การเคลื่อนไหวของนางช้าเกินไป
หรือใครบางคนอาจจะเร็วเกินไป?
แม้กระทั่งเวลานี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังมีเหตุผล แต่ในเวลาเดียวกันนางก็พบว่าตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่คิด
เมื่อเห็นหนีเฟิ่งถูกผู้คนจำนวนมากอารักขาไปยังห้องที่อยู่ด้านใน ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงก้าวออกไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากตามเขาไป นางไม่คิดที่จะแก้ต่างให้ตัวเองอีกแล้ว สิ่งเดียวที่นางต้องการคือบอกให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยระวังตัว
หนีเฟิ่งเอาตัวเองเข้าบังเขาทันทีที่หมอกสีดำนั้นปรากฏขึ้น!
หากดูจากระยะเวลาแล้วมันย่อมเป็นไปไม่ได้!
นอกเสียจากว่าหนีเฟิ่งจะรู้อยู่แล้วว่าจะมีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นข้างหลังไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไมความคิดของนางถึงได้แจ่มชัดยิ่งขึ้นในเวลาเช่นนี้
อาจเป็นเพราะว่านางรู้เรื่องทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นกระมัง ไม่อย่างนั้นนางก็คงมองไม่เห็นความไม่ชอบมาพากลนี้
ทุกอย่างถูกวางแผนมาอย่างสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่
เรื่องนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ่งรู้สึกเป็นกังวล นางเรียกเขาด้วยคำว่าองค์ราชาหลายต่อหลายครั้ง
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเบื่อนางเสียแล้ว ในไม่ช้าร่างอันเย็นชาห่างเหินนั้นก็หายลับเข้าไปในท้องพระโรง เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมาเลยด้วยซ้ำ
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็สามารถปลดโซ่ทั้งหมดออกจากตัวได้สำเร็จ แต่กรงขังและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ขวางทางนางอยู่กลับไม่คิดที่จะปล่อยให้นางออกไป
ในเวลานั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กำหมัดแน่นแล้วต่อยกรงด้านหนึ่งอย่างไร้ซึ่งความปรานี ราวกับว่าความรู้สึกเจ็บปวดเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้นางสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้
ในที่สุดนางก็เข้าใจความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่า ช้าไปหนึ่งก้าว
ความรู้สึกสิ้นหวังนั้นเป็นสิ่งที่นางไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่านางจะพยายามมากเพียงใดก็ตาม
นางควรทำอย่างไรดี
นางควรทำอย่างไรต่อไป
เวลาจวนจะหมดแล้ว
นางควรทำอย่างไรถึงจะสามารถพาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคนที่แทบไม่รู้จักนางกลับไปกับนางได้
เป็นครั้งที่สองที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูก ครั้งแรกคือตอนที่นางค้นพบว่าพ่อนอกใจแม่…
เฮ่อเหลียนเวยเวยซบหน้าผากเข้ากับฝ่ามือ นางจะยอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้!
ในเมื่อตอนอยู่ที่สำนักไท่ไป๋นางสามารถไล่ตามเขาได้ นางเชื่อว่านางก็สามารถทำเช่นนั้นได้ที่นี่เหมือนกัน!
เพียงแต่คู่แข่งของนางฉลาดกว่านางก็เท่านั้น
นางเป็นประธานจอมเผด็จการ หลังจากนี้ตราบใดที่นางนำวิธีไล่ตามคนคนนั้นกลับมาทบทวนให้ดีละก็ วันพรุ่งนี้นางย่อมสามารถเอาชนะใจไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้อย่างแน่นอน!
….
