ตอนที่ 602 ไม่อาจหลบหนีได้สักคน
ฟางจั๋วหรานไปสนามสอบกับหลินม่ายสามวัน จนรู้ดีว่านักข่าวมักจะหนีร้อนกันไปอยู่ที่ไหน
ไม่ถึงสองนาที เขาก็คัดเลือกนักข่าวทั้งหมดได้
นักข่าวพวกนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครยื่นเอกสารภาษาอังกฤษภายในยี่สิบนาที นี่นับว่าเป็นข่าวใหญ่เลยทีเดียว
นักข่าวเหล่านี้มีทั้งนักข่าวจากทางสถานีโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ประจำมณฑล
นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ประจำมณฑลต่างคิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่านักข่าวจากสำนักหนังสือพิมพ์
ทันทีที่มาถึง พวกเขาก็วางไมโครโฟนสีดำจ่อปากของหลินม่าย แล้วเริ่มสัมภาษณ์ทันที
หนิวลี่ลี่ซึ่งเป็นเพื่อนของหลินม่ายยังไม่สามารถเบียดเสียดเข้าไปด้านในได้ เวลานี้หล่อนจึงต้องหยิบสมุดออกมาแล้วเริ่มจดบันทึกแทน
นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ถามขึ้น “ขอโทษนะคะสหายนักเรียน ข้อสอบภาษาอังกฤษสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ง่ายมากเหรอคะ? ทำไมคุณถึงส่งกระดาษคำตอบเร็วขนาดนั้น?”
หลินม่ายส่ายหัว “ไม่ค่ะ เป็นเพราะทักษะภาษาอังกฤษของฉันที่ยอดเยี่ยมมากกว่า กระดาษทดสอบวิชาภาษาอังกฤษมันง่ายเกินไปค่ะ แค่ครึ่งชั่วโมงก็มากพอแล้ว”
นักข่าวทั้งหมดพลันมีท่าทางแตกตื่น
นักข่าวโทรทัศน์ถามด้วยความสงสัย “คุณใช้เวลาทำข้อสอบภาษาอังกฤษแค่ครึ่งชั่วโมงเองเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ!” หลินม่ายตอบชัด “ถ้าไม่ใช่เพราะกฎบังคับว่าข้อสอบจะส่งได้ก็ต่อเมื่อเหลืออีกครึ่งชั่วโมงก่อนหมดเวลาสอบเท่านั้น แล้วถ้าฉันไม่ถูกผู้ตรวจใส่ร้าย ฉันคงได้ส่งคำตอบตั้งนานแล้ว”
เมื่อนักข่าวได้ยินอย่างนั้นแล้ว ทั้งหมดก็พ่นคำถามออกมามากมาย จนบรรยากาศตกอยู่ในความวุ่นวาย
“คุณบอกว่าถูกใส่ร้ายโดยผู้ตรวจหญิงงั้นเหรอคะ? เกิดอะไรขึ้นคะ? เล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังได้ไหม?”
“ได้แน่นอนค่ะ!” หลินม่ายเริ่มอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง
และเน้นย้ำว่าคำนำหน้าของผู้ตรวจหญิงคนนั้นไม่ตรงกับเอกสารในตอนท้าย
ในคราวแรกหล่อนใส่ร้ายว่าเธอส่งคำตอบให้กับคนอื่น ๆ ด้วย
เมื่อหลินม่ายถามว่าทำไมไม่เปรียบเทียบข้อความในกระดาษคำตอบกับลูกบอลกระดาษนี้ อีกฝ่ายถึงกับเปลี่ยนคำพูดโดยยืนยันว่ามีคนอื่นบอกคำตอบให้กับเธอ
หลินม่ายยิ้มให้กับนักข่าว “พวกคุณคงจะทราบอยู่แล้วว่าคะแนนรวมของข้อสอบภาษาอังกฤษอยู่ที่ 120 คะแนน ฉันไม่กล้าจะรับประกันว่าฉันจะได้เต็ม 120 คะแนน แต่ถ้าสัก 110 ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ฉันเลยอยากถามทุกคน ในเมื่อฉันเก่งภาษาอังกฤษมากขนาดนี้ แล้วใครคะที่จะมาส่งคำตอบให้ฉัน?”
