“เจ้ายังเด็กอยู่ การจุดประทัดนั้นอันตรายมาก” สวีลิ่งอี๋อธิบายให้จิ่นเกอฟังด้วยท่าทางอ่อนโยนและอดทน “แต่ว่าการจุดประทัดก็เป็นเรื่องสนุก หากเจ้าอยากจุดประทัดจริงๆ รออีกสักครู่พอพี่ใหญ่ของเจ้ากลับมาแล้ว ค่อยให้พวกเขาจุดประทัดกับเจ้าดีหรือไม่”
จิ่นเกอรู้สึกว่าไม่ดี
เขาอยากจะจุดประทัดตอนนี้เลยแต่เมื่อเห็นเวลาที่ท่านพ่อคุยกับตน บรรดาชายชราที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างก็เงี่ยหูฟัง แต่กลับทำท่าทางสบายๆ เหมือนตอนที่ท่านพ่อกับท่านแม่คุยกัน บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ที่คอยปรนนิบัติในเรือนก็มีท่าทางเช่นนี้เหมือนกัน ทุกครั้งเมื่อถึงเวลานี้ ท่านแม่ก็จะนั่งเงียบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รอให้บ่าวรับใช้ทุกคนออกไปก่อนแล้วค่อยคุยกับท่านพ่อ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็เลียนแบบท่าทางของสืออีเหนียง ยืนอยู่ข้างสวีลิ่งอี๋ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
สวีลิ่งอี๋แปลกใจเล็กน้อยว่าเหตุใดบุตรชายของเขาถึงยังไม่ไป แต่เมื่อเห็นท่าทางเชื่อฟังของเขา จึงยิ้มพลางลูบหัวบุตรชาย อุ้มเขาขึ้นมานั่งบนตักแล้วพูดคุยกับโต้วเก๋อเหล่าต่อ “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องในราชสำนักมากนัก ข้าเป็นทหารทำแต่สงคราม ในความคิดข้า ไม่สู้ให้จิ้งไห่โหวรับตำแหน่งผู้บัญชาการไปเถิด แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว แต่สกุลโอวก็ได้ดูแลฝูเจี้ยนมานานกว่าร้อยปีแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็มีเยอะแยะมากมาย มีเขาคอยเป็นแนวหน้าต่อสู้กับโจรสลัดญี่ปุ่น ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว!”
โต้วเก๋อเหล่าประหลาดใจเล็กน้อย
สกุลสวีกับสกุลโอวก็ขัดแย้งกันมาก็ไม่ใช่แค่หนึ่งวันสองวันแล้ว ในเวลานี้สวีลิ่งอี๋แนะนำให้จิ้งไห่โหวไปต่อสู้กับโจรสลัดญี่ปุ่น ไม่รู้ว่ามีเจตนาอย่างไร อย่าลืมว่าถ้าหากสกุลโอวเอาชนะโจรสลัดญี่ปุ่นได้จริงๆ ชื่อเสียงของสกุลโอวก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่งอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นสกุลสวีก็ไม่มีอำนาจไปต่อกรกับสกุลโอวได้อีก…หรือว่าสวีลิ่งอี๋กำลังทดสอบความคิดอ่านของตนในเรื่องนี้?
เขายิ้มพลางก้มหน้าจิบชา แต่สายตากลับเหลือบมองเหลียงเก๋อเหล่า
เหลียงเก๋อเหล่ากำลังยิ้มพลางมองบุตรชายคนเล็กของสวีลิ่งอี๋ “เด็กๆ ก็เหมือนกันหมด ที่ไหนครึกครื้นก็ไปที่นั่น ถงเกอของพวกเราก็เป็นเช่นกัน ตอนงานแต่งของหลานชายข้า เขาเห็นคนอื่นเล่นประทัด ก็งอแงอยากจะเล่นเหมือนกัน สุดท้ายเกลี้ยกล่อมไม่ไหวจึงทำได้เพียงให้พี่ชายลูกพี่ลูกน้องพาเขาเล่น ปรากฏว่าเขาจุดประทัดกระเด็นไปที่เรือนข้างๆ เกือบจะทำเรือนเก็บฟืนของเขาไหม้แล้ว”
ถงเกอเป็นบุตรชายคนโตของหลานถิง
“โชคดีที่ลานของเรากว้าง!” สวีลิ่งอี๋หัวเราะแล้วพูดว่า “พาถงเกอมาเล่นด้วยสักวันเถิด! ปีหน้าข้าเตรียมจะให้จิ่นเกอเรียนหนังสือแล้ว ปีนี้จะปล่อยให้เขาเล่นให้เต็มที่ เพราะปีหน้าก็จะไม่มีเวลาผ่อนคลายเช่นนี้แล้ว”
“ได้สิ!” เหลียงเก๋อเหล่ายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเด็กสองคนนี้สามารถเล่นด้วยกันได้” แล้วพูดต่ออีกว่า “ท่านโหวจะเชิญให้ใครมาเป็นอาจารย์ของบุตรชายหรือ ให้สำนักฮั่นหลินช่วยแนะนำให้สักคนดีหรือไม่”
“จะให้เรียนกับอาจารย์ในจวนไปก่อน” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “รอให้โตอีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน!”
