เมื่อจิ่นเกอได้ยินเช่นนั้น ก็วิ่งไปหาไท่ฮูหยินราวกับได้พบสหายรู้ใจ
ไท่ฮูหยินโอบกอดเขา “นี่เป็นความตั้งใจของจิ่นเกอของพวกเรา ความตั้งใจสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด มิเช่นนั้นจะมีคำกล่าวที่ว่า ‘เดินทางพันลี้เพื่อมอบขนหงส์[1]’ ได้อย่างไร จิ่นเกอของพวกเราเก็บส้มมาอย่างยากลำบาก ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนได้ชิมส้มสดๆ จากต้น ใช่หรือไม่จิ่นเกอ”
จิ่นเกอพยักหน้า มุดอยู่ในอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน ดวงตายิ้มจนเป็นรูปจันทร์เสี้ยว สีหน้าเบิกบานใจ
สวีซื่ออวี้มาพอดี
เมื่อเห็นส้มกองใหญ่อยู่บนโต๊ะ เขาก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก “เก็บส้มมาเยอะขนาดนี้เลยหรือ!”
จิ่นเกอตบถุงกระสอบปักลายดอกเบญจมาศสีน้ำเงินที่แขวนอยู่บนตัวเขา พูดโอ้อวดว่า “ท่านแม่ทำให้ข้า สามารถใส่ส้มได้เยอะแยะเลย”
สวีซื่ออวี้ยิ้มพลางมองถุงกระสอบที่แขวนอยู่บนแผ่นอกของเขา สายกระสอบไม่ยาว ปากถุงอยู่ตรงแผ่นอกของจิ่นเกอพอดี รูปร่างดูแปลกเล็กน้อย แต่กลับสะดวกสำหรับการเก็บส้มเป็นอย่างมาก
เมื่อจิ่นเกอเห็นว่าเขากำลังจ้องมองตัวเองก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ วิ่งไปที่โต๊ะแล้วหยิบส้มหนึ่งลูกส่งให้สวีซื่ออวี้ “พี่สองทานส้มขอรับ!”
สวีซื่ออวี้ยิ้มพลางรับส้มมา
สวีลิ่งอี๋ถามเขา “วันนี้ไม่ออกไปข้างนอกหรือ”
สวีซื่ออวี้ตอบอย่างนอบน้อม “ทุกคนเอาแต่เป็นห่วงเรื่องผลสอบ ข้าเองก็ไม่มีอารมณ์จะออกไปไหน ก็เลยอ่านหนังสืออยู่ที่เรือนขอรับ”
“ในเมื่อสอบเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรมากแล้ว” เห็นได้ชัดว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของสวีซื่ออวี้ น้ำเสียงฟังดูเหมือนกำลังสั่งสอนเล็กน้อย “ทำในสิ่งที่ควรทำก็พอแล้ว หากสอบผ่าน ก็ไม่ต้องไปโอ้อวด หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล หากสอบไม่ผ่าน ก็ไม่ต้องท้อแท้ ยังมีโอกาสอีก เจ้าอายุยังน้อย ในภายภาคหน้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอเรื่องผิดหวังอีกกี่ครั้ง ครั้งนี้เป็นการสอบครั้งแรกก็ตื่นเต้นแบบนี้ ต่อไปจะไม่ตื่นตระหนกจนเลอะเลือนไปเลยหรือ”
สวีซื่ออวี้ได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้น ตอบอย่างเคร่งขรึม “ขอรับ” แล้วพูดต่ออีกว่า “เป็นลูกที่เรียนรู้ไม่พอ ลูกจะจดจำคำสอนของท่านพ่อ!”
บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียดด้วยคำถามและคำตอบของสองพ่อลูก
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยที่นั่งอยู่ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็หัวเราะ “เอาล่ะ เอาล่ะ! ไม่บ่อยนักที่อากาศจะปลอดโปร่งเย็นสบายอย่างเช่นวันนี้ เด็กๆ ได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง เจ้าไม่ต้องตำหนิเด็กๆ แล้ว มีเรื่องอันใด อีกสักครู่ค่อยเรียกเด็กๆ ไปพูดคุยที่ห้องหนังสือก็แล้วกัน”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางขานรับ “ขอรับ”
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยต่างก็โล่งอก
จิ่นเกอเร่งเร้าสวีซื่ออวี้ “พี่สองกินส้มสิขอรับ!”
