แม้ว่าในที่ลับฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ถูกกับนาง แต่ในที่แจ้งกลับยังคงให้เกียรตินางเต็มที่
นางจำได้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่า แม้นางจะไม่ได้เคารพนบนอบมากนัก แต่กลับแสดงความเคารพ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบด้วยท่าทีที่ทำให้ผู้คนหาข้อผิดพลาดไม่เจอ
ไม่ว่าผู้ใดจะมาล้วนทำความเคารพและทักทายฮูหยินผู้เฒ่าก่อน แล้วค่อยทำความเคารพนางผู้เป็นฮูหยินหัวหน้าตระกูล
ดูท่า เบื้องหน้าทำทีว่ามาเยี่ยมนาง แต่ลับหลังจะต้องได้ยินมาว่า นางไม่ไปเรียนรู้การปกครองเรือนหลังกับฮูหยินผู้เฒ่า ถึงได้มาแสดงอำนาจกับนาง
หากวันนี้นางไม่โจมตีกลับ ในภายหลังเกรงว่าจะหนักข้อยิ่งกว่านี้แน่นอน
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เอ่ยอันใด ก็ไม่สะดวกที่จะตำหนิตรงๆ
ซุนหมัวมัวกลับเป็นคนรู้เหตุรู้ผล
“ฮูหยินสี่ แม้ว่าฮูหยินของบ่าวจะเป็นผู้เยาว์ แต่ในตระกูลก็มีกฎประจำตระกูล เชิญท่านลุกขึ้นมาทำความเคารพฮูหยินของบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
“ขี้ข้าปลิ้นปล้อนจากที่ใดกัน คิดจะยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฮูหยินหัวหน้าตระกูลหรือ”
หากว่ากระทั่งเรื่องนี้นางยังจัดการไม่เรียบร้อย นางก็ไม่ต้องคิดจะติดตามฮูหยิน เพื่อทำหน้าที่เป็นหมัวมัวผู้จัดการเรื่องราวต่างๆ แล้ว
ซุนหมัวมัวยังคงสงบนิ่ง ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต้อยต่ำ “บ่าวมิกล้า บ่าวเพียงแค่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ เบื้องบนย่อมมีกฎประจำตระกูลควบคุมดูแล มีหัวหน้าตระกูลตักเตือนชี้แนะ มิต้องให้ฮูหยินสี่หนักใจแทนเจ้าค่ะ”
มีเพียงแค่นำกฎประจำตระกูลออกมา ฮูหยินสี่เถียงสู้ไม่ได้ จึงหันไปสอบถามมั่วเชียนเสวี่ยแทน
“หลานสะใภ้ เจ้าจะให้ท้ายข้ารับใช้ของเจ้าแบบนี้หรือ ไม่เคารพให้เกียรติผู้อาวุโสเช่นนี้หรือ หืม?”
ฮูหยินสี่ไม่เพียงแต่จะเอ่ยวาจาเสียงดัง คำว่า “หืม” ในตอนท้ายยังแฝงความหมายข่มขู่อีกด้วย
นางเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมักจะมีท่าทางอ่อนแอ เชื่อฟังและปฏิบัติตามเมื่ออยู่กับฮูหยินผู้เฒ่า จึงคิดจะสั่งสอนนางให้เชื่อฟัง แล้วค่อยแสดงความน่าเกรงขามของตนเอง
ท่าทางเช่นนี้ของนาง หากว่าเป็นสตรีทั่วไปที่นิสัยอ่อนแอเล็กน้อย เมื่อเห็นแล้วคงเป็นธรรมดาที่จะใจห่อเหี่ยวสามส่วน และย่อมอ่อนลงมาเอง
เมื่อคิดๆ ดูแล้ว นี่ก็เป็นผู้อาวุโส ทั้งยังต้องพบหน้ากันบ่อยๆ และเห็นแก่ความสัมพันธ์ของฮูหยินผู้เฒ่า จะทำความเคารพ ให้เกียรติหรือไม่นั้น ย่อมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หัวเราะฮาฮา ตำหนิข้ารับใช้สักเล็กน้อย เรื่องนี้ก็ถือว่าผ่านไปได้แล้ว
