสี่ยวขุยนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเพียงแค่ผู้หญิงไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น!
“เสี่ยวขุย ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไรระหว่างทางที่เรามาที่นี่” หนีเฟิ่งมีสีหน้าไม่พอใจขณะหันไปเตือนเสี่ยวขุย ”พวกเราต้องสุภาพต่อผู้อื่นอยู่เสมอ”
เสี่ยวขุยยังคงมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาเหยียดยาม แต่นางก็ยอมเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงสุภาพเพื่อพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวย ”พี่หนีมาเยี่ยมเจ้าที่นี่ด้วยความเมตตาจากใจจริง ถ้าเจ้ายอมล้มเลิกความคิดเพ้อฝันของตัวเอง พวกเขาจะขอให้ฝ่าบาทไว้ชีวิตและปล่อยเจ้าไป เวลานี้ข้ากับพี่หนีถูกจัดให้พักอยู่ภายในวังหลวง เจ้าน่าจะเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างเจ้ากับพี่หนีในสายตาของฝ่าบาทได้แล้วกระมัง ก่อนหน้านี้พี่หนีเคยช่วยชีวิตฝ่าบาทเอาไว้ และฝ่าบาทก็เป็นห่วงเป็นใยนางมาตั้งแต่ตอนนั้น ข้าขอแนะนำให้เจ้าตัดสินใจด้วยเหตุผล แล้วถอนตัวออกไปก่อนเรื่องจะแย่กว่านี้ดีกว่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกต่อไปแล้วจริงๆ
หัวใจของนางบีบรัดระหว่างที่นางฟังคำพูดของเสี่ยวขุย
นางไม่ได้หมดกำลังใจเพราะเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย แต่มันก็ทำให้หัวใจของนางแตกสลายเพราะนางเข้าใจดีว่าการรักและใส่ใจต่อผู้ที่ช่วยชีวิตนั้นย่อมเป็นธรรมชาติของมนุษย์…
เสี่ยวขุยสังเกตเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เสี่ยวขุยพูดต่อ ”ข้าเดาว่าเจ้าคงยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ล่ะสิ พี่หนีเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ฝ่าบาทเลือกให้มาเป็นเครื่องบรรณาการ นางมีเชื้อสายของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย นางเกิดในตระกูลผู้ดี และเป็นคนที่คู่ควรกับฝ่าบาท แล้วเจ้าล่ะ เจ้าก็เป็นแค่ผู้หญิงหน้าด้านที่ไม่มีดีอะไรสักอย่าง”
นางมีเชื้อสายของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง นางจำสิ่งที่หยวนหมิงเคยเล่าให้นางฟังตอนอยู่ในสำนักไท่ไป๋ได้อย่างชัดเจน คนที่ทำให้แก่นวิญญาณของราชาผู้เคยปกครองบรรดาปีศาจต้องสูญสลายไปจากโลกก็คือหญิงสาวจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายนั่นเอง…