คงอยากจะช่วยแก้สถานการณ์ให้ตนกระมัง
สวีซื่อวี้ยิ้มขอบคุณจิ่นเกอ ปอกเปลือกส้มอย่างรวดเร็ว แบ่งให้จิ่นเกอหนึ่งกลีบ
จิ่นเกอส่ายหน้า “พี่สองกินเถิด!” ดวงตาหงส์กลมโตมองเขาตาปริบๆ
มีอาหารและสุราเลิศรสต้องให้ผู้สูงอายุก่อน ระหว่างพี่น้องก็ต้องคำนึงถึงความอาวุโส
สวีซื่ออวี้ยิ้มพลางกำลังจะเอาส้มเข้าปาก
สืออีเหนียง สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย ทั้งสามคนพลันตะโกนขึ้นพร้อมกันว่า “อวี้เกอ/พี่สอง” แล้วพูดต่อไปว่า “ส้มมันเปรี้ยวมาก!”
สวีซื่ออวี้สะดุ้งตกใจ
เห็นเพียงสีหน้าของจิ่นเกอที่เผยให้เห็นอารมณ์ไม่พอใจอยู่แวบหนึ่ง หันกลับไปจ้องสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ย
เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ได้พูดอะไรมาก ยิ้มพลางหยิบส้มใส่ปาก เคี้ยวอยู่สองสามครั้งแล้วกลืนลงไป
“แม้ว่าจะไม่หวาน แต่ก็ไม่ได้เปรี้ยว!” สวีซื่ออวี้มองสวีซื่อเจี้ยด้วยสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูด
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยท่าทางมึนงง สืออีเหนียงเองก็ประหลาดใจอย่างมาก ส่วนจิ่นเกอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหยิบส้มเข้าปาก
แต่พอเคี้ยวไปได้ครู่เดียวก็อุทาน “แหวะ!” แล้วคายส้มออกมา “เปรี้ยวมาก เปรี้ยวมาก!” เขาจ้องสวีซื่ออวี้ตาโต “พี่สอง ท่านหลอกข้า!” สีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
สวีซื่ออวี้เหลือบมองสืออีเหนียงอย่างรวดเร็ว
สืออีเหนียงกำลังปิดปากหัวเราะเงียบๆ ไม่ได้มีท่าทางไม่พอใจ
ในใจเขาสงบลง จ้องมองจิ่นเกอ พูดช้าๆ ว่า “ข้าโกหกเจ้าเมื่อไรกัน” สีหน้าดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร “ข้าลองทานแล้วไม่เปรี้ยวเลยสักนิด…” พูดพลางหยิบส้มใส่ปาก “มันไม่เปรี้ยวจริงๆ!” เขาเน้นย้ำ สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ยื่นส้มที่เหลือไปตรงหน้าจิ่นเกอ “หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูสิ”
จิ่นเกอลังเลเล็กน้อย
“คนเจ้าเล่ห์!” ไท่ฮูหยินหัวเราะพลางว่าสวีซื่ออวี้
เมื่อได้ยินดังนั้นจิ่นเกอก็เข้าใจในทันที เขาวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน “พี่สองหลอกข้า! ข้าไม่หลงกลหรอก!” มองสวีซื่ออวี้อย่างมีชัย
สวีซื่ออวี้แสร้งทำเป็นถอนหายใจอย่างหมดปัญญา “เป็นเพราะท่านย่าคนเดียวเลย!”