ทั้งสองคนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเด็กๆ เหมือนกับว่าพวกเขาสนิทกันมากขึ้นในทันที
หวังลี่เห็นเช่นนั้นก็แอบรู้สึกขบขัน
สองคนนี้ คนหนึ่งขุดหลุมทิ้งไว้แล้วก็ไม่สนใจ อีกคนหนึ่งก็ไม่อยากคุยเรื่องในฝูเจี้ยนกับโต้วเก๋อเหล่า…ครั้งนี้โต้วเก๋อเหล่าต้องการใช้โอกาสนี้ชักชวนให้เหลียงเก๋อเหล่าเห็นด้วยกับที่เขาแนะนำให้ผู้บัญชาการของกานซู่ไปปราบปรามโจรสลัดญี่ปุ่นที่ฝูเจี้ยน แต่เกรงว่าคงจะไม่ได้ผลแล้ว!
ตนจะเข้าไปร่วมสนุกด้วยดีหรือไม่
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็มีบ่าวรับใช้รายงานผ่านผ้าม่านอย่างนอบน้อมว่า “ท่านโหว ใต้เท้าทั้งหลาย สินสอดทองหมั้นของเจ้าสาวมาถึงแล้วขอรับ!”
แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ไปดูสินสอดทองหมั้น ที่บ่าวรับใช้มารายงานก็เพื่อจะบอกสวีลิ่งอี๋ว่าสามารถจัดงานเลี้ยงตอนเย็นได้แล้ว
สวีลิ่งอี๋ถามจิ่นเกออย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปดูสินสอดทองหมั้นของพี่สะใภ้หรือไม่”
“ข้าอยากจุดประทัดขอรับ!” จิ่นเกอส่ายหน้า “สินสอดทองหมั้นของพี่สะใภ้สองมาถึงแล้ว พวกพี่ใหญ่ก็คงจะกลับมาแล้วเช่นกัน!” เขากระโดดลงจากตักของสวีลิ่งอี๋ทันที มองสวีลิ่งอี๋ด้วยแววตาสุกใส “เช่นนั้นข้าจุดประทัดได้หรือไม่”
“ได้สิ!” บุตรชายรู้ความเช่นนี้ นั่งอยู่บนตักเขาโดยไม่พูดอะไร สวีลิ่งอี๋ตัดสินใจให้รางวัลแก่เขา “ให้หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่พาเจ้าไปหาพี่ใหญ่!”
“แล้วพี่ใหญ่จะรู้ได้อย่างไรว่าท่านพ่อให้ข้าจุดประทัดได้” จิ่นเกอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับคำพูดของพ่อบ้านไป๋ พูดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อต้องให้ป้ายคู่กับข้าด้วยขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา
คาดว่าพ่อบ้านไป๋คงจะใช้ป้ายคู่เป็นข้ออ้างปฏิเสธคำขอจุดประทัดของจิ่นเกอ!
แต่ว่าเด็กคนนี้เริ่มรู้ทันแล้ว เสียรู้ไปแล้วครั้งหนึ่ง คงไม่หลงกลอีก
แม้ว่าป้ายคู่จะมีผล แต่คนที่จัดการสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่ใช่คนที่ดูแต่ป้ายคู่ไม่ดูคน ถ้าหากจิ่นเกอทำหาย ก็แค่หลอมขึ้นมาใหม่ก็ได้แล้ว!
