“เฮ่อเหลียนเวยเวย สติปัญญาของข้าติดลบในความคิดของเจ้าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดสายตากลับไปมองนาง การเยาะเย้ยในสายตาของเขาทำให้หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยบีบตัวเข้าหากัน
แต่นางก็ยังยืนขึ้น ดวงตาสุกใสของนางมองตรงไปที่เขาพร้อมกับประกาศว่า “ข้ารู้ว่ามันอาจฟังดูงี่เง่า แต่ตอนนี้ท่านกำลังอยู่ในอดีตของตัวเอง ตัวท่านในปัจจุบันนี้เป็นเพียงแค่เศษชิ้นส่วนวิญญาณของตัวเองเท่านั้น”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ความไม่มั่นใจปรากฏขึ้นในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าในที่สุดเขาก็ยอมฟังนาง ดังนั้นนางจึงอธิบายให้เขาฟังโดยละเอียดว่านางมาที่นี่ได้อย่างไร กิเลนอัคคีทำอะไร และทำไมเขาถึงถูกผนึกขับไล่วิญญาณร้ายผนึกเอาไว้ได้ “ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้เตือนให้ท่านระวังหนีเฟิ่งเอาไว้” ศัตรูหัวใจควรถูกกำจัดไปตั้งแต่แรก
แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาหลังจากฟังเรื่องที่นางเล่าจบ
“ท่านไม่เชื่อข้าหรือ” เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงยกมือข้างซ้ายขึ้น “กิเลนอัคคีมอบด้ายแดงผูกวิญญาณเส้นนี้ให้กับข้าก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ มันบอกว่าข้าจะสามารถกลับไปได้ทันทีที่ตัดด้ายเส้นนี้ออก แต่ข้าจะไม่ตัดมันจนกว่าท่านจะยอมกลับไปกับข้า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเย็นชา “เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้ารู้อะไรมากทีเดียว แต่เจ้าไม่รู้หรือว่าผนึกขับไล่วิญญาณร้ายจะกักขังข้าได้ก็ต่อเมื่อข้าอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น”
อะไรนะ
ในเสี้ยววินาทีนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนร่วงลงไปในโพรงน้ำแข็ง นางตัวแข็งตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับเพิ่งถูกใครสักคนสาดน้ำเย็นใส่
ไม่เคยมีใครบอกเรื่องนี้กับนางมาก่อน แม้กระทั่งกิเลนอัคคีก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรนางก็ยังพยายามเกลี้ยมกล่อมให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตามนางกลับไปที่โลกมนุษย์ แต่เหตุผลพรรค์นี้จะทำให้เขาเชื่อนางได้อย่างไร
“เช่นนั้นก็ฆ่าข้าซะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มคิดที่จะยอมแพ้แล้ว
แต่ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็คว้ามือของนางเอาไว้ “ประโยคสุดท้ายที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้เป็นความจริงหรือ”
“ประโยคไหน” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามกลับโดยไม่รู้ตัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยดวงตาเย็นชา “ชายคนรักของเจ้าที่โลกมนุษย์ก็คือข้า”
“จริงแท้แน่นอน พวกเราแต่งงานกันแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นท่านก็ยังเคยให้สัญญากับข้าเอาไว้อีกด้วยว่าท่านจะรักข้าไปชั่วชีวิต ท่านจะไม่มีทางไปจากข้าหรือทิ้งข้าเด็ดขาด” เฮ่อเหลียนเวยเวยแต่งประโยคสุดท้ายขึ้นมาเอง นางคิดว่าอย่างไรเขาก็คงไม่เชื่อนางอยู่แล้ว ดังนั้นสู้นางพูดทุกสิ่งตามที่ใจอยากออกมาคงดีกว่า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องตานางเนิ่นนาน มันนานเสียจนเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าสายตาของเขาแทบจะแทงทะลุเข้าไปในใบหน้าของนางเสียแล้ว
จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะพูดเช่นนั้นออกมาได้”
“ท่านก็รู้ตัวนี่นาว่าชีวิตนี้ตัวเองคงทำตัวใจดีกับคนอื่นเขาไม่เป็น” เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำกับตัวเองเสียงเบา
ดวงตาเรียวทรงเสน่ห์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ลงช้าๆ “เจ้าว่าอะไรนะ”
“ทุกอย่างที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ ข้าก็แค่พูดเพื่อยั่วโมโหท่านเท่านั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมแพ้อย่างรู้เวลา
น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมาอบอุ่น “แบบนี้ค่อยสมเป็นเจ้าหน่อย”
“ท่านเชื่อข้าแล้วหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อนข้างประหลาดใจ หากดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดเลยด้วยซ้ำ ฝ่าบาทกลายเป็นคนว่าง่ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะออกมาเบาๆ ทันทีที่มองนาง จากนั้นเขาก็กักขังนางเอาไว้กับกำแพง “เพราะข้ารู้น่ะสิว่าถ้าข้ายังไม่ยอมเชื่อเจ้า เจ้าก็จะเอาแต่ตามกวนใจข้าไม่เลิก นอกจากใช้ลูกไม้นี้แล้วเจ้ายังมีลูกไม้อื่นอีกหรือ”
“ข้ายังมีอีกเยอะทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยมีประสบการณ์โชกโชนในเรื่องนี้ นางไม่ได้อ่านร้อยแปดวิธีเอาใจ ‘ภรรยา’ เล่นๆ เสียหน่อย “ท่านไม่ได้เชื่อข้าแค่เพราะข้ากวนใจท่านใช่หรือเปล่า ที่จริงข้ายังมีแผนอื่นเตรียมไว้อีก”
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลึกล้ำ “เจ้าวางแผนจะทำอะไรอีก”