จิ่นเกอเม้มปากลอบหัวเราะ
ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะ
มีเพียงสวีซื่อเจี้ยที่ถามสวีซื่อจุนเบาๆ ว่า “ตกลงส้มนั้นเปรี้ยวหรือไม่เปรี้ยวกันแน่ ทำไมพี่สองไม่เห็นขมวดคิ้วเลย”
“เพราะว่าพี่สองกำลังหลอกน้องหกอยู่น่ะสิ!” สวีซื่อจุนพูดต่อไปว่า “ในเมื่อจะหลอกคน ก็ย่อมต้องแสร้งทำให้เหมือนจริงหน่อย”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า “ข้าก็ว่าอยู่ ส้มผลเดียวกัน เหตุใดกลีบหนึ่งเปรี้ยวแต่กลีบหนึ่งกลับไม่เปรี้ยว!” แล้วพูดต่อไปว่า “เช่นนั้นพี่สองจะไม่เปรี้ยวเข็ดฟันไปหมดแล้วหรือ”
สวีซื่อจุนพูดอย่างลังเลว่า “ก็คงจะเป็นเช่นนั้น พี่สองไม่กลัวเปรี้ยว หวังอวิ่นก็ไม่กลัวเผ็ด!”
พวกเขาคิดว่าตัวเองพูดเสียงเบา แต่กลับถูกไท่ฮูหยินและคนอื่นได้ยินอย่างชัดเจน บรรดาผู้ใหญ่อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ แม้แต่สาวใช้และบ่าวรับใช้ในห้องต่างก็พากันแอบหัวเราะเช่นกัน
ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านเรือนหลิงฉยงซานด้วยกลิ่นหอมยามเย็นของดอกไม้นับร้อยชนิด พัดพาความสุขไปตามเส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยววนของป่า ดอกไม้ใบหญ้าต่างก็พลิ้วไหวไปมาตามแรงลม
สืออีเหนียงยิ้มพลางมองวิวทิวทัศน์ตรงหน้า จิตใจของนางรู้สึกสงบสุข
เพียงแต่ว่าอารมณ์ปิติเช่นนี้มักจะอยู่ได้ไม่นาน
วันต่อมาผลการสอบก็ออก
สวีซื่ออวี้สอบไม่ผ่าน
ไท่ฮูหยินท่าทางตกตะลึง แต่ไม่นานก็กลับมาสงบดังเดิม “ชีวิตของคนเรานั้นย่อมมีขึ้นๆ ลงๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่ได้พบเรื่องเช่นนี้ในตอนที่ยังหนุ่มย่อมดีกว่าต้องพบเจอเรื่องเช่นนี้ในตอนที่อายุมากแล้วที่เหลือเวลาไม่มากแล้ว และไม่รู้ว่าจะจัดการการเปลี่ยนแปลงอย่างไร”
สืออีเหนียงพยักหน้า รู้สึกว่าที่ไท่ฮูหยินพูดนั้นมีเหตุผล
“เกรงว่าอวี้เกอจะเสียใจอยู่บ้าง!” นางพูดพึมพำว่า “สหายร่วมชั้นคนสนิทของเขาก็ดันอยู่ที่เล่ออานทั้งหมด ท่านว่าให้เขาไปพักผ่อนหย่อนใจที่เรือนซีซานสักระยะหนึ่งดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็ดี!” ไท่ฮูหยินพูดต่อไปว่า “เจ้าก็จะได้ใช้โอกาสนี้จัดการเรื่องงานแต่งของเขาเสียเลย”
สืออีเหนียงรับคำ ลุกขึ้นแล้วไปที่เรือนนอก
พอออกจากประตูฉุยฮวา กลับเห็นบ่าวรับใช้ข้างกายของสวีลิ่งอี๋
“ฮูหยินสี่ ท่านโหวให้ข้าน้อยมารายงานท่าน ท่านโหวกับคุณชายน้อยสองไปปีนเขาที่นอกเมืองกันแล้ว เย็นนี้ไม่กลับมาทานอาหารเย็นแล้วขอรับ”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
ดูเหมือนว่าน้อยนักที่สวีลิ่งอี๋จะมีช่วงเวลาที่อ่อนโยนเช่นนี้
นางยิ้มพลางให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นกลับไป เมื่อหันหลังกลับก็เห็นฮูหยินสอง
ฮูหยินสองตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นนาง