ณ ห้องด้านใน หนีเฟิ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางซีดเซียวและดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มท่าทางห่างเหินที่อยู่ไม่ไกล
แม้เขาจะไม่ได้เป็นคนอุ้มนางเข้ามาด้วยตัวเอง แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่นางคาดไว้
เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ใครบางคนกำลังคิดตำหนิเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่
ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว
หนีเฟิ่งยังรู้สึกเจ็บอยู่ นิ้วของนางกำผ้าห่มแน่น แม้นางจะเป็นคนคิดแผนการนี้ขึ้นมา แต่มันก็เป็นตัวเลือกสุดท้ายของนาง
ตอนแรกนั้นทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับโผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องรีบลงมือ
เพื่อทุกสรรพสิ่งบนพื้นโลก นางมีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น…
“เจ็บหรือไม่” เสียงของชายหนุ่มให้ความรู้สึกเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษ มันไพเราะอย่างมาก แต่ก็อาจทำให้สิ้นใจได้ในเวลาเดียวกัน
หนีเฟิ่งอ่านความคิดของเขาไม่ออกเพราะดวงตาคู่นั้นของเขาเย็นชาเกินไป ดังนั้นนางจึงตอบได้เพียงแค่ว่า ”เจ็บเจ้าค่ะ”
จากนั้นเขาจึงยิ้มออกมา แต่ในรอยยิ้มของเขากลับไม่มีความอบอุ่นอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เขาเพียงแค่ยิ้มเป็นมารยาทเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น
เป็นอีกครั้งที่นางได้สัมผัสกับความรู้สึกเย็นชาไม่แยแสที่ชายหนุ่มแสดงออกยามอยู่ต่อหน้าทุกคน
เดิมทีนั้นนางคิดว่ามีเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็นความสง่างามของเขา แต่ในไม่ช้านางก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นเพียงคุณสมบัติหนึ่งของการเป็นปีศาจ
เขาปฏิบัติต่อทุกคนเช่นนี้มาโดยตลอด เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ เขาไม่แม้แต่จะแตะต้องนางเลยด้วยซ้ำ
แต่ตราบใดที่นางสามารถเริ่มต้นบทสนทนากับเขาได้ ก็ถือว่ามีพัฒนาการมากแล้ว
นางเชื่อว่าเมื่อนางช่วยชีวิตเขาเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือด้วยความจงใจก็ตามที อย่างไรเขาก็คงไม่สามารถลืมนางได้
หลังจากนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว เขาเดินออกจากห้อง และกลับไปที่วิหารแห่งแสงสว่างและปล่อยให้ผู้คนเหล่านั้นดูแลหนีเฟิ่ง
กิเลนอัคคีเดินตามหลังเขาด้วยความเคารพ ทันทีที่เห็นดวงตาอันเย็นชาของเขาชำเลืองมองไปยังตำแหน่งก่อนหน้านี้ มันก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า ”นายท่านไม่ต้องห่วงขอรับ จะไม่มีเหยื่อตนใดเข้าหรือออกไปจากวิหารแห่งแสงสว่างตามอำเภอใจอีก เว้นแต่ว่าวันหนึ่งนางจะยอมมาเป็นสัตว์พาหนะของท่านขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ หันมามองมัน สายตาของเขาเย็นชาสุดขั้ว! ทันใดนั้นความกดอากาศโดยรอบก็ดูเหมือนจะลดต่ำลงอย่างฉับพลัน
กิเลนอัคคีตัวแข็ง มันไม่กล้าหายใจออกมาแรงนัก ทำไมจู่ๆ นายท่านถึงโมโหขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุเช่นนี้ได้…
“จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเพิ่มปริมาณมื้อเย็นให้เจ้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ
กิเลนอัคคีรู้จักเขาดีพอที่จะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี เขาตอบอย่างรวดเร็วว่า ”นายท่าน ปริมาณมื้อเย็นของข้าตอนนี้กำลังดีเลยขอรับ ท่านไม่จำเป็นต้องเพิ่มให้ข้าหรอก ไม่จำเป็นจริงๆ!”