ทันใดนั้น ระฆังหมดเวลาสอบก็ดังขึ้น
หลินม่ายรีบขอโทษนักข่าว “ฉันขอโทษนะคะ แต่ฉันต้องเข้าไปดูว่าผู้สมัครที่ขว้างลูกบอลกระดาษใส่ฉันเป็นใคร บางทีถ้าถามจากปากของเขา ฉันอาจจะทราบว่าทำไมผู้ตรวจหญิงคนนั้นถึงต้องทำกับฉันอย่างนี้”
เรื่องราวน่าสนใจอย่างนี้ ใครอยู่แถวนี้ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด
เหล่าบรรดานักข่าวจึงรีบรุดตามไปสัมภาษณ์
ยุคนี้นักข่าวมีอำนาจมาก ต่อให้เป็นผู้คุมสอบก็ไม่สามารถห้ามได้ ถึงอยากจะห้ามแค่ไหนก็ต้องปล่อยให้สัมภาษณ์
ผู้เข้าสอบที่ขว้างลูกบอลกระดาษใส่หลินม่ายอย่างมุ่งร้ายถูกพบเจออย่างรวดเร็วจากการเปรียบเทียบลายมือ พบว่าเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่ภายในห้องทำงานของผู้คุมสอบ
ยิ่งเห็นนักข่าวจำนวนมากทะลักเข้ามา เช่นเดียวกับหลินม่ายพร้อมกับชายร่างสูงหล่อเหลาข้างกายเธอ เขาก็ยิ่งตกใจ ภาวนาขอให้ตนตายไปเสียที จะได้ไม่ต้องพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายอย่างนี้อีก
โดยเฉพาะชายที่ยืนข้างกายของหลินม่าย สายตาคมปลาบคู่นั้นราวกับใบมีดที่กำลังทิ่มแทงร่างกายของเขาให้พรุน มันน่ากลัวเกินกว่าจะรับไหว
เมื่อผู้คุมถามว่าทำไมเขาถึงจงใจขว้างลูกบอลกระดาษใส่หลินม่าย
คน ๆ นั้นยังคงยืนยันหนักแน่นว่าเขาเพียงแค่เบื่อหน่าย และอยากทำอะไรสนุก ๆ เท่านั้น
ทันทีที่พูดออกมา นักข่าวทั้งหมดรีบถามคำถามต่อทันที
คำถามพวกนั้นค่อนข้างยุ่งยาก และซับซ้อนพอสมควร ผู้เข้าสอบคนนั้นแทบจะไม่สามารถจัดการกับมันได้เลย
เมื่อมีปัญหาวุ่นวายมากเกินไป เขาก็ไม่สามารถอดทนต่อสิ่งเร้าได้ และค่อย ๆ เปิดเผยท่าทางของตัวเอง
ท้ายที่สุด เขาสารภาพออกมาว่าที่ปาลูกบอลกระดาษใส่โต๊ะของหลินม่ายเพราะมีคนให้เงินเขา 1,000 หยวนก่อนเข้าสอบ
เขาคิดว่าผลการเรียนของเขาแย่มาก และไม่มีความหวังที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ถ้าเขาตอบตกลง เขาก็จะได้รับเงิน 1,000 หยวนฟรีๆ แล้วทำไมเขาต้องปฏิเสธมันด้วยล่ะ?