ไหนเลยจะคิดได้ว่า มั่วเชียนเสวี่ยคล้ายจะเปลี่ยนเป็นคนละคน นางวางถ้วยชาลง เอ่ยเสียงเย็นชาด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้ม
“หลานสะใภ้ก็อยากจะสนิทสนมกับฮูหยินสี่ เพียงแต่กฎระเบียบยิ่งใหญ่นัก หลานสะใภ้มิกล้าทำเรื่องผิดกฎประจำตระกูลตามใจชอบ”
ไม่ว่าเรื่องใหญ่เพียงใด ขอแค่ยกกฎขึ้นมา ก็สามารถขู่ผู้คนได้
คนฉลาดย่อมไม่แสดงจุดอ่อนของตนเองออกมาให้คนจับเอาไว้ได้
ฮูหยินสี่ที่มีนิสัยเช่นนี้ หากไม่ได้มีฮูหยินผู้เฒ่าคอยปกป้อง เกรงว่าคงตายไปหมื่นรอบแล้ว
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่เพียงจะไม่เปลี่ยนทีท่า และได้รับผลกระทบ แต่ถึงกับวางมาดได้เหนือกว่านาง
ฮูหยินสี่เป็นคนบุ่มบ่าม ในขณะเดียวกันก็ขี้ขลาดคนหนึ่ง
“เจ้า…เจ้า ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่า เจ้าอย่าได้รังแกผู้อื่นเกินไปนัก ในภายภาคหน้าจะต้องลำบากแน่นอน”
ฮูหยินสี่เอะอะโวยวายจบแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความโมโห
คนแบบนี้ยังคิดจะมาสู้กับนาง ช่างรนหาที่ตายจริงๆ
เมื่อฮูหยินสี่จากไป มั่วเชียนเสวี่ยก็เรียกกุ่ยซาเข้ามา องครักษ์ลับไม่สามารถเข้ามาในเรือนหลังได้ แต่มองจากที่ไกลๆ นั้นได้อยู่
ยิ่งไปกว่านั้น มั่วเชียนเสวี่ยยังรู้อีกว่า หอลับของหนิงเซ่าชิงได้วางหูตาที่เป็นสตรีไว้ในจวนไม่น้อย
แม้ว่าบุรุษผู้ไม่ข้องเกี่ยวกับเรือนหลังจะไม่อยากสนใจเรื่องสกปรกโสมมในเรือนหลัง แต่กลับไม่อยากถูกคนปิดบังหลอกลวง
แม้จะไม่สามารถกล่าวได้ว่า เรื่องอันใดล้วนไม่อาจเล็ดรอดสายตาพวกนาง แต่เบาะแสเล็กๆ น้อยๆ นั้นย่อมมี
การตายของกุ้ยเสี่ยวซีก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า หนิงเซ่าอวี่เป็นผู้มอบยาที่ทำร้ายนางให้
หนิงเซ่าอวี่ซึ่งเป็นบุรุษคนหนึ่ง จะไปหายานี่มาจากที่ไหน ย่อมต้องได้มาจากเซี่ยซื่อ
ปกติเซี่ยซื่อติดต่อกับใคร?
ปกติฮูหยินสี่ชอบไปที่ใด
จุดร่วมกันระหว่างพวกนางคืออะไร
ความจริงแล้วมั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจสิ่งเหล่านี้
นางเพียงแค่ต้องการขุดเอาคนชั่วที่คิดจะทำร้ายนางออกมา แม้ว่าจะจัดการให้ถึงตายไม่ได้ แต่ก็สามารถจับจุดอ่อนของนางได้ คงสถานะให้พร้อมโจมตีได้ตลอดเวลา เป็นวิธีที่เมื่อโจมตีก็ถึงแก่ความตาย
เมื่อเจรจากับตระกูลซูเรียบร้อย ฟ้าก็มืดแล้ว หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนกับจงจู่ใหญ่และอีกหลายคนก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือของหนิงเซ่าชิงอยู่นานก่อนจะจากไป
ตอนที่หนิงเซ่าชิงกลับมา มั่วเชียนเสวี่ยกำลังนั่งเหม่ออยู่บนตั่งคนเดียว
วันนี้ทำเรื่องใหญ่ไปเรื่องหนึ่ง หนิงเซ่าชิงอารมณ์ดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเห็นนางมีสีหน้าท่าทางกะปลกกะเปลี้ย ก็สงสารอยู่บ้าง จึงก้าวเข้าไปกอดนางไว้ในอ้อมแขน
“เหตุใดไม่พักผ่อนให้เร็วหน่อย”
“อยากรอท่านไง!”