“เจ้าทุ่มเททำงานหนักเพื่อข้ามาตลอด ข้าจะไม่ตบรางวัลให้เจ้าได้อย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยช้าๆ ”ดูเหมือนว่าเจ้าคงเบื่อเนื้อวัวแล้ว เจ้าควรเปลี่ยนรสนิยมการกินเสียบ้าง ข้าจะให้เจ้ากินหัวไชเท้าหนึ่งร้อยหัวทุกคืน ถ้ากินไม่หมดไม่ต้องมาพบข้า ข้าต้องสอนบทเรียนให้เจ้า เจ้าจะได้ไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาในวิหารแห่งแสงสว่างได้ง่ายๆ…”
กิเลนอัคคี : …
เขาระบายความโกรธใส่ข้า!
เขาต้องระบายความโกรธใส่ข้าอยู่แน่ๆ!
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้เป็นนายโมโหมากไปกว่านี้ กิเลนอัคคีจึงรีบใช้กรงเล็บของตัวเองหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ที่เขาวางไว้บนโต๊ะไม้จันทน์ขึ้น และตั้งใจจะนำมันไปทิ้งอย่างเงียบๆ
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับจับมันได้คาหนังคาเขา สายตาของเขาเย็นชาอย่างมาก
กิเลนอัคคียืดหลังตรง แล้วเอ่ยว่า ”นายท่าน ในเมื่อแม่นางหนียอมเสียเลือดมากถึงเพียงนั้นเพื่อช่วยชีวิตท่าน นางจะต้องรู้สึกหนาวมากแน่นอนขอรับ เสื้อคลุมตัวนี้ดูหนาดี มันน่าจะมีประโยชน์นะขอรับ”
“เจ้าฉลาดขึ้นแล้ว” มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้นเหมือนยิ้ม
กิเลนอัคคีคิดว่ามันฟังดูเหมือนเป็นคำชม แต่มันกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ!
“เพิ่มหัวไชเท้าอีกห้าร้อยกรัมในมื้อเย็น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดพร้อมกับเหยียดยิ้ม ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อมองไปยังเสื้อคลุมตัวนั้น ”ข้าให้รางวัลแก่ความฉลาดของเจ้า”
กิเลนอัคคีร้องไห้ออกมา!
รางวัลนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าของเขาไม่มีสีหน้าใดปรากฏอยู่แม้แต่น้อย ”เอาผ้าห่มไปให้ผู้หญิงที่บาดเจ็บคนนั้นเพิ่มด้วย”
“ขอรับ” กิเลนอัคคีถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในที่สุดเขาก็กลับมาเป็นปกติ เฮ้อ…
ในไม่ช้าเหตุการณ์ที่หนีเฟิ่งช่วยชีวิตไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้จากการถูกลอบทำร้ายก็แพร่สะพัดไปทั่วแดนปีศาจ
แม้ปีศาจจะไม่มีความเป็นมนุษย์ แต่พวกเขาก็ได้รับการอบรมด้านศีลธรรมและความยุติธรรมมา เมื่อเห็นหนีเฟิ่งทำเช่นนั้น พวกเขาจึงเริ่มยอมรับนางจากก้นบึ้งของหัวใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีนัก อาจเป็นเพราะว่าสัตว์อสูรทุกตนหายไปรับใช้หนีเฟิ่งจนหมด ดังนั้นจึงทำให้มื้อเย็นของนางถูกลืมเลือน
นางได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นบ้างในบางเวลา พวกเขาล้วนแต่พูดคุยกันว่าหนีเฟิ่งที่อยู่ในห้องด้านในนั้นมีค่าเพียงใด
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองแผลบนหลังมือ นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและแน่นหน้าอกยิ่งนัก นางรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก
วังปีศาจจะหนาวจัดในยามค่ำคืน
ถึงอย่างไรเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นมนุษย์ ประกอบกับการที่นางไม่ได้กินมื้อเย็น และสภาพร่างกายในปัจจุบัน ดังนั้นท้ายที่สุดนางจึงไม่สามารถต้านทานสัญชาตญาณของร่างกายตัวเองได้ นางนึกถึงตอนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยป้อนข้าวนาง ก่อนจะหลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว นางขดตัวอยู่ในกรงราวกับจิ้งจอกตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ในที่สุดนางก็เผยให้เห็นด้านที่อ่อนแอที่สุดของตัวเองออกมา…