เขายิ้มพลางให้คนไปนำป้ายคู่มา
จิ่นเกอออกมาจากห้องโถงรองด้วยท่าทางมีความสุข มุ่งหน้าไปที่เรือนใน
เมื่อหงเหวินเห็นป้ายคู่ในมือของเขาก็ตกใจ เดินตามหลังเขาอย่างระมัดระวัง กลัวว่าเขาจะทำป้ายคู่หล่นหาย
สินสอดทองหมั้นของสกุลเซี่ยงได้วางไว้ที่ลานหน้าเรือนหอให้ผู้คนมามุงดู
ของมีไม่เยอะแต่ดูเรียบง่าย จัดเป็นชุดๆ ดูเรียบร้อย สวยงามและค่อนข้างโอ่อ่า
สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนไม่ได้อยู่ที่เรือนหอ
บ่าวรับใช้ตอบอย่างเอาใจว่า “คุณชายน้อยใหญ่กับคุณชายน้อยสามไปเรือนเก่าของคุณชายน้อยสองขอรับ! คุณชายน้อยหกจะไปหาคุณชายน้อยใหญ่กับคุณชายน้อยสามหรือขอรับ ให้บ่าวนำทางไปเถิดขอรับ!”
จิ่นเกอไม่ได้สนใจเขา ถือป้ายคู่แล้วเดินไปยังเรือนของสวีซื่ออวี้ด้วยท่าทางเบิกบานใจ
ผู้ดูแลและบรรดาบ่าวรับใช้ที่เดินผ่านไปมาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
******
หลังจากรู้จุดประสงค์การมาของจิ่นเกอ สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ และสวีซื่อเจี่ยนก็อดมองหน้ากันไม่ได้
สวีซื่อเจี่ยนเดินเข้ามาหาจิ่นเกอ ยิ้มพลางสำรวจมองจิ่นเกอ “เด็กน้อยอย่างเจ้า ทำการใหญ่เกินไปหรือไม่ แค่จะจุดประทัดก็ต้องไปเอาป้ายคู่ของท่านอาสี่มา”
จิ่นเกอรีบโต้แย้งว่า “พ่อบ้านไป๋เป็นคนบอกข้า หากอยากจุดประทัดก็ต้องมีป้ายคู่ของท่านพ่อจึงจะทำได้!”
ทุกคนพากันหัวเราะ
สวีซื่ออวี้กำชับจิ่นเกอ “อย่าทำป้ายคู่หายเสียล่ะ หากคนอื่นเก็บไปจะไม่ดี!”
จิ่นเกอพยักหน้า
สวีซื่อฉินลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าจะพาจิ่นเกอไปจุดประทัด เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด! พรุ่งนี้เป็นวันมงคลของเจ้า เจ้าจะต้องทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า”
สวีซื่ออวี้หน้าแดง ส่งทั้งสามคนออกไปด้วยความเขินอายเล็กน้อย เมื่อหันกลับมาก็เห็นเหวินจู๋กำลังเก็บของให้เขา
“ของทั้งหมดนี้จะใส่ไว้ในหีบแกะสลักใบนั้น เมื่อถึงเวลานั้นก็นำไปเล่ออานได้เลย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของที่คุณชายน้อยสองใช้เป็นประจำ จะใส่ไว้ในหีบเหล็กแดงลายทอง พอคุณนายน้อยสองเข้าจวนมาแล้วค่อยส่งต่อให้สาวใช้ใหญ่ข้างกายคุณนายน้อยสองเจ้าค่ะ” จัดการเป็นระเบียบ อธิบายอย่างชัดเจน กลัวว่าบรรดาสาวใช้จะทำผิดพลาด
สวีซื่ออวี้ที่กำลังอารมณ์ดีได้ฟังดังนั้นก็อดพูดหยอกล้อไม่ได้ “ดูเหมือนว่าจะมีคนรอไม่ไหวที่จะส่งต่องานให้คนอื่นแล้ว”
หลายปีมานี้เหวินจู๋กับมั่วจู๋ได้ติดตามเขาไปทั่ว ความผูกพันค่อยๆ แน่นแฟ้นขึ้น เพียงแต่ว่ามั่วจู๋อายุน้อยกว่าเหวินจู๋สามปี ทั้งสองรับใช้เขามาด้วยกัน มักทำให้ผู้คนเกิดความสงสัย หากมีคนเผยแพร่ข่าวลือมั่วๆ ออกไป ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็คงชำระล้างข่าวเสียๆ หายๆ ไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่กล้าให้ใครรู้ ทำได้เพียงรอให้เขาแต่งงาน สามารถตัดสินใจหาคู่ให้สาวใช้และบ่าวรับใช้ได้ ก็จะสามารถพูดเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผยแล้ว
“คุณชายน้อยสอง!” เหวินจู๋รีบเข้าไปคำนับ ใบหน้าแดงก่ำ
สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าวางใจเถิด พอคุณนายน้อยสองเข้าจวนมาแล้ว ข้าจะให้นางช่วยจัดการเรื่องของเจ้ากับมั่วจู๋”
แม้ว่าจะไม่ควร แต่เหวินจู๋ก็อดยิ้มอย่างร่าเริงไม่ได้
******
ตอนที่สวีซื่ออวี้กับเหวินจู๋กำลังคุยกัน หงเหวินกำลังยืนอยู่ที่ลานเล็กๆ ของเรือนหลักในห้องโถงที่อยู่ถัดจากห้องโถงเตี่ยนชุน
บรรดาสตรีที่มาแสดงความยินดีได้ไปฟังละครงิ้วที่ห้องโถงเตี่ยนชุนในตอนบ่าย ตอนนี้ละครจบลงแล้ว ต่างก็พากันไปนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ห้องโถงบุปผา แต่สืออีเหนียงกลับอยู่ที่นี่กับบรรดาผู้ดูแลหญิงเพื่อหารือเรื่องงานแต่งในวันพรุ่งนี้
“…กระถางเงินใส่ธัญพืช พรมแดงสำหรับรองรับเจ้าสาวตอนลงจากเกี้ยว พุทราแดงกับถั่วลิสงที่ใช้โปรยบนเตียงล้วนได้ถูกตระเตรียมเอาไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตอบเพียง “อืม”
มีผู้ดูแลพูดขึ้นมาว่า “โต๊ะบูชาในห้องหอ รูปเทพเจ้าและธูปได้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!”
“นับจำนวนรูปเทพเจ้าดีแล้วใช่หรือไม่” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “อย่าให้ขาดไปแม้แต่แผ่นเดียว”
“นับดีแล้วเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลพูดต่อว่า “ทั้งหมดหนึ่งร้อยแผ่น ไม่ขาดไปแม้แต่แผ่นเดียวเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดจบ ก็มีผู้ดูแลผู้หนึ่งพูดขึ้นมาอีกว่า “รายการอาหารในห้องหอก็ได้เขียนไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินจะดูหรือไม่เจ้าคะ”
“เรื่องนี้ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “วันนี้จะพูดแต่เรื่องของพรุ่งนี้เท่านั้น พรุ่งนี้ก็พูดแต่เรื่องของมะรืนเท่านั้น”
ผู้ดูแลตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ” มีเสียงผู้ดูแลผู้หนึ่งดังขึ้น “โต๊ะพิธีในห้องโถงและม่านตกแต่งสีแดงได้เตรียมพร้อมหมดแล้วเจ้าค่ะ!”
เสียงรายงานและเสียงชี้แนะดังขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้หยุดพัก
รอจนกว่าฮูหยินสี่ว่างแล้วค่อยบอกนางเรื่องบ่าวรับใช้เหล่านั้นดีกว่า!
หงเหวินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องโถงไปอย่างเงียบๆ ไปที่เรือนหอ
จิ่นเกอกับเซินเกอกำลังจุดดอกไม้ไฟอยู่ที่ลาน พากันปรบมือ ไม่รู้ว่ามีความสุขมากแค่ไหน
นางยิ้มพลางเดินไปยืนอยู่ด้านหลังสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยน เห็นสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยเดินเข้ามา
“พวกเจ้าสองคนไปไหนมา” สวีซื่อเจี่ยนยิ้มแล้วพูดว่า “พอต้อนรับสินสอดทองหมั้นเข้าจวนเสร็จ แค่พริบตาเดียวข้าก็หาเงาเจ้าไม่เจอแล้ว”
สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไปหาน้องห้ามา นัดกันไว้ว่าพอสินสอดทองหมั้นของพี่สะใภ้สองเข้าจวนมาก็ให้ไปเรียกเขามาดูความครึกครื้น ใครจะไปรู้ว่าเดินตามหาไปทั่วทุกที่แล้วแต่ก็หาไม่เจอ ที่แท้เขาไปนั่งฟังละครงิ้วอยู่ที่ห้องโถงเตี่ยนชุน ข้าหาอยู่ตั้งนานกว่าจะหาเจอ”
สวีซื่อเจี้ยรู้สึกผิดเล็กน้อย “เดิมทีรับปากพี่สี่ไว้แล้ว ใครจะไปรู้ว่าฟังไปฟังมาก็ลืมเวลาไปเสียแล้ว!”
สวีซื่อเจี่ยนได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “สมน้ำหน้า! คราวนี้เจ้าอดดูความครึกครื้นแล้ว!”
ต้อนรับสินสอดทองหมั้นของเจ้าสาวเข้าจวนแล้ว วางไว้ลานหน้าเรือนหอเพื่อให้ญาติฝ่ายเจ้าบ่าวมาดู เมื่อถึงฤกษ์มงคลก็ให้คนปูเตียงของฝ่ายเจ้าสาวขนของเข้าเรือนหอเพื่อตกแต่งด้านในเรือน แล้วใส่กลอนประตูเรือนหอ รอจนถึงพรุ่งนี้เช้าเมื่อบุรุษปูเตียงที่ฝ่ายชายเชิญมาช่วยปูเตียงมาถึงแล้วจึงจะเปิดประตูได้
“พรุ่งนี้ค่อยดูก็ได้เหมือนกัน” สวีซื่อจุนพูดปลอบสวีซื่อเจี้ย ถามสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนว่า “ทานข้าวแล้วหรือยังขอรับ”
“ทานแล้ว” สวีซื่อฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ทานอยู่ที่เรือนของน้องสอง”
ทุกคนมองจิ่นเกอจุดดอกไม้ไฟ พูดหยอกล้อกัน เมื่อเห็นว่าล่วงเลยเวลามากแล้วจึงแยกย้ายกันไป
สืออีเหนียงยังไม่กลับมา หงเหวินกล่อมจิ่นเกอนอน พอถึงต้นยามไฮ่สืออีเหนียงก็กลับมา พึ่งจะหอมแก้มจิ่นเกอสองที สวีลิ่งอี๋ก็มาพอดี
มีกลิ่นสุราจางๆ บนตัวเขา
“เจ้าตัวเล็กนี่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ” สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่ข้างเตียงพลางช่วยบุตรชายจัดปลายผ้าห่ม
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” สืออีเหนียงนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างเตียงเตา
หงเหวินเห็นว่าทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันจึงทำได้เพียงถอยออกไป
สวีลิ่งอี๋เล่าให้สืออีเหนียงฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนบ่าย “…ไม่เพียงแค่กล้าหาญ ละเอียดรอบคอบ ซ้ำยังมีความมุมานะในการทำสิ่งต่างๆ นี่นับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก!”
สืออีเหนียงหัวเราะ “ถ้าหากตอนเรียนหนังสือกระตือรือร้นเช่นนี้ก็คงดี!”
“วางใจเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างมั่นใจ “การกระทำบ่งบอกนิสัยของคน เมื่อถึงเวลานั้นจิ่นเกอจะต้องตั้งใจเรียนหนังสืออย่างแน่นอน”
ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ข้างเตียงจิ่นเกออยู่พักใหญ่ ต่างคนต่างก็เหน็ดเหนื่อย จึงได้กลับไปพักผ่อนที่ห้องด้านใน
วันรุ่งขึ้น ฟ้าพึ่งจะสางก็ต้องตื่นขึ้นมา
สืออีเหนียงพาบุรุษที่สวีลิ่งอี๋เชิญมาปูเตียงไปที่เรือนหอเพื่อไปจัดชุดที่นอนและโต๊ะให้เป็นที่เป็นทาง จากนั้นก็จุดโคมไฟฉังหมิง สตรีที่มาแสดงความยินดีล้วนมาถึงกันแล้ว นางจึงต้องรีบไปที่ห้องโถงเล็ก
วิ่งวุ่นไปมาราวกับลูกข่างก็มิปาน กว่าจะมีเวลาว่างไปนั่งพักรอสำนักดาราศาสตร์คำนวณฤกษ์มงคลสำหรับยกเกี้ยว ชิวอวี่ก็รีบวิ่งมาหา “ฮูหยินสี่ แย่แล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเหตุใดไท่ฮูหยินจึงให้ป้าตู้พาคุณชายน้อยห้ากลับไปที่เรือนหลัก แล้วยังให้พวกเราจับตาดูไว้ไม่ให้คุณชายน้อยห้าไปไหนเจ้าค่ะ”