แต่ไม่คาดคิดว่าด้วยความคิดนี้จะทำลายตัวเขาเองอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ผู้เข้าสอบพูดอย่างนั้น เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ
เวลานี้นักข่าวไม่สนว่าเขาอึดอัดแค่ไหน พวกเขายังคอยถามต่อไปว่ามันเกี่ยวข้องกับผู้คุมหญิงคนนั้นไหม
เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการขว้างลูกบอล และผู้ตรวจหญิงมีหน้าที่ใส่ร้ายหลินม่าย
ผู้เข้าสอบเพียงแค่ส่ายหัวแล้วตอบกลับ “ผมไม่รู้ รู้แค่ต้องโยนลูกบอลกระดาษลงบนโต๊ะของเพื่อนร่วมห้องสอบที่ชื่อหลินม่ายเท่านั้น”
ก่อนหน้านี้หลินม่ายจึงสงสัยว่าคนขว้างลูกบอลกระดาษเกี่ยวข้องกับผู้คุมหญิง เพราะผู้คุมหญิงคนนั้นดูสงบและยังผ่อนคลายมากด้วย
ปรากฏว่าผู้คุมหญิงคนนั้นไม่เกี่ยวข้อง
ผู้สมัครคนนี้ก็ไม่เคยรู้จักกับหล่อนมาก่อน หลินม่ายจึงเริ่มวิเคราะห์ ความเป็นไปได้มีเพียงอย่างเดียว
นั่นก็คือพวกเขาทั้งสองคนได้รับสินบน และต่างคนเพียงแค่ต่างทำหน้าที่ตัวเองให้เสร็จ ทั้งสองไม่รู้จักกัน และพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ดังนั้นจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่าย
เวลานี้จึงต้องสืบสวนหาผู้บงการเท่านั้น
เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ
เมื่อเห็นว่าผู้เข้าสอบไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับตน ผู้คุมหญิงก็ปฏิเสธว่าหล่อนได้รับสินบนมา
หล่อนยืนยันว่านับตั้งแต่ที่แฟนของเธอถูกนังจิ้งจอกล่อลวงจนหย่าร้างกันก็รู้สึกว่าตนเองมีความผิดปกติทางจิตใจ และรู้สึกไม่พอใจเมื่อได้พบเจอกับผู้หญิงสวย ๆ
หลินม่ายกลายเป็นเหยื่อของหล่อนผู้มีจิตไม่ปกติ
แน่นอนว่าหลินม่ายไม่เชื่อเรื่องไร้สาระที่หล่อนกุขึ้นมา
แต่ผู้คุมหญิงคิดว่าตราบใดที่ตนปฏิเสธ ตำรวจก็จะไม่สามารถทำอะไรได้
แต่ผู้เข้าสอบคนนั้นทนแรงกดดันไม่ไหว และสารภาพรูปร่างหน้าตาคนที่ติดสินบนเขาออกมา
ตำรวจค้นพบบุคคลนั้นอย่างรวดเร็ว
แต่บุคคลนั้นกลับรับเงินมา แล้วส่งงานต่อในอีกทอด โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้บงการเบื้องหลังที่แท้จริง
ตำรวจตามหาจากเส้นทางการเงิน และพยายามสืบสวนอยู่นาน จนในที่สุดก็พบว่าเป็นหวังเหวินฟาง
เพราะหวังเหวินฟางเกลียดชังหลินม่ายที่มีปัญหากับครอบครัวของหล่อน เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย หล่อนจึงต้องการทำลายการสอบคราวนี้ ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นคนโกง และทำลายอนาคตสวยงามทั้งหมดทิ้งซะ
หวังเหวินฟางไม่เพียงแต่อธิบายถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุ แต่ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้คุมหญิงที่ติดสินบนเอาไว้ด้วย
ผู้คุมหญิงคิดว่าตนเองจะรอด แต่สุดท้ายก็ยังถูกจับกุมในที่สุด
หล่อนนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และพาลเกลียดชังหวังเหวินฟางไปด้วย
ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเพื่อไขปริศนาของคดี
หลินม่ายรู้แล้วว่าทุกอย่างมีหวังเหวินฟางเป็นผู้บงการเบื้องหลัง นั่นคือเหตุผลที่หวังเหวินฟางคิดทำร้ายเธอโดยไม่เปิดเผยตัวตน ทั้งบอกกล่าวกับคุณยายฟางและคนอื่น ๆ เกี่ยวกับแผนการของตัวเองว่าจะลอบสังหารเธอในมื้อค่ำด้วย
เธอมองฟางจั๋วเยวี่ยและพูดว่า “ฉันไม่ได้บอกเหรอว่าที่ฉันไม่ตอบโต้เพราะเห็นแก่หน้าของจั๋วเยวี่ย แต่ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะทำตัวแย่ลงขนาดนี้”
ฟางจั๋วเยวี่ยเงยหน้าขึ้นจากชามข้าวก่อนจะตอบว่า “พี่สะใภ้คงต้องเจอเรื่องอย่างนี้ในอนาคตอีกแน่ ไม่ต้องมองผมอย่างนั้นหรอก ใครจะทำอะไรก็ทำ ทั้งหมดก็เป็นความผิดของแม่ผมเอง”
หลินม่ายพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ น้องเขยของเธอมีความยุติธรรมมากจริง ๆ!
หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หลินม่ายก็ทุ่มเทให้กับงาน
อาคารขายส่งเสื้อผ้าบนท้องถนนถนนฮั่นเจิ้งถูกสร้างขึ้น พร้อมเปิดให้เช่าแล้ว
โรงงานใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว เหลือเพียงการเก็บงานเล็กน้อยเท่านั้น
เป็นเพราะสร้างโรงงานขึ้นใหม่ จึงต้องจัดหาพนักงานและซื้ออุปกรณ์จำนวนมาก
โดยเฉพาะขนมอบจะถูกผลิตในโรงงานอาหารแบบครบวงจร จากนั้นค่อยส่งไปยังร้านค้าในเครือทั้งหมดภายหลัง
ด้วยวิธีนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้แรงงานคนเพียงอย่างเดียวในขั้นตอนนวดแป้ง ยัดไส้ และผสมแป้ง จำต้องใช้เครื่องจักรมาช่วยผลิต
แม้ต้นทุนแรงงานในแผ่นดินแห่งนี้จะถูกมาก แต่ต่อให้ถูกแค่ไหนก็ยังแพงกว่าเครื่องจักร
การค้นหาพนักงานนี้ไม่เพียงแต่รับสมัครพนักงานในหน้าร้านเท่านั้น แต่ยังรับสมัครพนักงานในสายการผลิตด้วย
เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น ก็ยิ่งต้องการกำลังคนจำนวนมาก
การค้นหาบุคลากรนี้ใช้เวลาถึง 5 วันเต็ม มันไม่เพียงแต่ทำให้แผนกต่าง ๆ สมบูรณ์แบบ แต่ยังทำให้กฏระเบียบและข้อบังคับถูกใช้งานโดยสมบูรณ์ด้วย
พนักงานแนวหน้าที่บริษัทคัดเลือกในคราวนี้ส่วนใหญ่แล้วรับสมัครจากพนักงานที่เคยทำงานโรงงานเสื้อผ้าและโรงงานเครื่องประดับเป็นหลัก
ตราบใดที่ผู้พิการยังสามารถทำงานได้ เช่น ติดตาไก่ ติดกระดุมในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า หลินม่ายก็จะคัดเลือกผู้พิการที่มีความเฉลียวฉลาดสำหรับงานประเภทนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ยังไม่สามารถใช้เครื่องจักรดูแลได้
เมื่อก่อนโรงงานเครื่องประดับรับสมัครผู้พิการทุกคน แต่เวลานี้มีงานที่หลากหลาย และบางงานจำเป็นต้องใช้สายตาที่มากขึ้น คนพิการจึงไม่สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับคนปกติ
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ไป่ซิ่งเซิงหัวกลับมีการเผยแพร่ข่าวให้ร้ายออกไปเป็นวงกว้าง โดยบอกกล่าวว่าโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอจัดจ้างผู้พิการเมื่อเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งเป็นการเล่นกับอารมณ์ของผู้บริโภค ใช้ความสงสารเพื่อล่อลวงคน
แต่เมื่อกิจการยิ่งใหญ่และเติบโต ก็จะผลักไสคนพิการออกไปอย่างน่ารังเกียจ การกระทำเหล่านี้ไม่อาจรับได้
การใส่ร้ายในคราวนี้สร้างผลกระทบรุนแรงต่อโรงงานเครื่องประดับ และทำให้ยอดขายตกลงอย่างมาก แน่นอนว่าหลินม่ายไม่อาจเพิกเฉยได้แม้จะต้องการทำอย่างนั้นก็ตาม
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จับยัยป้านั่นได้ไหมคะ จับได้แล้วดำเนินคดีอย่างไรบ้างคะ
คราวนี้ใครให้เฟคนิวส์กับสำนักหนังสือพิมพ์อีกล่ะ
ไหหม่า(海馬)