สืออีเหนียงยิ้มพลางถามฮูหยินสอง “พี่สะใภ้สองกำลังจะไปเยี่ยมอวี้เกอหรือ ท่านโหวกับเขาออกไปปีนเขาที่นอกเมืองแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้ พยักหน้าเล็กน้อย กลับเรือนในพร้อมกับสืออีเหนียง
เมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์ผ่านไป จะต้องเปลี่ยนดอกไม้พืชพรรณตามฤดูกาลอย่างเช่นดอกเบญจมาศ ต้นเอี้ยนไหลหง ต้นเจี้ยนหลาน จะเห็นว่าบรรดาบ่าวรับใช้จะพากันมาย้ายดอกไม้ เมื่อเห็นพวกนางเดินมา ก็พากันวางงานในมือลงแล้วย่อเข่าคำนับ ก้มหน้ายืนติดกำแพง
ทันใดนั้นฮูหยินสองก็หยุดฝีเท้าทันที
หันกลับไปมองสืออีเหนียง พูดเสียงเรียบว่า “หลิ่วเก๋อเหล่าเข้าร่วมการสอบสองครั้งติดกันกว่าจะสอบผ่านจู่เหริน ตอนนั้นเหลียงเก๋อเหล่าไม่ได้เข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ร่วงในปีที่สอง แต่สอบติดจู่เหรินในปีต่อๆ มา ส่วนเฉินเก๋อเหล่า โต้วเก๋อเหล่าก็ยิ่งอ่านหนังสืออย่างหนักหลังจากที่สอบติดจู่เหรินแล้วเป็นเวลาสิบปีกว่าจะสอบผ่านจอหงวน”
พูดขึ้นมาโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ แต่สืออีเหนียงกลับเข้าใจความหมายของนาง
คงกำลังปลอบตนว่าไม่ให้สนใจกับความพ่ายแพ้ของสวีซื่ออวี้มากเกินไปกระมัง!
แต่คำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากของนางยิ่งทำให้ฟังดู…แข็งกระด้างเล็กน้อย!
สืออีเหนียงกลั้นหัวเราะพลางพยักหน้า “ขอบคุณพี่สะใภ้สองที่เป็นห่วง บรรดาพี่ชายน้องชายสกุลเดิมของข้าก็ไม่ได้ผ่านการสอบอย่างราบรื่นในครั้งเดียวเช่นกัน”
ฮูหยินสองพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็แยกทางกับนาง
สืออีเหนียงมองด้านหลังของนางแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้ ยิ้มพลางหันหลังเดินกลับไปที่เรือนหลัก
จู๋เซียงกำลังรอนางอยู่ที่ห้องด้านใน
“ฮูหยิน วันนี้ตอนเช้าคุณชายสกุลโต้วให้คนนำเทียบเชิญมาส่งให้คุณชายน้อยสี่ อยากจะเชิญคุณชายน้อยสี่ไปชมดอกเบญจมาศที่จวนในเทศกาลวันเด็ก แต่คุณชายน้อยสี่อ้างว่ามีการบ้านเยอะจึงปฏิเสธไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ตั้งแต่วันนั้นที่สวีซื่อจุนบอกว่าโต้วจิ้งติดตามโต้วเก๋อเหล่าไปที่ซีซาน สืออีเหนียงก็ได้ให้จู๋เซียงไปสังเกตความเคลื่อนไหวของคุณชายสกุลโต้ว
ฝ่าบาทยังไม่ได้กลับเยี่ยนจิง แต่เทียบเชิญของโต้วจิ้งกลับมาถึงแล้ว…
“คุณชายโต้วกลับเยี่ยนจิงมาล่วงหน้าหรือ”
จู๋เซียงพูดเสียงเบาว่า “บ่าวได้ขอให้ผู้ดูแลจ้าวที่อยู่แผนกรายงานไปช่วยสืบมาให้แล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนีงตอบเพียง “อืม” แล้วไปที่ห้องโถงบุปผา
บรรดาผู้ดูแลหญิงที่กำลังกระซิบกระซาบกันต่างก็หุบยิ้มแล้วลุกขึ้นคำนับทันที
สืออีเหนียงขึ้นไปนั่งบนเตียงหลัวฮั่นในห้องโถง
สาวใช้น้อยนำชามาวางอย่างเงียบๆ
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก
ป้าหลีผู้ดูแลห้องครัวที่ยืนอยู่ด้านล่างพูดอย่างนอบน้อมว่า “ตามรายชื่อที่แผนกรายงานให้มา บ่าวได้คำนวณอย่างละเอียดแล้ว ประมาณแปดสิบโต๊ะต่อมื้อ เมื่อถึงวันฉลองอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมีหนึ่งร้อยยี่สิบโต๊ะเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงตั้งใจฟังอย่างละเอียด ใช้ความคิดจดจ่ออยู่กับงานแต่งของสวีซื่ออวี้
เมื่อออกมาจากห้องโถงบุปผา จู๋เซียงก็มารายงานว่า “คนที่โต้วเก๋อเหล่าพาไปด้วยนั้นคือบุตรชายคนโต ส่วนคุณชายสกุลโต้วที่นามว่าโต้วจิ้งไม่ได้ติดตามไปที่ซีซานด้วยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็เงียบไปนาน จากนั้นก็ไปหาสวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนไม่อยู่ที่เรือนของตัวเอง แต่อยู่ที่เรือนของสวีซื่อเจี้ย
สองพี่น้องกำลังทำโคมไฟอยู่ที่ห้องทำงาน
สวีซื่อจุนนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในห้องทำงาน “ข้าคิดว่าทำเป็นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมดีกว่า ในห้องพระของท่านย่ามีบูชาอยู่หนึ่งองค์ แต่ข้าก็กลัวว่าวันเด็กจะเกิดลมพัดแรง เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าจะพลิกคว่ำ”
สวีซื่อเจี้ยนั่งอยู่ที่เก้าอี้เล็กๆ ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยม ตรวจดูไม้ไผ่ที่เหลาเป็นแผ่นเรียบร้อยแล้ว “ไม่ใช่เรื่องยากเลย พวกเราก็แค่นำสร้อยรูปประคำมาสวมไว้ที่คอของพระโพธิสัตว์กวนอิมก็ได้แล้ว เช่นนี้ช่วงตัวของพระโพธิสัตว์ก็จะหนักเท่ากับฐานดอกบัว ต่อให้ลมพัดแรงก็ไม่ต้องกังวล”
“ใช่แล้ว!” สวีซื่อจุนพูดต่อไปว่า “เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึง” เขาไปนั่งบนเก้าอี้ไม้เล็กๆ ข้างสวีซื่อเจี้ย “เช่นนั้นข้าจะเป็นคนวาดสร้อยลูกประคำ ส่วนเจ้าก็ลองทำดู…”
สืออีเหนียงเดินออกมาจากเรือนของสวีซื่อเจี้ยเบาๆ กำชับสี่เอ๋อร์เสียงเบาว่า “ให้พวกเขาเล่นกันเถิด!อย่าบอกว่าข้ามาที่นี่”
สี่เอ๋อร์ย่อเข่าคำนับด้วยความงุนงง ขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วส่งนางที่ประตู
******
หลังจากทานบะหมี่อายุยืนของสวีลิ่งอี๋บแล้ว เมื่ออดีตสหายในกรมของสวีลิ่งอี๋หลายคนได้ยินว่าบุตรชายคนโตของสวีลิ่งอี๋กำลังจะแต่งงานแล้ว บ้างก็มาแสดงความยินดีกับเขาด้วยตัวเอง บ้างก็ส่งกุนซือคนสนิทให้นำของขวัญมามอบให้ หน้าจวนสกุลสวีมีการจราจรหนาแน่น ทุกคนในจวนต่างก็ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น
“ไม่จัดใหญ่ไม่ได้แล้ว!” สวีลิ่งอี๋ปวดหัวเล็กน้อย “คงจะเลือกรับของขวัญไม่ได้หรอกกระมัง เมื่อถึงเวลานั้นจะทำให้ทุกคนต่างก็ไม่พอใจ!”
“เช่นนั้นก็จัดให้ยิ่งใหญ่ไปเลย!” สืออีเหนียงยิ้ม เขย่าแขนสวีลิ่งอี๋เบาๆ “วันนั้นท่านโหวพูดอะไรกับอวี้เกอหรือเจ้าคะ หลังจากที่อวี้เกอกลับมาก็ท่าทางดูมีกำลังใจ ข้าว่าดูกระปรี้กระเปร่ากว่าก่อนสอบอยู่ไม่น้อย”
[1]เดินทางพันลี้เพื่อมอบขนหงส์ เป็นสำนวนหมายถึง แม้สิ่งของที่มอบให้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยแต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจและความปรารถนาดีของผู้มอบให้