ตอนที่ 598 ประสบอันตรายยามเที่ยงคืน
ว่ากันว่าไม่มีกระต่ายที่หนีออกจากเสฉวนได้แม้แต่ตัวเดียว ในมณฑลอื่นยุคนี้ยังไม่มีคนทำฟาร์มกระต่าย แต่ที่เสฉวนมีแล้ว
หลินม่ายให้จ้าวเลี่ยงส่งคนไปซื้อกระต่ายพันธุ์ที่เสฉวนมาห้าสิบคู่
เมื่อหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับการทำฟาร์มกระต่ายเนื้อไม่ได้ หลินม่ายจึงจ้างนักเพาะเลี้ยงกระต่ายมืออาชีพที่มีประสบการณ์สูงคนหนึ่งส่งไปให้ฟู่เฉียง
กาลเวลาไม่รอใคร ไม่ช้าก็มาถึงวันที่ 1 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันแรงงานอย่างรวดเร็ว
ในวันแรงงานนี้หลินม่ายงานยุ่งมาก
สะพานลอยสร้างเสร็จแล้ว ทั้งยังผ่านการตรวจสอบมาตรฐานอีกด้วย และจะเปิดทางสัญจรให้วันที่ 1 พฤษภาคม เธอต้องเป็นประธานในการตัดริบบิ้นที่นั่นด้วย
ในวันเดียวกันนี้ยังเป็นรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์ “มนต์รักภูเขาหลูซาน”
ในยุคนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่ารอบปฐมทัศน์ แต่หลินม่ายอยากจะจัดงานรอบปฐมทัศน์สักครั้ง
เสื้อผ้าที่ตัวเอกสวมใส่และเครื่องประดับที่ติดประดับในภาพยนตร์นั้นล้วนมาจากเสื้อผ้าจิ่นซิ่วและเครื่องประดับไป๋เหอของเธอทั้งสิ้น
ที่เธอจัดงานรอบปฐมทัศน์ขึ้นนั้นไม่เพียงเพื่อการโปรโมต “มนต์รักภูเขาหลูซาน” ยังจัดขึ้นเพื่อโฆษณาเสื้อผ้าจิ่นซิ่วและเครื่องประดับไป๋เหอของตนเองด้วย
เพื่อความสะดวกของตนเอง หลินม่ายได้จัดงานรอบปฐมทัศน์เอาไว้ที่เมืองเจียงเฉิง
ในวันแรงงานนั้น ท้องฟ้าเพียงเริ่มฉายแสงสลัว หลินม่ายก็ไปหาเคอจื่อฉิงแล้ว
เคอจื่อฉิงและพ่อแม่พี่ชายพี่สะใภ้ของเธอพร้อมด้วยเพื่อนฝูงคนสนิทนั้น มาถึงเมืองเจียงเฉิงตั้งแต่เมื่อไม่กี่วันก่อนแล้ว ซึ่งเฉินเฟิงจัดเตรียมให้อยู่ที่บ้านสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นหลังนั้นที่หลินม่ายให้เป็นรางวัล
บ้านหลังนั้นสำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงให้เคอจื่อฉิงไปตั้งนานแล้ว
แม้ว่าหลินม่ายจะไม่ใช่เพื่อนเจ้าสาว แต่ก็เป็นเพื่อนสนิท ทั้งยังอยู่ที่เจียงเฉิงด้วย ไม่ว่าด้วยความรู้สึกหรือเหตุผล เธอก็จำเป็นต้องไปก่อนเวลาทั้งด้วยความเป็นเพื่อน และความเป็นเจ้าบ้านด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงที่อยู่ของเคอจื่อฉิง ภายในบ้านที่ไม่ใหญ่โตนักมีญาติพี่น้องของหล่อนนั่งกันอยู่แน่นขนัด
