คิ้วหนาของเด็กชายขมวดมุ่นเข้าหากันขณะเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไม่อยากกินหรือ ถ้าเจ้าไม่อยากกิน เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงเอาแต่จ้องมันมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วล่ะ ถ้ารู้เช่นนี้ข้าก็คงไม่รับพวกมันมา”
หมายความว่า… เขารับขนมพวกนี้มาก็เพราะนางหรือ
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็หัวเราะออกมา แล้วคว้าขนมกลับไป “คิดดูอีกที ทิ้งไปก็เสียของ ข้าจะกินสักหน่อยก็แล้วกัน”
“แล้วแต่เจ้า” เด็กชายตัวน้อยนั่งลงข้างกองไฟ และไม่คิดที่จะปรายตามองไปทางนางอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าลงกินขนมชิ้นนั้น ถ้าขนมชิ้นไหนอร่อยนางจะเลือกเก็บไว้ให้เขา
ในที่สุดตำหนักที่ถูกทิ้งมานานก็เริ่มมีความอบอุ่นเพราะมีคนเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน มันทำให้ฤดูหนาวครั้งนี้ไม่หนาวเท่าปกติ
วันรุ่งขึ้น เมื่อเด็กชายตัวน้อยตื่นขึ้น เขาก็เห็นว่าบนเตียงของเขามีใครบางคนนอนอยู่ ร่างกายของนางอบอุ่นต่างจากเขา นางถึงกับยกผ้าห่มให้เขาราวกับกลัวว่าเขาจะแข็งตายตอนกลางคืน
บนโต๊ะไม้มีหม้อตุ๋นใบเล็กวางอยู่ หม้อใบนั้นยังร้อนอยู่ ทุกอย่างดูงดงามอย่างมาก
ในชั่วขณะนั้น เด็กชายตัวน้อยรู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างดูไม่ใช่ความจริง
นอกจากในฤดูร้อนที่ตำหนักจะร้อนจนอบอ้าวแล้ว เขาก็ไม่เคยสัมผัสถึงความอบอุ่นใดมาก่อน
ส่วนใหญ่แล้วสถานที่แห่งนี้มักจะหนาวเย็น รวมถึงอาหารด้วยเช่นกัน
ในความทรงจำของเขา คนพวกนั้นจะเผยรอยยิ้มสว่างไสวออกมาเพื่อเอาใจเขาก็ต่อเมื่อเสด็จปู่อยู่ด้วย
แต่ทันทีที่อดีตฮ่องเต้กลับไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่เพียงแค่การเยาะเย้ยถากถางเท่านั้น
แม้มือของเขาจะถูกใครบางคนกุมเอาไว้ให้อบอุ่นเหมือนอย่างตอนนี้ แต่เขาก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับมันนัก
ความจริงแล้ว หากบอกว่าเขายังมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ออกน่าจะเหมาะกว่า
นางเข้าหาเขาโดยมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
มิหนำซ้ำนางยังถึงขั้นแต่งเรื่องขึ้นมาเล่าว่าในอนาคตพวกเขาสองคนจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน…
เด็กชายตัวน้อยขยับนิ้ว แล้วพาดมือลงบนผมหน้าม้าที่หน้าผาก ดวงตาของเขาหม่นแสงเล็กน้อย
ทั่วทั้งวังหลวงต่างก็รู้ว่าต่อให้เขาจะเป็นองค์ชาย แต่ตัวตนของเขาก็ไร้ความสำคัญ
นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของนาง…
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นว่าเขาเอาแต่นอนอยู่บนเตียงแทนที่จะรีบลุกขึ้นหลังจากที่ตื่นแล้ว ทันทีที่เห็นท่านอนอันสง่างามและสีหน้าสะลึมสะลืออันสุดแสนน่ารักนั้น นางก็ขยับตัวเข้าไปหอมแก้มเขา
เด็กชายตัวน้อย : แล้วยังนิสัยชอบจูบคนอื่นบ่อยๆ เช่นนี้ของนางด้วย ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะใจกล้าเท่านางอีกแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอดยกมือขึ้นนวดหน้าผากที่ปวดร้าวของตัวเองอีกครั้งไม่ได้
“เอาล่ะ ตื่นได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็ก แต่นางมีประสบการณ์การเป็นเด็กมาก่อน ดูจากท่าทางขององค์ชายแล้ว เขาคงอยู่ในช่วงวัยกำลังโต ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือสารอาหารที่เหมาะสม “ข้าเอาหัวปลาที่เหลือจากเมื่อวานมาทำน้ำแกงได้หม้อหนึ่ง มีเห็ดตากแห้งของโปรดเจ้าด้วย เจ้าตื่นขึ้นมาได้จังหวะพอดี รีบมาดื่มตอนที่มันยังร้อนๆ อยู่สิ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป “ข้าชอบกินเห็ดตากแห้งหรือ”
“เจ้าก็ชอบสับสนเรื่องอาหารที่ชอบอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เป็นไร หลังจากกินดูในไม่ช้าเจ้าก็จะรู้เอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับยืนขึ้น
เด็กชายตัวน้อยชำเลืองมองแป้งทอดไส้ต้นหอมและอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางถามเบาๆ ว่า “เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหน”
“ห้องเครื่อง” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครสังเกตเห็นข้าหรอก! ข้าเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้มากทีเดียว” พวกที่ทำงานในห้องเครื่องจะตรวจสอบเพียงแค่ว่าอาหารถูกวางยาพิษหรือไม่ แต่พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบอาหารที่อยู่ในหม้อใบใหญ่พวกนั้น แม้นางจะแอบหยิบอาหารมาจากตรงนั้นตรงนี้ แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นแม้แต่คนเดียว ประสบการณ์การเป็นสายลับของนางทำให้นางสามารถหลบบรรดาองครักษ์ได้ไม่ยาก