มั่วเชียนเสวี่ยถือโอกาสหาท่าทางที่สบายตัวแล้วแอบอิงในอ้อมแขนเขา
หลังจากหนิงเซ่าชิงถอนหายใจ เอ่ยว่า “ตัวโง่งม” แล้ว ใบหน้าก็เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม พลางยื่นมือไปลูบเรือนผมนางเบาๆ
มั่วเชียนเสวี่ยถาม “เรื่องตระกูลซูเป็นอย่างไรบ้าง”
หนิงเซ่าชิงไล้จมูกนางอย่างสนิทสนม แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ย่อมสำเร็จอย่างง่ายดายและรวดเร็ว มีสัญญาฉบับนี้แล้ว ก็มากพอที่จะปกป้องตระกูลหนิงให้ไร้ความกังวลไปร้อยปี…”
หนิงเซ่าชิงเอ่ยอย่างสบายๆ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้ว่า เขาเพียงแค่ต้องการปลอบใจตนเอง
เขาจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและพึงพอใจชั่วคราว เพียงเพราะมีสัญญาฉบับนี้ได้เช่นไร
สัญญาเป็นเพียงแค่สัญญาของวิญญูชนตลอดกาล ไหนเลยจะสบายใจเท่ากับทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมด้วยตนเอง
ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เปิดโปงเขา เพียงแค่พยายามช่วยเขาสุดความสามารถ และพยายามทำให้ช่วงเวลาที่พวกเขาได้อยู่ร่วมกันนั้นทำให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นของกันและกันเท่านั้น
ไม่ต้องกล่าวอันใด ภายในห้องก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
เช้าวันรุ่งขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยกินอาหารเช้าเป็นเพื่อนหนิงเซ่าชิง หลังส่งเขาออกจากจวนแล้ว ตนเองก็ให้อาอู่เตรียมรถม้า พาชูอีกับสืออู่ และกุ่ยซาไปยังบ้านไร่ด้วยกัน
การไปบ้านไร่ในครั้งนี้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ไปสร้างเรือนกระจกกับโรงเรือนเพาะปลูกพืชผัก และไม่ได้ไปเพื่อสร้างผลผลิต
แต่ไปทำลายทิ้ง
“รื้อเจ้านี่ทิ้งเสีย”
“ถอนพวกนี้ทิ้งให้ข้าด้วย”
ตลอดบ่ายในบ้านไร่นอกเมืองของมั่วเชียนเสวี่ยล้วนเต็มไปด้วยเสียงเช่นนี้
แม้ว่าเพิ่งจะได้รับข่าวมาเมื่อวาน แต่หวังเทียนซงกลับตัดใจรื้อชั้นวางพืชผลทางการเกษตรที่เพิ่งจะลงแรงสร้างเสร็จ และถอนพืชผักทั้งหมดในโรงเรือนเพาะปลูกไม่ลง
หวังเทียนซงสั่งคนให้ทำงานไป พลางเจ็บปวดใจแทบตาย
อีกไม่กี่วัน ก็จะฉลองปีใหม่แล้ว
ผักพวกนี้ หากโตถึงช่วงวันปีใหม่สองสามวันนั้นแล้วค่อยขาย จะมีราคาสูงมาก
อีกอย่าง แม้ว่าจะผ่านปีใหม่ไป แล้วเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่รอจนหิมะละลาย ตอนที่บนพื้นจะมีพืชผักที่สุกแล้ว ก็ต้องรออย่างน้อยสองสามเดือน
ในสองสามเดือนนี้ พืชผักในโรงเรือนเพาะปลูกนี้ก็สามารถเจริญเติบโตขึ้นได้อีก และยังสามารถทำเงินได้อีกไม่มากก็น้อย
หวังเทียนซงคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เขาปวดใจ แต่กลับต้องทำตาม ลูกน้องของเขาก็คิดแล้วไม่เข้าใจ และเจ็บปวดใจเช่นกัน
แต่ฮูหยินสั่งการมาแล้ว
ฮูหยินบอกว่า ที่นี่ต้องใช้ทำเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องก่อนหน้านี้หลายร้อยหลายพันเท่า
ฮูหยินยังบอกอีกว่า เมื่อทำเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็จะสามารถนำความผาสุขมาสู่ประชาชนได้
หวังเทียนซงโอบกอดความหวังเอาไว้ แล้วอดทนต่อความเจ็บปวด ขณะสั่งให้คนถอนพืชผักทั้งหมด
ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีเวลามาสนใจว่าเขาจะเจ็บปวดใจหรือไม่ นางสั่งให้คนวัดโรงเรือนเพาะปลูกพืชผักอีกหลายสิบโรงนั้นให้ดีๆ รอบหนึ่ง