เพียงหลินม่ายโผล่หน้าเข้าไป สายตาของทุกคนก็จับจ้องมาที่เธอทันที มองเธอเสียจนแทบจะไม่มีทางให้เดินอยู่แล้ว
ก่อนที่จะเข้าไปในห้องของเคอจื่อฉิง หลินม่ายก็ได้ยินญาติผู้ใหญ่ของตระกูลเคอหลายคนถามคุณแม่เคอเกี่ยวกับเธอ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นมีความคิดอยากให้เธอมาเป็นลูกสะใภ้ของพวกเขา
คุณแม่เคอบอกกับญาติๆ พวกนั้นว่าหลินม่ายมีเจ้าของไปนานแล้ว ญาติๆ พวกนั้นถึงได้ยอมแพ้ไปอย่างเสียดาย
ในยุคนี้ ยังไม่ถือกำเนิดอาชีพช่างแต่งหน้าและช่างทำผมสำหรับแต่งหน้าทำผมให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวสองอาชีพนี้ขึ้นมาเลย
หลินม่ายเดินเข้ามาในห้องของเคอจื่อฉิง ช่างทำผมที่ครอบครัวเคอจ้างมาจากร้านทำผมกำลังเกล้าผมให้เคอจื่อฉิงอยู่
ว่าตามตรง ทรงผมที่เกล้านั้นไม่ได้ดูดีเท่าไรเลยจริงๆ เคอจื่อฉิงน่ารักร่าเริง ทรงผมนี้ทำให้หล่อนแก่ลงไปอีก 5 ปีในพริบตา
หลินม่ายนึกได้ว่าเถาจืออวิ๋นนั้นเกล้าผมเก่งมาก ทรงผมที่หล่อนเกล้าให้ตัวเองในหน้าร้อนก็ดูดีมาก
ถึงอย่างไรก็อาศัยอยู่ในอาคารหลังเดียวกัน หลินม่ายจึงเรียกหล่อนมา
เถาจืออวิ๋นใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง ก็เกล้าทรงผมอันงดงามให้กับเคอจื่อฉิงได้แล้ว
เคอจื่อฉิงจ่ายธนบัตรแล้วให้ช่างทำผมคนนั้นไปให้พ้นทันที
ช่างทำผมรู้ความผิดด้วยตัวเอง จึงรับเงินแล้วรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เพื่อนๆ ของเถาจืออวิ๋นและเคอจื่อฉิงช่วยเคอจื่อฉิงใส่ชุดซิ่วเหอสีแดงมงคลที่เถาจืออวิ๋นทำให้เธอ
หลินม่ายเตรียมจะเสียบดอกกุหลาบผ้าประดับผมให้เธอ
เคอจื่อฉิงก็พลันตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “รอเดี๋ยว!”
เธอก้มตัวลงหยิบกล่องไม้อันประณีตงดงามกล่องหนึ่งออกมาจากลิ้นชักชั้นล่างสุดของโต๊ะเครื่องแป้ง
ทันทีที่กล่องไม้นั้นเปิดออก ก็สว่างไสวเสียจนแทบทำเอาทุกคนตาพร่าไปเลยทีเดียว
ในกล่องไม้นั้นได้บรรจุเครื่องประดับทองยกชุดและปิ่นปักผมหงส์ทองคำบริสุทธิ์หกอันเอาไว้
ในยุคนี้ ฝ่ายชายซื้อเครื่องดับทองสามอย่าง(1)ให้ฝ่ายหญิงก็ไม่เลวแล้ว แต่ความเล่นใหญ่ขนาดนี้ของเฉินเฟิง แสดงให้เห็นว่าเขารักเคอจื่อฉิงมากขนาดไหน
หลินม่ายจิ้มศีรษะของเคอจื่อฉิงเบาๆ “เฉินเฟิงดีกับเธอชะมัดเลย!”
เคอจื่อฉิงหัวเราะคิกคัก
ทุกคนช่วยกันเสียบปิ่นปักผมให้เคอจื่อฉิงกันเป็นพัลวัน
เคอจื่อฉิงอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบอิบ “ปักปิ่นทองเต็มหัวนี่ลำบากชะมัด!”