“จูบท่านน่ะสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบด้วยน้ำเสียงเย้ายวน พร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ท่านคงยังไม่รู้ แต่ก่อนหน้านี้ท่านเคยวิจารณ์วิธีที่ข้าใช้ขอความรักจากคนอื่นเอาไว้ ท่านบอกว่าไม่มีของขวัญใดจะดีไปกว่าการ… อืม…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสัมผัสได้ถึงความเย็นที่นางคุ้นเคยบนริมฝีปาก คำพูดต่อไปของนางถูกกลบด้วยจูบของเขา
หลังจากนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงเลียริมฝีปากของนางด้วยปลายลิ้นราวกับยังไม่พอใจ เขาใช้น้ำเสียงเย็นชาเหมือนในยามปกตินั้นถามขึ้นว่า “แบบนี้หรือ”
ใบหูของเฮ่อเหลียนเวยเวยแดงก่ำ นางข่มความรู้สึกชาที่เกิดขึ้นพร้อมกับกระแอมว่า “ทำไมท่านถึงเชื่อข้าล่ะ”
“เพราะเจ้าสามารถหนีไปได้ แต่เจ้าเลือกกลับมาที่นี่ อีกทั้งยังนอนกอดมงกุฎนั่นอย่างกับคนโง่น่ะสิ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปกอดนาง ช่องว่างที่เคยมีตอนนี้กลับได้รับการเติมเต็มโดยสมบูรณ์
เฮ่อเหลียนเวยเวย :… ทำไมฝ่าบาทต้องทำร้ายนางด้วยคำพูดทุกครั้งที่ชมนางด้วยหรือ
“นอกจากนั้น ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องเศษชิ้นส่วนวิญญาณ ข้าไม่เคยบอกใครเรื่องนั้นมาก่อน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลูบด้ายสีแดงที่ข้อมือของนาง “รวมถึงด้ายแดงผูกวิญญาณเส้นนี้ด้วย เดิมทีแล้วมันเคยเป็นของข้า”
ตอนนี้คนที่สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวย “ท่านรู้เรื่องเศษชิ้นส่วนวิญญาณล่วงหน้าได้อย่างไร”
“ไม่ใช่ว่าข้ารู้ล่วงหน้า แต่ตั้งแต่ตอนที่ข้าตกลงมาจากสวรรค์ ข้าก็สามารถควบคุมวิญญาณของตัวเองได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างหรือแยกส่วนมันได้อีกด้วย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ “ดูเหมือนผนึกขับไล่วิญญาณร้ายที่เจ้าพูดถึงคงแข็งแกร่งมากทีเดียว ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องแยกวิญญาณของตัวเองออกเช่นนี้”
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็สบโอกาส “สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการที่ท่านถูกหักหลัง ผนึกที่ว่านั่นเป็นเรื่องหลังจากนี้” ในเวลานี้นางจำเป็นต้องหยิบเรื่องตัวตนของศัตรูหัวใจคนนั้นมาบอกเขา!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมสามารถอ่านใจนางได้ ริมฝีปากบางของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันงดงาม “ข้าจะตามเจ้ากลับไปที่โลกมนุษย์”
“ไม่ได้ คนพวกนั้นอาจจะรอโอกาสนี้อยู่ พวกเขาจะได้ใช้ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายกับท่าน ดังนั้นท่านจะไปที่นั่นไม่ได้” หากเป็นเมื่อก่อนเฮ่อเหลียนเวยเวยคงจะดีใจราวกับขึ้นสวรรค์ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ แต่การพาเขาไปที่โลกมนุษย์ในเวลานี้ย่อมเท่ากับการทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เขาเคยเผชิญมาก่อน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตานางอย่างลึกซึ้ง นิ้วของเขาไล้ไปตามแก้มของนางและสัมผัสกับความอบอุ่นนั้น “ข้าชอบคนโง่เขลาเช่นเจ้าได้อย่างไรกัน”
“ข้าโง่หรือ เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่าท่านชอบข้าหรือ” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย
ในเวลานี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเลี้ยงลูกสุนัขอยู่ก็ไม่ปาน แต่เป็นสุนัขพันธุ์ที่ไม่มีทางตายได้ง่ายๆ
ไม่เคยมีครั้งไหนที่วิญญาณดวงใดจะสามารถทำให้เขาสับสนได้ถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถผลักไสนางออกไปได้
เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่านางเป็นดั่งดวงตะวันในโลกมนุษย์ นางไม่เคยรู้ว่าความเหน็ดเหนื่อยคืออะไร
แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่านางเองก็เหนื่อยเป็นเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นนางคงไม่มีทางผล็อยหลับไปที่หน้าประตูแน่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอุ้มนางขึ้นแล้ววางนางลงบนโลงเลือดของเขา โลงนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นของเขา มันทำให้นางรู้สึกราวกับถูกสะกดจิต
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเพียงว่าเปลือกตาของนางกำลังจะปิด นางได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยขึ้นว่า “ทางเดียวที่ข้าจะสามารถกลับไปได้ก็คือปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรเป็น ไม่อย่างนั้นตัวตนของข้าคนที่เจ้ารู้จักก็จะหายไป…”
หลังจากพูดจบ ชายที่อยู่ตรงหน้านางก็พลันกลายเป็นสายหมอก เขามุ่งหน้าไปที่โลกมนุษย์พร้อมกับกิเลนอัคคี
แสงแห่งพระธรรมสาดส่องลงมาที่แดนปีศาจ ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายถูกเปิดใช้งาน
ในโลงเลือดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมงกุฎในมือแน่น เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โลกที่อยู่รอบตัวนางก็พลันเปลี่ยนไป…