เด็กชายตัวน้อยไม่ได้ถามอะไรต่อ เขารู้เรื่องนี้อยู่แล้วจากการเตะของนางเมื่อวานว่ามันไม่ใช่การเตะธรรมดา
นับว่าหายากทีเดียวที่จะหาคนที่สามารถต่อสู้ได้อย่างช่ำชองถึงเพียงนั้น
ต่อให้เป็นบรรดาองครักษ์ของวังหลวงก็ใช่ว่าจะสามารถเตะตัดลำตัวได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วเช่นนั้นได้
“ลองชิมดูสิ น้ำแกงมีกลิ่นคาวหรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยตักน้ำแกงใส่ถ้วยแล้วส่งมันให้กับเขา องค์ชายชอบกินปลา แต่มีความอดทนต่อกลิ่นคาวอย่างจำกัด ดังนั้นนางจึงเติมวัตถุดิบหลายอย่างเพิ่มลงไปในน้ำแกงเพื่อกำจัดกลิ่นอันรุนแรงนั้น น้ำผึ้งช่วยทำให้เนื้อปลานุ่มขึ้นในระหว่างที่ขิงกับเหล้าขาวแทรกซึมเข้าไปในตัวปลา ส่วนเห็ดตากแห้งก็ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารจานนี้ นอกจากนั้นหม้อตุ๋นใบนี้ก็ยังมีคุณสมบัติพิเศษในการเป็นฉนวนความร้อนควบคู่ไปกับการขจัดกลิ่นอีกด้วย ดังนั้นเขาน่าจะสามารถดื่มน้ำแกงปลาถ้วยนี้ได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรับถ้วยมาลองชิม ความเย็นชาบนใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนนั้น “แม่นาง ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาชอบน้ำแกง การแสดงออกขององค์ชายเวลาเจอสิ่งที่ถูกใจนั้นแตกต่างจากคนอื่น ดังนั้นนางจึงไม่คิดที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พร้อมกับตักน้ำแกงหัวปลาให้กับตัวเอง น้ำแกงยังร้อนอยู่เล็กน้อย แต่ยิ่งร้อนก็ยิ่งอร่อย
น้ำแกงได้รับการต้มมานานจนกระทั่งก้างปลาละลายไปจนหมด เมื่อรวมกับเห็ดตากแห้งนุ่มๆ เข้าไปก็ยิ่งทำให้ทั้งรสสัมผัสและรสชาติยอดเยี่ยมจนเหนือคำบรรยาย!
แม้ว่าเด็กชายจะไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่เขาก็ดื่มน้ำแกงไปถึงสามถ้วยติดกัน ใบหน้าเล็กๆ ของเขาเริ่มมีสีเลือด แพขนตานั้นดูยาวกว่าปกติ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเท้าคางพลางมองไปที่เขา “อร่อยใช่หรือเปล่า ตราบใดที่เจ้าสัญญาว่าจะกลับไปกับข้า ข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินทุกวันเลย”
เด็กชายช้อนตาขึ้นแล้วเช็ดมุมปากตัวเองด้วยผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้างตัว “เจ้าอยู่ที่นี่ก็ยังสามารถทำให้ข้ากินได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : “…” นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าพูดเสียหน่อย
“การเอาของจากห้องเครื่องมามันไม่ง่ายเอาเสียเลย หม้อตุ๋นใบนี้ก็ถูกใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นเราย่อมไม่สามารถเก็บมันไว้ได้”
ทันใดนั้นก็มีร่างสองร่างเดินประคองกันเข้ามาจากข้างนอก
ร่างสองร่างนั้นตัวเล็กเพียงนิดเดียว หนึ่งในนั้นเป็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบขวบสวมชุดนางกำนัล ในขณะที่อีกคนอยู่ในชุดองครักษ์ ที่เข่าของเขามีเลือดออก
เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เลิกคิ้วเรียวยาวของตัวเองขึ้น
เด็กชายที่เป็นองครักษ์คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น แล้วเรียกไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “ฝ่าบาท”
“ขาเจ้ายังบาดเจ็บอยู่ ลุกขึ้นเถอะ”
ด้วยเหตุผลบางประการ เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดำทะมึนขึ้นทันทีที่พูดประโยคนี้ ราวกับว่าเขามีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายในใจ
นางกำนัลก็เดินเข้ามาเหมือนกัน นางเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้จะโทษเงาทมิฬไม่ได้เพคะ ฮองเฮาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงมือกับเขา และลงโทษให้หม่อมฉันสวดมนต์ตลอดทั้งคืนเท่านั้น อย่างไรองค์ชายใหญ่ก็ไม่คิดที่จะมีเมตตาให้กับเรื่องนี้ และพวกเราก็ยังติดค้างคำอธิบายกับเขาอยู่ องค์ชายอย่าได้เป็นห่วงเลยเพคะ พวกเราไม่เป็นไร”
“ข้าเข้าใจแล้ว” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแผ่วเบาอย่างมาก อารมณ์ทั้งหมดของเขาซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งนั้น
แต่ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วมองไปที่เด็กทั้งสอง องครักษ์คนนั้นคือเงาทมิฬนี่เอง
ถ้าเป็นอย่างนั้น หรือว่านางกำนัลคนนี้ก็คือ… ปี้ลั่วหรือ?
“พี่สาวคนนี้เป็นใครหรือเพคะ” ปี้ลั่วสังเกตเห็นแล้วเช่นกันว่าในตำหนักมีคนเพิ่มมาหนึ่งคน นางเอียงศีรษะแล้วมองมาที่เฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่ข้างนาง