เถาจืออวิ๋นเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน “ก็งานแต่งนี่นา ทนหน่อยแล้วกันนะ”
เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเคอจื่อฉิงกลอกตาใส่หล่อน “ดูเธอทำเป็นโวยวายเข้าสิ วันแต่งงานของฉัน ถ้าผู้ชายของฉันให้ฉันห้อยทองคำแท่งแต่งงานฉันก็ยอม ใครมาแตะต้องทองคำแท่งของฉันฉันจะตัดมือตัดเท้าเจ้านั่นเสียเลย”
เคอจื่อฉิงพูดอย่างภาคภูมิใจ “ใครใช้ให้ฉันโชคดีกันล่ะ พวกเธออิจฉากันล่ะสิ”
พวกเพื่อนๆ ของเคอจื่อฉิงนึกอยากจะรุมซ้อมหล่อนขึ้นมา
หลินม่ายรีบขวางเอาไว้ “วันนี้เป็นวันมงคลของจื่อฉิง ถ้าจะสู้ก็เปลี่ยนไปสู้กันวันอื่นเถอะ”
เธอกวักมือเรียกช่างถ่ายภาพ แล้วโอบไหล่เคอจื่อฉิง “คุณช่างภาพคะ ช่วยถ่ายรูปคู่พวกเราหน่อยสิคะ เอาให้ใครเห็นก็มองออกว่าฉันเป็นสาวน้อย ส่วนเธอเป็นแม่บ้านแม่เรือนนะคะ”
เคอจื่อฉิงโมโหจนผลักหลินม่ายออกทันที “เธอมันร้ายที่สุดเลย! เธอบอกว่าฉันเป็นแม่บ้านแม่เรือน รอให้เธอสอบเข้าวิทยาลัยเสร็จแล้ว เธอก็ต้องแต่งงานเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ถึงตอนนั้นเธอเองก็เป็นแม่บ้านเหมือนกัน เราก็ไม่ต่างกันหรอกน่า”
ประมาณเก้านาฬิกา ขบวนรับเจ้าสาวก็มากันแล้ว
เพื่อนสาวทางฝั่งเคอจื่อฉิงมีไม่มาก แค่หกคนเท่านั้น
แต่ลูกน้องของเฉินเฟิงนั้นมีไม่น้อยเลย ขบวนรับเจ้าสาวอย่างน้อยๆ ก็หกสิบคนแล้ว
ขบวนงดงามอลังการ ดึงดูดให้เพื่อนบ้านในชุมชนไม่น้อยวิ่งออกจากบ้านมามุงดู
หากไม่ใช่เพราะที่หน้าอกเพื่อนเจ้าบ่าวติดดอกไม้ไว้ พวกเพื่อนบ้านก็คงนึกว่ามีคนจะยกพวกตีกันไปแล้ว
เหล่าเพื่อนเจ้าสาวของเคอจื่อฉิงต่างก็รู้ว่าเฉินเฟิงรวย จึงกั้นประตูไว้และขอซองแดงไม่หยุด
ในตอนแรกเคอจื่อฉิงยังพออดทนได้ แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ ของหล่อนเริ่มไม่รู้จักพอมากขึ้นเรื่อยๆ หล่อนก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป
หล่อนงัดฝีมือยูโดที่แท้จริงของตัวเองออกมา และเปิดศึกต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเหล่าเพื่อนเจ้าสาวพร้อมปิ่นหงส์ทองที่ปักอยู่เต็มศีรษะ คว่ำพวกหล่อนลงไปกองกับพื้นหมดทุกคน
เมื่อประตูเปิดออก คนแรกที่วิ่งออกมานั้นไม่ใช่เจ้าสาว แต่เป็นหลินม่าย
ใกล้จะสิบโมงแล้ว เธอต้องไปตัดริบบิ้นที่สะพานลอย
นอกจากตัดริบบิ้นแล้ว ยังต้องไปต้อนรับผู้นำทั้งหลายด้วย
ยุ่งอยู่จนกระทั่งบ่ายสามกว่า หลินม่ายถึงกลับมาถึงบ้าน
พักผ่อนไปไม่กี่ชั่วโมง เธอก็รีบเร่งไปร่วมรอบปฐมทัศน์ที่โรงภาพยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของเจียงเฉิงอีกครั้ง
หลังจากชมภาพยนตร์เสร็จ ก็เปิดงานเลี้ยงฉลอง…จนเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ใกล้เวลาเที่ยงคืนแล้ว
แม้จะบอกว่าในยุคนี้ยังมีรถราไม่มาก และยังไม่มีกฎจราจรห้ามขับขี่รถในขณะเมาสุรา แต่หลินม่ายนั้นเป็นผู้ย้อนอดีตกลับมา จึงรู้ว่าอันตรายของการเมาแล้วขับนั้นมีมากแค่ไหน
งานเลี้ยงฉลองในคืนนี้เธอดื่มเหล้าไป แม้จะไม่มากแต่ก็ดื่มไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าขับรถ เธอวางแผนว่าจะเดินเท้ากลับบ้าน แล้วค่อยมาเอารถพรุ่งนี้
ที่งานเลี้ยงเมื่อครู่หลินม่ายดื่มเป็นไวน์แดง ตอนที่ดื่มก็ไม่รู้สึกอะไร รู้สึกเพียงรสชาติหวานฉ่ำกำลังดี
แต่ระหว่างทางกลับบ้าน ถูกลมอุ่นๆ ในเดือนพฤษภาคมพัดเข้า หลินม่ายก็รู้สึกเพียงหัวสมองมึนๆ เบลอๆ ไม่สดชื่นตื่นตัว
แม้แต่ตอนเดินก็ยังโซเซไปมา เท้าก้าวสูงบ้างต่ำบ้าง ราวกับย่างอยู่บนปุยฝ้าย
เธอคิดคำนวณภายในใจ เสี่ยวหม่านดื่มเก่งขนาดนั้น เลื่อนตำแหน่งให้เธอเป็นผู้ช่วยเสียเลย ต่อไปมีงานสังคมก็พาเสี่ยวหม่านมาด้วย ให้เธอช่วยดื่มแทนตน
ถึงอย่างไรถนนใหญ่ในเดือนพฤษภาคมก็มีผู้คนมากมาย แต่ในซอกซอยที่ห่างไกลกลับมีคนเดินเท้าน้อยนิด
ขณะที่หลินม่ายกำลังเดินผ่านตรอกห่างไกลที่มีแสงสลัวและไร้ซึ่งเงาคนเส้นหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งกระโดดออกมา ขวางทางของเธอเอาไว้
หลินม่ายเห็นว่าในมือของคนผู้นั้นถือเหล็กเส้นไว้เส้นหนึ่ง ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี เธอพลันสร่างเมาไปครึ่งหนึ่ง
เธอสะบัดศีรษะ พยายามทำให้หัวสมองปลอดโปร่ง จ้องมองเขม็ง คนที่มาขวางทางนั้นก็คือหม่าเทา!
หลินม่ายถอยไปข้างหลังสองก้าว ถามเสียงดังอย่างสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญ “นายคิดจะทำอะไร?”
“ฉันคิดจะทำอะไร?” หม่าเทาหัวเราะฮ่าๆ สองสามครั้ง “ประธานหลินฉลาดขนาดนี้ แต่ดูไม่ออกงั้นเหรอว่าฉันคิดจะทำอะไร? งั้นฉันจะบอกเธอ ฉันคิดจะจัดการเธอไงเล่า! เธออย่าคิดว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์เชียวล่ะ เธอไม่ได้บริสุทธิ์เลยแม้แต่นิดเดียว คนที่ยุยงให้จืออวิ๋นบังคับให้ฉันหย่ากับหล่อนก็คือเธอ จืออวิ๋นไม่แต่งงานใหม่กับฉัน เธอเองก็บงการอยู่เบื้องหลังไม่น้อยเหมือนกันสินะ แม้แต่ฉันอยากจะเอาตัวลูกชายของตัวเองคืน เธอก็ยังเข้ามาแส่ ตั้งแต่เธอปรากฏตัว ชีวิตของฉันก็ย่ำแย่ลง ในเมื่อเธอไม่ให้หนทางใช้ชีวิตกับฉัน งั้นฉันก็จะตัดหนทางมีชีวิตของเธอก่อน!”
พูดจบ เขาก็ยกเหล็กเส้นในมือขึ้น แล้วหวดมาทางหลินม่ายอย่างแรง
หากหวดลงมาบนร่างกาย ไม่ตายก็เจ็บ
ตัวร้ายในทีวีล้วนตายเพราะพูดพล่ามมากเกินไป ในความจริงเองก็ไม่ต่างกัน
หลินม่ายใช้ประโยชน์ในตอนที่หม่าเทาพูดฉอดๆ ระบายความคับแค้นในใจเมื่อครู่นี้ วางเท้าไว้ข้าง ๆ ท่อนไม้ท่อนหนึ่งอย่างเงียบๆ แล้ว
และในจังหวะที่หม่าเทายกเหล็กเส้นมาโจมตีเธอ เธอก็ตวัดเท้า ยกท่อนไม้นั้นลอยขึ้นมาจากพื้น เธอรับมันไว้ด้วยมือข้างเดียว และต้านรับกับเหล็กเส้นในมือของหม่าเทา การเคลื่อนต่อเนื่องสำเร็จกระบวนเพียงอึดใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1)เครื่องประดับทองสามอย่าง คือแหวนทอง ต่างหูทอง และสร้อยคอทอง
สารจากผู้แปล
อ้าว เมาแล้วขับรถไม่ได้ แล้วทำไมไม่ให้ใครที่ยังไม่เมาขับมาส่งบ้านล่ะม่ายจื่อเอ๊ย เดินออกมาคนเดียวตอนเที่ยงคืนมันก็เป็นความประมาทอย่างหนึ่งนะ ดีที่ไม่เจอคนเป็นสิบ สภาพเมาแบบนี้จะไปสู้อะไรใครได้ ต้องให้พี่หมอสั่งสอนหนักๆ สักที
ไหหม่า(海馬)